“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ”
หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้
กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของ
ซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่าน
อ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์ฐานะของตนข่มเหง ผู้อื่นเขารู้ดีว่าในหัวใจของนางมีใครคนหนึ่งยืนเต็มพื้นที่หัวใจอยู่นานแล้ว
ซิ่นฮวาในอาภรณ์ของบุรุษมองอาคารที่อยู่เบื้องหน้า พลันในใจกลับบังเกิดความลังเล นี่นาง...ช่างกล้าขนาดนี้เพียงเพื่อชายผู้นั้น คนที่อยู่ด้านหลังลงจากม้าก่อนแล้วจึงยื่นมือไปหมายจะอุ้มนางลงมา แต่ซิ่นฮวารู้ตัวก่อน ตนเองแต่งกายเป็นบุรุษจะให้บุรุษด้วยกันมาอุ้มลงจากม้าได้อย่างไร นางเบี่ยงตัวหลบ สายตาของทั้งคู่ปะทะกัน กันอี๋หรี่ตาเล็กน้อยก็เข้าใจอีกฝ่ายได้ทันที เขายอมถอยห่างให้หญิงสาวในชุดบุรุษลงจากม้าอย่างงามสง่า แม้นางไม่เป็นวรยุทธแต่เรื่องทักษะการขี่ม้าของนางชำนาญไม่ต่างจากบุรุษเลยสักนิด
กันอี๋แสดงท่าทีอ่อนน้อมประหนึ่งเป็นเพียงบ่าวไพร่ กิริยาของเขาทำให้
ซิ่นฮวาเบ้ปากใส่ด้วยความไม่พอใจ แต่กระนั้นยังสวมบทเป็นคุณชายให้กันอี๋นำเข้าไปด้านใน เมื่อพบเสี่ยวเอ้อ เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกห้องที่ตนเองต้องการ เมื่อเดินด้วยกันแล้ว กันอี๋จึงโน้มหน้าลงกระซิบ“ซิ่นหลิงจองห้องไว้แล้ว ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ติดกันสองห้อง เวลานี้เขาเลือกสตรีเข้าไปปรนนิบัติ รอให้ท่านหญิง เอ่อ คุณชายเข้าไปขอรับ”
ซิ่นฮวาพยักหน้าหงึกหงักแต่หัวใจเต้นโครมคราม นางเคยแอบเข้าหอนางโลมอยู่สองสามครั้ง มาช่วยคน มาสืบข่าว แน่นอนว่า หอนางโลมล้วนเป็นแหล่งข่าวชั้นเยี่ยม! แต่ที่เข้ามาล้วนมีเหตุผลอื่น แต่ไหนแต่ไรซิ่นหลิงมักเจ้าแผนการอยู่เสมอ คิดแล้วก็ยิ้มกว้าง นางคิดถูกแล้วที่ปรึกษาเรื่องนี้กับซิ่นหลิง!
แต่! ไม่อยู่ตุนหวงตั้งห้าปี ไฉนกลับรู้ว่าหอนางโลมแห่งนี้มีห้องพิเศษเช่นนี้ด้วย!
เดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นบน ห้องพิเศษที่ว่าอยู่ด้านในสุด มีระเบียงส่วนตัวมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองตุนหวงได้เด่นชัด หญิงสาวในชุดบุรุษหนุ่มนึกขึ้นได้รีบหมุนตัวกลับใช้ฝ่ามือดันแผ่นอกของกันอี๋ไว้ก่อน ทำให้ชายหนุ่มมองมือเรียวที่ทาบอยู่บนหน้าอกของตนอย่างงุนงง
“เจ้าไม่ต้องตามข้าไป”
“เหตุใดมิใช้ข้า เอ่อ บ่าวติดตามไปด้วย”
“ข้าก็เขินอายเป็นนะ” นางพูดเสียงเบา
ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมา “เจ้ารอด้านนอก หรือไม่ก็...หาหญิงงาม
สักคนมาปรนนิบัติ ข้าจะออกเงินให้เจ้าเอง”กันอี๋เห็นมือเล็กเลื่อนลงไปหยิบถุงเงินแล้วส่งให้เขา ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาเผลอยิ้มน้อยๆ นึกเอ็นดูท่าทางไร้เดียงสาที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
“เช่นนั้น บ่าวรอที่ชั้นล่างนะขอรับ”
“อืม”
ซิ่นฮวาพยักหน้ารับมองกันอี๋ที่เดินกลับไปทางเดิม นางหมุนตัวกลับมาแล้วก้าวเดินได้เพียงสองก้าว ประสาทหูที่ค่อนข้างไวของนางได้ยินบางประโยคเข้าทำให้หันขวับไปทิศทางที่ได้ยินทันที
“วันงานบวงสรวงเทพมังกรดิน ชาวเมืองจัดงานเฉลิมฉลองสนุกสนานไม่มีผู้ใดใคร่สนใจนัก เราฉวยจังหวะนี้ลงมือย่อมดีที่สุด”
“หุบปาก!”
ร่างเล็กในชุดบุรุษสาวเท้าไปตามเสียงที่ได้ยิน ว่ากันว่ามารดาของนางได้ยินเสียงเหล่าพฤษาพูดคุย และเพื่อช่วยบิดาต่อกรกับปีศาจกระหายเลือด มารดาฝืนผนึกที่ปิดโสตประสาทการได้ยินจนโลหิตไหลรินจากหูทั้งสองข้าง นั่นเป็นสาเหตุให้บางครั้งมารดาไม่ได้ยินผู้อื่นสนทนา แต่กระนั้นมารดาก็ใช้วิธี ‘อ่านปาก’ เมื่อครั้งยังเยาว์วัยนางกับซิ่นหลิงเล่นสนุกซุกซนถูกมารดาจับได้และลงโทษ นางน้อยใจมารดาจำไม่ได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไปแต่หันหลังให้ ทำให้มารดาไม่ได้ยินเสียงของนาง ทำให้มารดาน้อยใจไม่ยอมพูดคุยกับนาง บิดาต้องมาช่วยไกล่เกลี่ยให้ทำให้มารดาหายโกรธ
แม้นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธและไม่สามารถฟังเสียงพฤษาได้เช่นมารดา แต่นางสามารถเรียกขานเทพมังกรดินได้ และประสาทหูของนางค่อนข้างไว ในน้ำเสียงนั้นมีความตื่นเต้นระคนตื่นตระหนกของคนที่มีความคิดทำเรื่องไม่ดีอยู่หลายส่วน นางเห็นแผ่นหลังของชายสองคนไวๆ เดินเลี้ยวทางแยกแล้วหายไป หญิงสาวก้าวพรวดพราดอย่างลืมระวังตัว ร่างเล็กเลี้ยวไปตามทิศทางที่ตนคิดว่าใช่ ทว่าร่างของนางกับปะทะกับแผงอกของบุรุษผู้หนึ่งเข้าเต็มแรง ไม่คิดว่าตนเองจะพลาดท่าง่ายดายเช่นนี้ เท้าเล็กรีบถอยหลังทว่าช้าเกินไปร่างของนางถูกรวบไว้แล้วลากเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ บุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดดำดวงตาคมกริบดุจกระบี่จ้องมองเหมือนจะฉีกผิวกายของนางออกมาเป็นชิ้นๆ
เล่นสนุกซุกซนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน ดวงตาคู่คมที่จับจ้องปล้นเอาสติของนางไปด้วย ที่เคยคิดว่าตนเองนั้นสามารถดูแลตัวเองไม่ให้ใครมารังแกได้ มาบัดนี้นางรู้แล้วว่าตัวเองนั้นอ่อนแอยิ่งนัก และเพราะตกใจจนเผลออุทานเสียงเบาออกมา แม้เสียงไม่ดังนักแต่เป็นเสียงหวานใสของสตรี เสื้อผ้าบุรุษที่สวมอยู่ไม่อาจช่วยปกปิดซุกซ่อนความเป็นหญิงของนางได้
ซิ่นฮวาถูกดันไปชิดกับผนังห้อง นางกลอกตามองไปด้านข้างเพื่อหาช่องทางหลบหนี ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมายันผนังกักขังนางไว้ตามด้วยร่างใหญ่ที่บดเบียดมาแนบชิด นางสะบัดใบหน้าหนีเป็นจังหวะเดียวกับที่มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นดึงปิ่นปักผมของนางออก เส้นผมสีดำสนิทที่ขมวดไว้ทิ้งตัวลงมาราวกับม่านไหม หญิงสาวสะบัดหน้ากลับมาขึงตาใส่แต่กลับพบแววตาคู่นั้นมองนางอย่างหยอกล้อ โน้มใบหน้าลงมาทาบริมฝีปากกดทับริมฝีปากของหญิงสาวที่เผยอขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ดวงตากลมเบิกกว้าง ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มทำให้ซิ่นฮวาได้สติ ชายแปลกหน้าขบริมฝีปากนุ่ม ดวงตาคู่คมและดำมืดจ้องมองนางไม่กะพริบตา
จุมพิต?
