“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด
ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง
เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา
เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐานะหน้าตาทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าทอดทิ้งเด็กชายอมโรคเช่นเขา ทุกคนคิดเสมอว่า ‘อีกไม่นานก็ตายแล้ว’ จึงดูแลเขาให้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างเต็มที ไฉนเลยใครจะรู้ว่าหลังจากที่ปลายนิ้วของเทพมังกรดินแตะหน้าผากของเขาในวันนั้น เขาจะยังมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้
และเพราะความคิดว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน กลายเป็นเหตุที่ทุกคนเอาอกเอาใจ ตามใจเขาทุกเรื่อง หนังสือที่เขาอยากอ่าน อาหารที่อยากกิน หรือแม้แต่เชิญอาจารย์มาสอนหนังสือที่บ้าน ไม่มีใครขัดใจเขาเลยสักเรื่อง เขาเองมักคิดว่าตนเองอาจจะอยู่ได้ไม่นาน เขาไม่คิดถึงชาติหน้าหรือภพไหน จึงอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่ แม้จะมีชีวิตไม่ยืนยาวแก่เฒ่า แต่ได้เรียกว่าใช้ชีวิตชาติหนึ่งได้คุ้มค่า
เช่นนั้นเขาจึงหลงใหลการสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ สนับสนุนคนเก่งมีฝีมือ แม้
ตัวเองจะอยู่ในแต่เรือนของตน ทว่าประตูหลังของเรือนมักมีคนเข้าออกอยู่เสมอแน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีเทพมังกรดินด้วย
เขาไม่รู้ว่าการที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นี่เพราะเทพมังกรดินผู้นี้หรือไม่ แต่เขายังมีลมหายใจมาถึงปัจจุบันนี้ สิบปีที่ผ่านมา เทพผู้นี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไปมามิเคยบอกกล่าว เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
เยี่ยนหรงเหยามองใบหน้าของเทพมังกรดินที่หลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาอีกครั้งเขาเห็นดวงตาของเทพมังกรดินเป็นสีทองอ่อนจางและเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับคืนตามเดิม
แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นอาภรณ์ของบุรุษแต่ไม่อาจซุกซ่อนเจ้าของเรือนร่างบอบบางดุจดอกไม้ โครงหน้าอ่อนหวาน ดวงตาเป็นประกายซุกซน และริมฝีปากแดงเรื่อ แม้อาภรณ์ที่สวมเป็นแบบเรียบง่ายแต่ไม่ได้ลดทอนความงดงามของผู้สวมใส่ได้เลย
เจ้าของร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก ไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่
ซิ่นหลิงส่ายหน้าไปมา เวลานี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่พวกเขาทั้งสองยังเป็นเด็กเล็ก สวมเสื้อผ้าเหมือนกันจนใครต่อใครต่างแยกไม่ออก เขาเคยสวมเสื้อผ้าชุดเด็กหญิง ซิ่นฮวาเองก็เคยสวมเสื้อผ้าชุดเด็กชาย ได้ยินว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักก็กสวมเสื้อผ้าของบุรุษ แต่เห็นด้วยตาตนเองเช่นนี้แล้ว เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ดูอย่างไรนางก็เป็นหญิง ไม่อาจทำให้ดูเป็นชายได้เลย“ปกติเจ้าแอบหนีไปนอกตำหนักก็แต่งกายเช่นนี้?”
“ใช่” ซิ่นฮวาพยักหน้าด้วยความมั่นใจ คลี่พัดออกโบกไปมาเลียนแบบบัณฑิต
“ข้าใช้หางตามองก็ยังรู้ว่าเจ้าเป็นหญิง” ซิ่นหลิงโคลงศีรษะไปมา “เจ้าเปลี่ยนความคิดเถิด หากท่านแม่จับได้ข้าจะลำบาก”
“ไม่ได้!” ซิ่นฮวากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “เจ้ารับปากข้าแล้ว”
“ข้ารับปากเจ้าเมื่อไหร่” ซิ่นหลิงกลอกตาไปมา
“หากเจ้าไม่ยอมพาข้าไป ข้าก็ให้ผู้อื่นพาไป” นางยื่นหน้าเข้าไป ใบหน้าจิ้มลิ้มเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย แววตามุ่งมั่นจริงจังในสิ่งที่ตนตั้งใจทำ
ทว่าเรื่องที่นางจะทำนั้น แสนไร้สาระยิ่ง
ซิ่นฮวาได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตามมาด้วยคำว่า “ได้” ใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง” ซิ่นหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก “เสร็จธุระแล้วต้องรีบกลับ ถ้าท่านแม่จับได้ เจ้าต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”
“อืม!”
ซิ่นฮวาเห็นซิ่นหลิงถอนหายใจไม่รู้รอบที่เท่าไร แต่เขายอมพานางหลบออกมาด้านหลังของตำหนัก แม้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หลายปี ซ้ำยังเพิ่งกลับมา แต่ราวกับทุกซอกมุมที่เคยใช้เป็นที่วิ่งเล่นหลบซ่อนตัวจะยังเป็นเช่นเดิม เมื่อออกมาถึงด้านนอก หญิงสาวเห็นม้าสองตัวและกันอี๋กับซาโม่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าซิ่นหลิงจะตามคนอื่นไปด้วยมากขนาดนี้
อย่าบอกนะว่า...รู้กันหมดแล้ว!
“เจ้าไปกับกันอี๋” ซิ่นหลิงสั่งแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว “ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เจอกันที่หอนางโลมหอมหมื่นลี้”
ซิ่นฮวาเห็นซิ่นหลิงขึ้นหลังม้าแล้ว ถ้านางไปพร้อมกับกันอี๋แล้ว...
“ซาโม่ล่ะ?”
“ข้าไม่ต้องใช้ม้าหรอก” ซาโม่ยกนิ้วโป้งปัดปลายจมูกของตนอย่างเคยชิน หมุนตัวกระโจนเพียงครั้งเดียวไปไกลถึงต้นไม้ใหญ่ ซิ่นหลิงไม่รอช้ากระตุ้นม้าให้พุ่งไปรวดเร็วไม่แพ้กัน
“อ๊ะ!” ซิ่นฮวาร้องเสียงหลง ทำไมแต่ละคนดูคล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้นัก
กันอี๋อมยิ้มเห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้วนึกเอ็นดูอยู่ในใจ นางอายุเท่ากับซิ่นหลิงซึ่งต้องเป็นเช่นนั้นเพราะทั้งคู่เป็นฝาแฝด ทว่าซิ่นหลิงดูองอาจ ในขณะที่
ซิ่นฮวาที่ยามนี้แม้แต่งกายเป็นชายแต่ดูบอบบางอ้อนแอ้นนัก“พวกเจ้ารู้กันหมดแล้ว?” ซิ่นฮวาทำหน้ามุ่ย ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้ซิ่นหลิงจะกล้าพูดกับผู้อื่น
กันอี๋เพียงแค่พยักหน้ารับ ช่วยประคองให้ซิ่นฮวาขึ้นหลังม้าแล้วเขาก็ขึ้นตามไปซ้อนอยู่ด้านหลัง
“แบบนี้จะดีหรือ?” ซิ่นฮวาอึกอัก แต่งกายเป็นบุรุษแต่ให้นางอยู่ด้านหน้าเช่นนี้ ผู้อื่นมองมาจะคิดว่ากันอี๋เป็นคนเช่นไรกัน
“ดียิ่ง” กันอี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้าตัวเล็ก ประเดี๋ยวตกลงไปข้าจะคว้าไม่ทัน”
ซิ่นฮวาเบ้ปากยอมให้กันอี๋คว้าบังเหียนบังคับให้ม้าเดินไปข้างหน้าไม่รีบร้อนนัก “ถึงข้าไม่เป็นวรยุทธ แต่เรื่องขี่ม้าใช่ว่าจะขี่เองไม่ได้”
“ซิ่นหลิงบอกให้ข้าคอยดูแลเจ้าจนกว่าจะไปถึงที่หมาย” เพราะอยู่ด้านหลังจึงระบายยิ้มได้เต็มใบหน้าไม่ต้องฝืนปั้นหน้านิ่ง ทั้งซิ่นหลิงและซิ่นฮวารวมทั้งซิ่นสือไม่เคยถือยศศักดิ์ แต่เขาเติบโตมากับคำสั่งสอนของบิดามารดาที่ให้ระลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นเพียงแค่บุตรชายทหารนายหนึ่งและมารดาเป็นหญิงรับใช้ของชายาท่านอ๋อง
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง “แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน” “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย” จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ “ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่า
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ “อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง” ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ “เจ้า!” “ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่” ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ “เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทส
“ดูภายนอกเป็นแค่กำไลธรรมดา แต่ข้าทำให้มีกลไลซ่อนเข็มพิษได้เพียงแค่ขยับตรงนี้” พูดพลางชี้ให้ดูว่าต้องหมุนอย่างไร “แน่ใจว่าข้าจะปลอดภัยที่ใช้สิ่งนี้” ซิ่นหลิงอดหยอกน้องชายไม่ได้ ซิ่นสือชอบประดิษฐ์กลไลต่างๆ สำหรับคนฝึกยุทธเช่นเขาสิ่งนี้อาจไม่จำเป็นนัก แต่สำหรับซิ่นฮวาที่ไร้วรยุทธนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง “ย่อมใช้ได้แน่นอนและปลอดภัย” ซิ่นสือยืดตัวขึ้นตบหน้าอกตนเองหนักแน่น แม้เขาอายุเพียงสิบสี่แต่ก็เผยความสง่าผ่าเผย ซิ่นสือเริ่มฝึกยุทธช้ากว่าเขาซิ่นหลิงมากนัก แต่ภายใต้ท่าทีรักสนุกไม่สนใจเรื่องภายนอก เขากลับซ่อนความสามารถของตนได้มิดชิด มีเพียงซิ่นหลิง ซิ่นฮวาและบิดามารดาเท่านั้นที่ล่วงรู้ “ขอบใจเจ้ามาก” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง นางคงใช้นิ้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องชายไปแล้ว ซิ่นสือส่งยิ้มทะเล้นให้พี่ทั้งสอง หางตารับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเก็บอาการทะเล้นของตนเองแล้วถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ซ่งเหว่ยหนานก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามที่ประคองกล่องของขวัญตามอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มประสานมือคารวะเจ้าของงานวันเกิดทั้งสอง แ
สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว นางฉวยผ้าคลุมไหล่มาคลุมไหล่ของตนเอง เท้าเล็กๆ ก้าวไปที่หน้าต่าง ห้องนอนของนางอยู่ชั้นสอง มีระเบียงยื่นไปหาแสงจันทร์ในยามค่ำ นางจำรูปทรงห้องนอนลักษณะนี้มาจากสถานที่หนึ่งแล้ววาดออกมาให้บิดาช่วยหาช่างสร้างให้ “ห้องนอนที่มีระเบียง” มันดูไม่ปลอดภัยในสายตาของบิดาผู้รักและห่วงลูกสาว แต่เพราะรักและตามใจจึงสร้างได้อย่างที่นางต้องการ ใครว่านางไม่เคยออกจากตุนหวง! นางอาจจะเคยไปในสถานที่ที่ไม่ผู้อื่นรู้จักมาแล้วก็เป็นได้! ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้ม นางผลักบานประตูที่จะทะลุออกไปที่ระเบียงกว้าง ยังไม่ทันเอ่ยปากขานนามของเทพมังกรดิน บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงในอาภรณ์สีขาวราวก้อนเมฆก็ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์แล้ว ดวงตาเปลี่ยวเหงาดุจมีม่านหมอกจางๆ ปรายตามองมาทางนาง “ไยท่านมาก่อนที่ข้าจะเรียกขาน” นางกระชับผ้าคลุมไหล่แต่ความจริงนางอยากใช้มือกดหัวใจไม่ให้เต้นแรงเกินไป ม่านหมอกในดวงตาคู่นั้นจางหายเพราะเสียงหวานใสของหญิงสาว ฮวงหลงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง ยามนี้นางสวมชุดนอนตัวยาว เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสลายก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและห
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซิ่นฮวายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง พยายามบอกเขาว่านางไม่มีเสียง คนที่เข้าใจคนแรกกลับเป็นซาโม่ “เจ้าพูดไม่ได้?” ซิ่นฮวาส่ายหน้าแล้วหัวเราะน้อยๆ เอ่ยปากช้าๆ ‘ข้า-ไม่-มี-เสียง-เจ้า-ต้อง-อ่าน-ปาก-ข้า’ ซาโม่พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันมาทางซิ่นหลิงหมายใจจะอธิบายแต่อีกฝ่ายชิงยกมือห้ามไว้ก่อน เพราะเข้าใจในสิ่งที่ซิ่นฮวาสื่อสารออกมา สองพี่น้องสบตากัน ซิ่นหลิงรู้สึกจุกในอกไม่คิดว่าจะได้เห็นนางในสภาพเช่นนี้ สาวใช้คนสนิทของมารดารีบเดินเร็วๆ เข้ามาโดยไม่สนใจมารยาทใดทั้งสิ้น ยามนี้ใจของปี้เอ๋อร์กังวลเพียงเรื่องของท่านหญิงซิ่นฮวาเท่านั้น เมื่อนางมาถึงก็แทบแทรกทุกคนเข้าไปจับมือเรียวเล็กของหญิงสาว ปี้เอ๋อร์อ้าปากเหมือนจะเอ่ยถามแล้วเปลี่ยนใจ นางยืนตัวขึ้นแล้วหมุนตัวหันไปโบกมือโบกไม้ไล่ทุกคนในห้องให้ออกไปให้หมด “พวกท่านเป็นบุรุษออกไปก่อน ท่านหญิงต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า” แม้เป็นบุรุษตัวโตแต่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ แต่ยังคงเป็นเด็กในสายตาของปี้เอ๋อร์ นางเลี้ยงดูเด็กๆ เหล่านี้รวมทั้งคุณชายน้อยซิ่น
ซิ่นหลิงระบายลมหายใจบางเบา ยามนี้ได้แต่ช่วยเหลือแคว้นหานให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ซิ่นฮวาจะกลับมา เดิมทีเขามีภารกิจที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน และคิดว่า ‘คีตาบำบัด’ ของซิ่นฮวาอาจพอช่วยรักษา ‘คนผู้หนึ่ง’ ได้ แต่เมื่อรู้ว่านางเองบาดเจ็บสาหัสในเวลานี้คงมิอาจรักษาใครได้ เขาจึงได้แต่พยายามสงบใจและใคร่ครวญหาวิธีการแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ยังไม่ทันที่ซ่งเหว่ยหนานจะเอ่ยอะไรออกไป ซาโม่หันหน้าไปทางหนึ่งทำจมูกสูดดมกลิ่นในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์นั้นปรากฏรอยยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้ซิ่นหลิงและกันอี๋หันมองด้วยความสนใจ ลักษณะเด่นของซาโม่ที่ ‘จมูกดี’ วิหคตัวหนึ่งโบกบินในอากาศและเมื่อเห็นว่าบุรุษทั้งสี่เบื้องหน้าเป็นคนรู้จักที่เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องใดอีก วิหคตนนั้นกระพือปีกอยู่สองสามครั้งก่อนร่อนลงมากลายร่างเป็นมนุษย์ในร่างเด็กชายอายุราวสิบสี่ปี “ส่านเตี้ยน?” ซิ่นหลิงทักทันที เด็กหนุ่มประสานมือคารวะทุกท่าน เขาส่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงตัวหลบเหมือนรอคอยใครผู้หนึ่ง คล้ายมีกลุ่มเมฆลอยต่ำลงมาใกล้จนกระทั่งกลุ่มเมฆนั้นสลายไป บุรุษเจ้าของเส้น
ซ่งเหว่ยหนานยืนมองร่างงูสีดำที่นอนขดสงบนิ่งในกรงเหล็กที่แข็งแรง งูน้อยยังคงสงบนิ่งหลับใหลคล้ายจำศีล ตั้งแต่วันที่สตรีแปลกหน้าที่เรียกตนเองว่าเมิ่งหย่าจิ้งคืนร่างกลับเป็นงูดำตนนี้ งูตัวนั้นขดตัวสงบนิ่งเช่นนี้มาตลอด แม้ผู้อื่นกล่าวเตือนให้เขาระวังแต่เขายังคงประคองงูตัวนี้ใส่ตะกร้าและให้คนจัดหากรงที่แข็งแรงมาใส่งูดำตัวนี้ไว้ ‘นางจะอยู่ในร่างงูดำจำศีลเช่นนี้ ไม่อาจทำร้ายผู้ใดได้อีก’ ชายหนุ่มยังจำน้ำเสียงของเทพมังกรผู้กลายร่างเป็นมนุษย์เอ่ยขึ้น ซิ่วอิ่งคืนร่างเดิมเป็นงูเขียวตัวน้อยถูกส่งตัวไปรอรับโทษทัณฑ์ขัดเกลาจิตใจที่อารามนักพรตหญิงแห่งหนึ่ง เดิมทีเมิ่งหย่าจิ้งเองต้องโทษทัณฑ์เช่นเดียวกัน แต่ซ่งเหว่ย-หนานกลับร้องขอที่จะดูแลนางเอง ‘ในเมื่อนางไร้พิษภัยใด ก็กักขังนางไว้ที่นี่เถิด เผื่อว่านางจะสำนึกผิดและบำเพ็ญเพียรอีกครา’ จวิ้นอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับมือของซ่งเหว่ยหนานให้หงายขึ้นแล้วเขียนอักขระที่กลางฝ่ามือร่ายมนตร์ให้ ‘ข้าร่ายมนตร์ไว้หากจำเป็นเจ้าสามารถจัดการนางได้ทันที’ จวิ้นอี้ถอนหายใจบางเบา ‘แต่การละเว
นางแหงนหน้ามองเห็นเพียงปลายคางของเขา ความรู้สึกวิงเวียนตาลายเข้ามาแทนที่ รู้สึกเจ็บร้าวทั่วแผ่นอก ร่างกายร้อนวาบราวกับถูกเพลิงเผาไหม้อยู่ภายใน นางได้แต่เอียงหน้าซบแผ่นอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวใต้ใบหูของนาง “เจ้าต้องไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงลอดไรฟันนั้นทำให้คนฟังปวดใจไม่น้อย “เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า!” ฮวงหลงสะท้อนใจจนหัวใจปวดร้าว หากไม่มีนางอยู่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะมีความหมายอะไรกัน! เพียงพยายามเคี่ยวยาสารพัดที่มีสรรพคุณถอนพิษโลหิตปีศาจงูดำ เหลือเพียงแค่บุกแดนสวรรค์ชิงโอสถทิพย์เท่านั้น ส่านเตี้ยนที่มุ่งหน้ามาหมายพบผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมอกใบหน้าซีดขาวราวไร้โลหิต มุมปากมีคราบเลือดสีดำเปื้อนเปรอะทำให้ผู้พบเห็นถึงกับผงะไป “ท่านหญิง..” ส่านเตี้ยนเองก็ค่อยดูแลซิ่นฮวาแทนผู้เป็นนายยามที่ท่านเทพมังกรดินลงมือเคี่ยวยาด้วยตนเอง แม้เขาเคยระอานิสัยเอาแต่ใจที่ทำให้นายของเขาต้องพลอยลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังใช้งานเทพมังกรดินราวคนรับใช้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของนางเพราะรับพิษแทนนายของตน เขาเองชื่นชม ห่วงใย และสำนึกในบุญคุณขอ
“เวลาพูดกับข้าเจ้าต้องสบตาข้า” ฮวงหลงเอ่ยเหมือนดุเด็กเล็กๆ หารู้ไม่ว่าลมหายใจของตนที่รินรดนั้นทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ “ข้าต้องอ่านปากเจ้าจึงจะเข้าใจความหมายที่เจ้าพูด” คล้ายถูกดวงตาคมเข้มคู่นั้นสะกดจิตใจ นางได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายในชั่วเวลาต่อมาถ้วยยาที่เทพมังกรหนุ่มถือมาก็ถูกยื่นมาจ่อตรงริมฝีปากของหญิงสาว นางเม้มปากแน่นไม่มีท่าทียินยอมให้ยารสขมนั้นไหลผ่านคอ ผู้เคี่ยวยาเลิกคิ้ว ใบหน้าน้อยๆ มีแววต่อต้านจริงจังกลับทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “ได้” น้ำเสียงเหมือนเกียจคร้านเอ่ยพร้อมเงยตัวขึ้น “ข้าป้อนยาให้เจ้าเองก็ได้” ‘ไม่! ไม่ต้อง!’ มือเล็กรีบยื่นไปคว้าถ้วยยามาถือไว้ด้วยตนเอง ให้เขาป้อนยาให้นางนะหรือ? ทรมานยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องกล้ำกลืนยารสขมแต่เพราะเรียวลิ้นของเขาที่ปลุกปั่นจิตใจของนางให้ยิ่งงุนงง นางจ้องมองยาเข้มข้นในถ้วยหยก แม้มีกรุ่นอายลอยบางเบาแต่เมื่อประคองถ้วยยาไว้ในมือกลับไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด นางหลับตาแล้วกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นถ้วยยาที่ว่างเปล่าส่งคืน ทว่ามือใหญ่ไม่ได้ยื่นไปถ้วยยาจากมือนาง แต่กลั
ครั้งนี้ เขาไม่ลังเลที่จะ ‘รัก’ นางอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีเวลาสำหรับเขาและนางมากน้อยเพียงใด เขาจะถนอมเวลาที่ได้อยู่กับนาง ยอมรับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่หวั่นเกรงสิ่งใดอีกแล้ว ผ้าห่มที่ถูกดึงมาจนปิดใบหน้าค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจนเห็นดวงหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาว ซิ่นฮวาเห็นเขาส่ายหน้าไปมาแล้วพึมพำเหนือใบหน้าของนาง “หน้าเจ้าแดงอีกแล้ว ไข้ขึ้นแล้วหรือ?” เขากระซิบใกล้ริมฝีปากของนาง ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าของหญิงสาว นางตกตะลึงไม่ทันตั้งสติ เขาก็ประทับจูบลงที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง ครั้นนางได้จังหวะหอบหายใจ เขาก็ฉวยโอกาสแทรกลิ้นเปียกร้อนเข้าไปลิ้มรสความหวานในปากของนาง คล้ายลมหายใจร้อนของเขาไหลเวียนในกายนาง ร่างกายของนางร้อนรุ่มโดยเฉพาะช่องท้องที่เคร่งเครียดและหวามไหว ความปรารถนาแสนหวานก่อตัวขึ้นอีกระลอกทำให้ร่างกายบิดเร่าไปมาโดยไม่รู้ตัว รสจูบของเขาทวีความร้อนแรงขึ้น ดูดดื่มมากขึ้น จนนางแทบหมดเรี่ยวแรง สมองขาวโพลน เรียวลิ้นยั่วเย้าของเขาเรียกร้องให้นางตอบรับ ความไม่ประสีประสาทำให้นางเงอะงะ แต่นั่นยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มเพลิดเพลินกับการสอนนางให้เรียนรู้การจ
ข้อเสนอของเขาทำให้นางพยักหน้ารับ ฮวงหลงเห็นบุปผาน้อยยินดีทำตามกฎก็โน้มหน้าลงยื่นปลายจมูกกดที่แก้มเนียนของหญิงสาว ‘ท่าน!’ ดวงตาเป็นประกายฉายแววตื่นตระหนก สองแขนของเขาคร่อมร่างของนางไว้ ร่างเล็กเอนหลังหนีปลายจมูกที่ยื่นมาซุกไซ้ใบหน้าของนางแต่กลายเป็นว่านางหงายหลังลงบนเตียงนอนโดยมีร่างของบุรุษหนุ่มตามลงไปทาบทับ ‘หยุดนะ! ท่านทำอะไร!’ สองมือยื่นไปยันกายของเขาไว้ แต่พอเจอสายตาจริงจังของเขาแล้ว นางกลับลืมถ้อยคำของตนไปหมดสิ้น “คราวนี้เข้าใจหรือไม่ แต่ก่อนที่เจ้าร้องขอให้ข้าพาเจ้ามาตำหนักแล้วข้าไม่สามารถพามาได้เพราะอะไร” ชายหนุ่มแสร้งทำเสียงตำหนิ “เจ้าไม่คิดหรือว่าข้าเป็นผู้คุมกฎต้องมาละเมิดกฎเสียเองเป็นเรื่องไม่สมควร” ถูกตำหนิต่อว่าเช่นนี้แล้ว นางจึงไม่กล้าขยับตัวอีกแต่มิอาจสบตาดวงตาลึกล้ำของอีกฝ่ายได้ นางจึงกลอกตาไปทางอื่นยอมให้ ‘กำจัด’ กลิ่นอายมนุษย์ของนาง เพราะนางหลบตาจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาได้ ฮวงหลงเพียงแค่อยากหยอกล้อนางเล่น ทว่าเมื่อตนเองก้มลงกดปลายจมูกดอมดมกลิ่นอายของหญิงสาวกลับเป็นฝ่ายถอนใจมิได้ ผิวกายเนียนนุ่มและกลิ่นหอมอ
‘ฮวงหลง’ นางอ้าปากที่ไร้เสียงเรียกชื่อเทพมังกรดิน ห้องที่นางนอนอยู่ตกแต่งงดงามราวกับนางนิทราในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่มีสายตาเหลือไว้ชื่นชมสิ่งรอบข้างเพราะใจของนางพะวงถึงบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงที่นางมักใช้นิ้วเกี่ยวพันไว้อยู่เสมอ ‘ฮวงหลง’ นางเรียกเขาอีกทั้งที่รู้ว่าไม่มีเสียงใดหลุดรอดจากริมฝีปากของนาง หญิงสาวหมุนตัวมองรอบกาย นางกลัวว่าตนเองฝันไป หรือนางยังไม่ตื่น อาจยังอยู่ในกระท่อมใต้สระน้ำนั้นก็เป็นได้ จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้นางไม่รู้ว่ามีคนก้าวเข้ามาใกล้และยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนกระทั่งนางหมุนตัวกลับมา ใบหน้าเกือบปะทะกับแผ่นอกกำยำ นางผงะไปด้านหลังครึ่งก้าว มือแกร่งข้างหนึ่งยื่นมาโอบแผ่นหลังของนางไว้ไม่ให้หงายหลังและดันร่างนางกลับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดใบหน้าของนาง บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เขาส่ายหน้าไปมาส่งเสียงตำหนิไม่จริงจังนัก “เหตุใดเจ้าไม่สวมรองเท้า” ฮวงหลงเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งของเขาถือถ้วยยานำเข้ามาให้นาง แม้ว่ามืออีกข้างจะโอบประคองแผ่นหลังของนางอยู่ แต่ยาในชามก็ไม่กระฉอกออกมาแม้แต
เขากำลังรักษาบาดแผลให้นาง ทว่าช่องท้องที่รู้สึกวะหวิวจนอยากจะส่งเสียงครวญครางออกมา นางไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แต่นางก็อับอายจนต้องยกมือปิดปากตนเอง สายตาของนางมองเห็นจุดแดงเล็กๆ ที่โคนขาด้านในจึงรีบหนีบขาไว้ก่อนแต่ยังช้าเกินกว่าสายตาช่างสำรวจของเขามองเห็นก่อนแล้ว นางฝืนหนีบขาตัวเองไว้แน่นทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนินาง “อย่าดื้อ ข้าต้องรักษาบาดแผลให้เจ้า” ซิ่นฮวาส่ายหน้าไปมาไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากอ้าเรียวขาออกเด็ดขาด “ข้าทำเช่นนี้ให้เจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นเด็กเล็กๆ” มือแกร่งยื้อเรียวขาของนางไว้ แล้วแยกขางามออกอย่างใจเย็น กลิ่นกายของนางหอมหวานชวนให้มึนเมายิ่งนัก เขาต้องทุ่มเทสมาธิเพื่อรักษาบาดแผลบนร่างกายของนางมิให้ทิ้งรอยตำหนิใดไว้ ร่างหญิงสาวอ่อนระทวยดุจเดียวกับขี้ผึ้งต้องความร้อน ริมฝีปากของเขากดลงบนโคนขาด้านใน จุดอ่อนนุ่มบนร่างถูกสัมผัสอย่างตั้งใจ สองขาถูกเขาแยกออกจากกันและร่างของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขาของนาง หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยหนีแต่มือแกร่งรั้งจับสะโพกนางไว้มั่น มุ่งมั่นก