กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก
เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้
นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ
ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว
เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม
“กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย”
ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น เทพมังกรดินส่ายหน้าไปมา ยื่นมือไปเบื้องหน้าให้ภูติวิหคเกาะท่อนแขน และใช้มืออีกข้างโบกไปมา ร่างของทั้งคู่มาปรากฏในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์หลังหนึ่ง ฮวงหลงเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตนเอง ที่ศาลาหกเหลี่ยมนั้นมีกระดานหมากวางอยู่พร้อมทั้งเม็ดหมากสีขาวดำในตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่ตรงนี้เมื่อราว...
“หายไปเป็นเดือน ข้าคิดจะคว่ำกระดานหมากนั้นทิ้งเสียแล้ว”
“นานขนาดนั้นเลยรึ” ฮวงหลงคลี่ยิ้มแล้วปล่อยให้ส่านเตี้ยนบินไปจิกกินเมล็ดทานตะวันที่วางใส่จานกระเบื้องสวยที่ตั้งไว้ให้ราวกับรอคอยผู้มาเยือน
“ท่านเป็นเทพ จะไปรู้อะไร ” คนตำหนิหัวเราะเบาๆ แล้วเคลื่อนรถเข็นมาใกล้ แม้จะวัยเพียงยี่สิบปีแต่เส้นผมกลับเป็นสีขาวทั้งศีรษะราวกับคนอายุเจ็ดสิบ
ฮวงหลงหรี่ตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อยช่วยส่งให้รถเข็นมีล้อคนนั้นเคลื่อนเข้าในศาลาหกเหลี่ยมอย่างง่ายดาย เขาหยิบกล่องใบชาออกมา หยิบใส่ในกาน้ำชาเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาตวัดชายเสื้อนั่งลงที่เก้าอี้กลม ย้ายสายตามองมาที่หมากกระดานเบื้องหน้า
เยี่ยนหรงเหยา เอื้อมมือไปรินน้ำชา กลิ่นหอมละมุนที่ไม่คุ้นเคยทำให้ใบหน้าขาวซีดของเขาเผยรอยยิ้ม
“หากมิได้มีสหายเช่นท่าน ข้าคงไม่มีวาสนาได้ดื่มชาดีเช่นนี้”
“เจ้านี่ช่างกล้านับข้าเป็นสหาย” ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ดวงตายังจับจ้องที่หมากกระดานเบื้องหน้า
“ท่านมาอย่างสหาย ข้าจึงรับไมตรีเช่นสหาย” เยี่ยนหรงเหยายกน้ำชาขึ้นจิบ ดื่มด่ำกับความละมุนที่ได้รับไปทั่วร่าง จากนั้นจึงปรายตาไปยังกล่องใส่ใบชาที่วางไว้ไม่ไกลนัก
“อย่าได้โลภไปนัก ของจากสวรรค์ เจ้าได้ชิมแค่นั้นก็พอแล้ว” เทพมังกรดินเอ่ยอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรอยู่
“เช่นนั้นท่านอย่าใช้ความเป็นเทพอ่านความคิดในจิตใจของข้าสิ”
เยี่ยนหรงเหยาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยฮวงหลงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าแสดงออกชัดเจนเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอ่านจิตใจของเจ้าเลยสักนิด”
เยี่ยนหรงเหยาหัวเราะเสียงแหบออกมา ตามด้วยไอแรงๆ อีกสองสามครั้ง ฮวงหลงเพียงแค่ปรายตามองอาการเจ็บป่วยของบุรุษวัยยี่สิบปีผู้นี้แล้ววางเม็ดหมากสีดำลงไป
มีไม่กี่คนในรอบหลายร้อยปีที่เขาจะมาเดินหมากกระดานเช่นนี้ และมีมนุษย์ไม่กี่คนที่มองเห็นเขาแม้จะใช้เวทพรางกายก็ตามที หลายปีก่อนที่เขาไม่แน่ใจว่ากี่ปีผ่านมาแล้ว คราวนั้นเยี่ยนหรงเหยาเป็นเด็กชายตัวผอมบาง มองเพียงแวบเดียวก็เห็นพลังชีวิตริบหรี่ ร่างเล็กนั่งหลังงองุ้มที่หน้าหมากกระดาน เม็ดหมากสีขาวและดำวางตรงหน้าไร้คนรอบข้าง เขาจึงลงมายืนมองอยู่นิ่งนานจนได้ยินเสียงเด็กชายเอ่ยขึ้น
“จะนั่งก็ได้นะ”
“หือ?”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาของเขา แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน เบ้าตาลึกและคล้ำ ริมฝีปากแห้งจนเป็นขุย เส้นผมหยาบกระด้าง ทว่าเมื่อเด็กชายยิ้มดวงตาคู่นั้นเป็นประกายฉายแววความหวัง
และดวงตาคู่นี้ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นร่างของเขาเข้าแล้ว
“เจ้ามองเห็นข้า?”