นางถูกจุมพิต!
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง “แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน” “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย” จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ “ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่า
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ “อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง” ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ “เจ้า!” “ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่” ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ “เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทส
“ดูภายนอกเป็นแค่กำไลธรรมดา แต่ข้าทำให้มีกลไลซ่อนเข็มพิษได้เพียงแค่ขยับตรงนี้” พูดพลางชี้ให้ดูว่าต้องหมุนอย่างไร “แน่ใจว่าข้าจะปลอดภัยที่ใช้สิ่งนี้” ซิ่นหลิงอดหยอกน้องชายไม่ได้ ซิ่นสือชอบประดิษฐ์กลไลต่างๆ สำหรับคนฝึกยุทธเช่นเขาสิ่งนี้อาจไม่จำเป็นนัก แต่สำหรับซิ่นฮวาที่ไร้วรยุทธนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง “ย่อมใช้ได้แน่นอนและปลอดภัย” ซิ่นสือยืดตัวขึ้นตบหน้าอกตนเองหนักแน่น แม้เขาอายุเพียงสิบสี่แต่ก็เผยความสง่าผ่าเผย ซิ่นสือเริ่มฝึกยุทธช้ากว่าเขาซิ่นหลิงมากนัก แต่ภายใต้ท่าทีรักสนุกไม่สนใจเรื่องภายนอก เขากลับซ่อนความสามารถของตนได้มิดชิด มีเพียงซิ่นหลิง ซิ่นฮวาและบิดามารดาเท่านั้นที่ล่วงรู้ “ขอบใจเจ้ามาก” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง นางคงใช้นิ้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องชายไปแล้ว ซิ่นสือส่งยิ้มทะเล้นให้พี่ทั้งสอง หางตารับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเก็บอาการทะเล้นของตนเองแล้วถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ซ่งเหว่ยหนานก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามที่ประคองกล่องของขวัญตามอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มประสานมือคารวะเจ้าของงานวันเกิดทั้งสอง แ
สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว นางฉวยผ้าคลุมไหล่มาคลุมไหล่ของตนเอง เท้าเล็กๆ ก้าวไปที่หน้าต่าง ห้องนอนของนางอยู่ชั้นสอง มีระเบียงยื่นไปหาแสงจันทร์ในยามค่ำ นางจำรูปทรงห้องนอนลักษณะนี้มาจากสถานที่หนึ่งแล้ววาดออกมาให้บิดาช่วยหาช่างสร้างให้ “ห้องนอนที่มีระเบียง” มันดูไม่ปลอดภัยในสายตาของบิดาผู้รักและห่วงลูกสาว แต่เพราะรักและตามใจจึงสร้างได้อย่างที่นางต้องการ ใครว่านางไม่เคยออกจากตุนหวง! นางอาจจะเคยไปในสถานที่ที่ไม่ผู้อื่นรู้จักมาแล้วก็เป็นได้! ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้ม นางผลักบานประตูที่จะทะลุออกไปที่ระเบียงกว้าง ยังไม่ทันเอ่ยปากขานนามของเทพมังกรดิน บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงในอาภรณ์สีขาวราวก้อนเมฆก็ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์แล้ว ดวงตาเปลี่ยวเหงาดุจมีม่านหมอกจางๆ ปรายตามองมาทางนาง “ไยท่านมาก่อนที่ข้าจะเรียกขาน” นางกระชับผ้าคลุมไหล่แต่ความจริงนางอยากใช้มือกดหัวใจไม่ให้เต้นแรงเกินไป ม่านหมอกในดวงตาคู่นั้นจางหายเพราะเสียงหวานใสของหญิงสาว ฮวงหลงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง ยามนี้นางสวมชุดนอนตัวยาว เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสลายก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและห
เดิมทีคิดว่ามารดาให้จื่อเหยี่ยนติดตามนางไปด้วย ทว่ามารดามองว่า จื่อเหยี่ยนตามอกตามใจซิ่นฮวามากเกินไป ยิ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเกรงบุตรสาวคนเดียวจะซุกซนเกินเหตุจึงให้ปี้เอ๋อร์-หญิงรับใช้รุ่นใหญ่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับจื่อเหยี่ยนติดตามนาง ซิ่นฮวาเรียกปี้เอ๋อร์ว่า ‘น้าปี้เอ๋อร์’ มารดาเคยเล่าให้นางฟังบ่อยครั้งว่า ปี้เอ๋อร์คอยช่วยเหลือยามที่มารดายากลำบากดวงตาได้รับบาดเจ็บจนมองไม่เห็นชั่วคราว หลังจากปัญหาคลี่คลายแล้วจึงรับนางมาเป็นนางกำนัลคนสนิท ซิ่นฮวาในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดุจใบไม้ผลิใบยื่นหน้าออกมาจากรถม้าหลัง ขบวนเดินทางออกมาพ้นเขตตุนหวงแล้ว และซ่งเหว่ยหนานสั่งให้ขบวนหยุดพักพอดี กันอี๋บังคับม้าให้ก้าวมาทางหน้าต่างรถม้าแล้วโน้มตัวลงแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหญิง ขบวนของเราจะพักสักครู่ขอรับ” “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับ มุดหน้ากลับเข้าไป ครู่ต่อมาเตรียมลงจากรถม้า ทว่ามือข้างหนึ่งก็ยื่นมาเบื้องหน้า ซิ่นฮวาวางมือของตนลงไปอย่างเคยชินด้วยเข้าใจไปว่าเป็นมือของกันอี๋ แต่แรงบีบกระชับนั้นทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือข้างนั้น ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ทำให้นางชักมือกลับแต่
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”
“ข้าเดินกับสหายผู้หนึ่ง” เขาเอ่ยตอบไม่ได้โกหก เขาชอบเดินหมาก นอกจากมารดาของซิ่นฮวาที่เขาเองก็ไม่ได้เดินหมากกับนางมาหลายสิบปี เขาก็บังเอิญพบเยี่ยนหรงเหยาที่กลายเป็นสหายร่วมเดินหมาก เขาเอ่ยตอบแล้วประคองไหล่กลมมนให้นั่งลงที่เก้าอี้กลม เยี่ยนหรงเหยามิให้ใครแตะต้องหมากกระดานนี้ เฝ้ารอเพียงเดินหมากกับเขาเท่านั้น “ท่านหญิง เดินหมากกับข้าสักกระดานได้หรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกใจอ่อน นางพยักหน้ารับกวาดตามองหมากขาวดำบนหมากกระดาน กลวิธีเดินหมากวางเม็ดหมากตีวงล้อมก่อนค่อยๆ กินพื้นที่อีกฝ่ายอย่างใจเย็น ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลายวันมานี้นางร้องไห้จนแทบหลงวันคืน นางไม่ได้ถามเขาว่าสหายที่เขาเดินหมากด้วยเป็นใคร แต่นางไม่แปลกใจถ้าสหายที่เคยเดินหมากกระดานนี้คือคนเดียวกับที่สอนนางจับเม็ดหมาก “เจ้าอยากเดินต่อจากหมากกระดานนี้หรือ?” เขาถามแล้วหันไปพยักหน้าเรียกบ่าวรับใช้ให้นำน้ำชาเข้ามา “จะดีหรือ?” “เจ้าเดินหมากขาว ข้าเดินหมากดำ” “ได้!” นางเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยดวงตาพราวระยับ นางรู้ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่การได้เดินหมากกระดานเดียวกับคนที่นางคิดถ
ซิ่นฮวาออกจะแปลกใจที่เห็นอาหารเบื้องหน้ามีแต่ของที่นางโปรดปราน นางชอบกินของทอดเป็นที่สุด ชอบมากพอๆ กับกินเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาจีนดีๆ ที่ทำให้เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก และนางชอบกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ที่นำไปทำเป็นของหวาน เมื่อครั้งที่ลอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นกับเทพมังกรดิน เขาจะนำผิงกั๋ว (แอปเปิ้ล) สีแดงสุกให้นางกัดกินบนหลังมังกรเสมอ แคว้นหานเพิ่งผ่านภัยแล้งมาได้ไม่กี่วัน แต่บ้านสกุลเยี่ยนดูจะไม่ขาดแคลนอาหารการกิน แน่นอนว่ายอมมีพอเหลือแจกจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ถูกเชื้อเชิญในมานั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกับเยี่ยนหรงเหยา บิดาของเขาได้เข้ามาพูดคุยกับนางเล็กน้อยแต่ท่าทางเกรงอกเกรงใจเสียจนนางรู้สึกย่ำแย่เสียเอง กระนั้นนางย่อมเข้าใจดี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหนักที่เรียกว่าได้ไปก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามประตูปรโลกแล้วนั้น คนเป็นบิดาย่อมต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ นางเองไม่คิดว่าการกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด จึงมิได้ปฏิเสธ นัยต์ตาดำขลับคู่นั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของหญิงสาวไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งท
“นางเคยพบคุณชายเยี่ยนมาก่อนรึ” “เคยพบขอรับ” กันอี๋ตอบพลางระบายลมหายใจ ‘แต่ไม่คิดว่าจะยอมรั้งอยู่แคว้นหานเพื่อคนที่พบหน้าเพียงครู่เดียว’ ซิ่นหลิงได้แต่พยักหน้ารับ “นางเป็นคนใจอ่อน เห็นผู้อื่นเดือดร้อนย่อมยื่นมือช่วยเหลือ และในเวลาเช่นนี้ หากนางทำสิ่งใดแล้วสบายใจก็ปล่อยให้นางทำเถิด อย่างไรเจ้าช่วยดูแลนางด้วย เข้าใจหรือไม่ กันอี๋” “รับทราบ” กันอี๋รับคำหนักแน่นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอไม่พอใจของซาโม่ “เจ้ามันก็ตามใจนางนัก” ซาโม่พ่นลมออกทางจมูก “เจ้าไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ของนาง แต่ยังเป็นสหายอีกด้วย สหายที่ดีย่อมค่อยตักเตือนกันมิใช่หรือ” ซาโม่ตำหนิต่อหน้าและรู้ดีว่ากันอี๋ไม่โต้ตอบ เขาโคลงศีรษะอย่างหงุดแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับภูติผีวิญญาณที่ไร้ร่องรอย ซิ่นหลิงยื่นมือไปแตะไหล่กันอี๋เป็นเชิงปลอบใจ เขารู้ดีว่ากันอี๋คิดอย่างไรกับซิ่นฮวาและความรู้สึกของกันอี๋นั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่ากันอี๋จะไม่มีวันให้ซิ่นฮวารับรู้ เพราะสหายผู้นี้เจียมเนื้อเจียมตนยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมและไม่ได้ขัดขวาง แต่ด้วยนิสัยของกันอี๋ เข