เด็กชายพยักหน้าแล้วหยิบเม็ดหมากสีขาววางลงไป หยิบเม็ดหมากสีดำมากำในมือ “ปกติข้ามองเห็นแต่ภูติผี เพิ่งเคยเห็นเทพเป็นครั้งแรก”
คราวนี้เป็นเขาที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเห็นเด็กชายไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เขานั่งลงที่เก้าอี้กลมฝั่งตรงข้าม ภูติวิหคโบยบินลงมาแล้วกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสี่
“ส่านเตี้ยน ชงชาให้ข้าหน่อยสิ”
“ขอรับ” ส่านเตี้ยน รับคำสั่งแล้วผลุบหายไป
“ดูท่านไม่แปลกใจที่ข้ามองเห็นท่าน” เด็กชายเอ่ยขึ้นโดยยังวางสายตาที่หมากกระดานตรงหน้า “มีคนมองเห็นท่านเช่นข้าบ่อยรึ”
ฮวงหลงนิ่งไปเล็กน้อย พลันคิดถึงเจ้าเด็กหญิงจอมซน ช่างเอาแต่ใจผู้นั้น ร่าเริงปราดเปรียวเหมือนกระต่ายป่า และตั้งแต่นางมองเห็นเขา นางทำเหมือนเขาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เอะอะก็เรียกชื่อเขาเป็นว่าเล่น
ชื่อของเหล่าปวงเทพหาใช่จะเรียกขานได้พร่ำเพรื่อ!
แต่นางก็ทำ!
“ดีจริง ก่อนตายได้เจอเทพเช่นท่าน”
เขาขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใกล้ตายเช่นนั้นหรอก”
“ใครๆ ก็บอกว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ยืนยาวนัก”
“เจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น?”
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “อย่างไรคนเราก็ต้องตาย ช้าเร็วสุดท้ายก็ย่อมตาย ข้าเองไม่ใส่ใจอาการเจ็บป่วยของตนเองนัก แต่สงสารคนที่คอยดูแลอยู่มากกว่า ทำให้รู้สึกว่า ทุกวันนี้อยู่ไปก็ทำให้ผู้อื่นลำบากนัก”
“เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นยิ่ง” ฮวงหลงหัวเราะในลำคอมองเด็กชายวางเม็ดหมากลงไป เขายิ้มอย่างพอใจ แล้วยื่นปลายนิ้วไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย เป็นเทพก็ใช่ว่าจะมีพลังหยั่งรู้ดินฟ้าอนาคต เพียงแค่ เขาสำรวจดูพลังชีวิตของเด็กชายคนนี้ แม้จะมีชีวิตอยู่อีกสิบปีแต่ต้องผ่านอุปสรรคหนักหนานัก
“เจ้ายังไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก เดินหมากเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
เพียงพริบตา เด็กชายอมโรคผู้นั้นก็เติบโตเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ มีเส้นผมเป็นสีขาวโผลนทั้งศีรษะ แต่ดวงตายังลุ่มลึกและเปี่ยมพลังงานชีวิต แม้ไม่แข็งแรงเท่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แต่นับว่าดีกว่าที่เขาพบเจอในครั้งแรกมากแล้ว
“เยี่ยนหรงเหยา”
ชายหนุ่มเพียงแค่เงยจากถ้วยชาของตน
“ข้าได้ยินว่าที่แคว้นหานแล้งหนักติดต่อกันมาสามปีแล้ว ไฉนบ้านของเจ้ายังดูอุดมสมบูรณ์นัก”
“ข้าเก่งอย่างไรเล่า” เยี่ยนหรงเหยาหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าทำกังหันผันน้ำไว้ใช้”
แม้ร่างกายของเยี่ยนหรงเหยาไม่แข็งแรง แต่สติปัญญาเป็นเลิศนัก เป็นคนช่างคิดและประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ อาศัยว่าตนเองร่ำรวยจึงสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ ในเรือนไม้หอมของเขาจึงมีสิ่งปลูกสร้างหน้าตาแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง “แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน” “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย” จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ “ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่า
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ “อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง” ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ “เจ้า!” “ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่” ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ “เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทส
“ดูภายนอกเป็นแค่กำไลธรรมดา แต่ข้าทำให้มีกลไลซ่อนเข็มพิษได้เพียงแค่ขยับตรงนี้” พูดพลางชี้ให้ดูว่าต้องหมุนอย่างไร “แน่ใจว่าข้าจะปลอดภัยที่ใช้สิ่งนี้” ซิ่นหลิงอดหยอกน้องชายไม่ได้ ซิ่นสือชอบประดิษฐ์กลไลต่างๆ สำหรับคนฝึกยุทธเช่นเขาสิ่งนี้อาจไม่จำเป็นนัก แต่สำหรับซิ่นฮวาที่ไร้วรยุทธนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง “ย่อมใช้ได้แน่นอนและปลอดภัย” ซิ่นสือยืดตัวขึ้นตบหน้าอกตนเองหนักแน่น แม้เขาอายุเพียงสิบสี่แต่ก็เผยความสง่าผ่าเผย ซิ่นสือเริ่มฝึกยุทธช้ากว่าเขาซิ่นหลิงมากนัก แต่ภายใต้ท่าทีรักสนุกไม่สนใจเรื่องภายนอก เขากลับซ่อนความสามารถของตนได้มิดชิด มีเพียงซิ่นหลิง ซิ่นฮวาและบิดามารดาเท่านั้นที่ล่วงรู้ “ขอบใจเจ้ามาก” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง นางคงใช้นิ้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องชายไปแล้ว ซิ่นสือส่งยิ้มทะเล้นให้พี่ทั้งสอง หางตารับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเก็บอาการทะเล้นของตนเองแล้วถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ซ่งเหว่ยหนานก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามที่ประคองกล่องของขวัญตามอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มประสานมือคารวะเจ้าของงานวันเกิดทั้งสอง แ
สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว นางฉวยผ้าคลุมไหล่มาคลุมไหล่ของตนเอง เท้าเล็กๆ ก้าวไปที่หน้าต่าง ห้องนอนของนางอยู่ชั้นสอง มีระเบียงยื่นไปหาแสงจันทร์ในยามค่ำ นางจำรูปทรงห้องนอนลักษณะนี้มาจากสถานที่หนึ่งแล้ววาดออกมาให้บิดาช่วยหาช่างสร้างให้ “ห้องนอนที่มีระเบียง” มันดูไม่ปลอดภัยในสายตาของบิดาผู้รักและห่วงลูกสาว แต่เพราะรักและตามใจจึงสร้างได้อย่างที่นางต้องการ ใครว่านางไม่เคยออกจากตุนหวง! นางอาจจะเคยไปในสถานที่ที่ไม่ผู้อื่นรู้จักมาแล้วก็เป็นได้! ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้ม นางผลักบานประตูที่จะทะลุออกไปที่ระเบียงกว้าง ยังไม่ทันเอ่ยปากขานนามของเทพมังกรดิน บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงในอาภรณ์สีขาวราวก้อนเมฆก็ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์แล้ว ดวงตาเปลี่ยวเหงาดุจมีม่านหมอกจางๆ ปรายตามองมาทางนาง “ไยท่านมาก่อนที่ข้าจะเรียกขาน” นางกระชับผ้าคลุมไหล่แต่ความจริงนางอยากใช้มือกดหัวใจไม่ให้เต้นแรงเกินไป ม่านหมอกในดวงตาคู่นั้นจางหายเพราะเสียงหวานใสของหญิงสาว ฮวงหลงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง ยามนี้นางสวมชุดนอนตัวยาว เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสลายก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและห
“ดูภายนอกเป็นแค่กำไลธรรมดา แต่ข้าทำให้มีกลไลซ่อนเข็มพิษได้เพียงแค่ขยับตรงนี้” พูดพลางชี้ให้ดูว่าต้องหมุนอย่างไร “แน่ใจว่าข้าจะปลอดภัยที่ใช้สิ่งนี้” ซิ่นหลิงอดหยอกน้องชายไม่ได้ ซิ่นสือชอบประดิษฐ์กลไลต่างๆ สำหรับคนฝึกยุทธเช่นเขาสิ่งนี้อาจไม่จำเป็นนัก แต่สำหรับซิ่นฮวาที่ไร้วรยุทธนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง “ย่อมใช้ได้แน่นอนและปลอดภัย” ซิ่นสือยืดตัวขึ้นตบหน้าอกตนเองหนักแน่น แม้เขาอายุเพียงสิบสี่แต่ก็เผยความสง่าผ่าเผย ซิ่นสือเริ่มฝึกยุทธช้ากว่าเขาซิ่นหลิงมากนัก แต่ภายใต้ท่าทีรักสนุกไม่สนใจเรื่องภายนอก เขากลับซ่อนความสามารถของตนได้มิดชิด มีเพียงซิ่นหลิง ซิ่นฮวาและบิดามารดาเท่านั้นที่ล่วงรู้ “ขอบใจเจ้ามาก” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง นางคงใช้นิ้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องชายไปแล้ว ซิ่นสือส่งยิ้มทะเล้นให้พี่ทั้งสอง หางตารับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเก็บอาการทะเล้นของตนเองแล้วถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ซ่งเหว่ยหนานก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามที่ประคองกล่องของขวัญตามอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มประสานมือคารวะเจ้าของงานวันเกิดทั้งสอง แ
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ “อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง” ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ “เจ้า!” “ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่” ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ “เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทส
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง “แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน” “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย” จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ “ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่า
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน