ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง
ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ
รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง
หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง
สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้
มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที
“เจ้าทำอะไร?”
“ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“จูบ?”
“อืม”
“เหตุใดเจ้าจูบข้า”
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก กล้ำกลืนความอับอายลงท้อง “ก็ข้าชอบท่าน ข้าจูบคนที่ชอบผิดอย่างไร”
“เจ้าเป็นสตรี! ไยทำเช่นนี้”
“ก็ข้าบอกแล้วข้าชอบท่าน รักท่าน อยากเป็นเจ้าสาวของท่าน!” นางโต้เถียงอย่างไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายนี้
“เจ้ารักข้าไม่ได้”
“ได้สิ! ข้าก็รักท่านอยู่นี่ไงเล่า!”
“เจ้า!”
ซิ่นฮวาไม่อาจคาดเดาได้ว่าสีหน้าดุจน้ำแข็งที่มีเพียงแววตาไหวระริกของเขานั้นหมายความเช่นไร สองมือของเขาปล่อยไหล่นางออกอย่างแผ่วเบา นางยังไม่ทันกะพริบตา ร่างของเขาก็หายวับไปทันที
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น นางไม่กล้าเอ่ยนามของเขาอีกนานนับเดือน จนกระทั่งมารดาเห็นนางผิดปกติไป หญิงสาวไม่อาจซุกซ่อนความทุกข์ใจได้มิดชิด สารภาพกับมารดาไปหมดสิ้น แรกคิดว่ามารดาจะโกรธขึง แต่มารดากลับยื่นมือมาลูบผมยาวของนางอย่างเอ็นดูและอ่อนโยน
‘หากเจ้ารักคนผู้นั้นจริง เจ้าจะอดทนเพื่อเขาได้หรือไม่’
‘ได้ ลูกทำได้ทุกอย่าง เพื่อเขาแล้ว ลูกทำได้...ลูกทำได้จริงๆ เจ้าค่ะ’
หญิงสาวเผลอถอนหายใจแผ่วเบา ทว่าปลายนิ้วกลับดีดสายกู่เจิงขาด รวดเร็วเสียจนคนเหม่อไม่ทันหลบสายกู่เจิงตวัดผ่านดวงหน้าดุจหยกใส ซิ่นฮวายังไม่ทันกะพริบตา นางเห็นปลายนิ้วมือตวัดผ่านใบหน้า ข้อมือขยับพลิ้วไหวหมุนข้อมือไม่กี่ครั้ง สายกู่เจิงที่ขาดก็อยู่ในมือข้างนั้นแล้ว
“เจ้าเป็นอะไร ไยเหม่อลอยเช่นนี้” ซิ่นหลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก้มหน้าลงมองน้องสาวฝาแฝดของตนเอง นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนได้สติแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ก้มมองนางอยู่
“ซิ่นหลิง?”
“ท่านหญิงคงเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นพักสักครู่เถิด”
“ศิษย์ขออภัยท่านอาจารย์” ซิ่นฮวาได้สติรีบเอ่ยกับอาจารย์หลีจิ้นชิว บุรุษวัยสี่สิบผู้มีใบหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตามีแววอ่อนโยนดุจสายน้ำ บิดาเชิญอาจารย์
หลีจิ้นชิวมาสอนนางบรรเลงเครื่องดนตรี ด้วยอุปนิสัยใจเย็นและรักสงบทำให้รั้งอยู่ตุนหวงได้สามปีแล้ว“หากจิตใจไม่สงบ ฝืนไปก็ไร้ความหมาย” อาจารย์หลีจิ้นชิวเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงซิ่นฮวาพักผ่อนให้สบายใจก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำรอจนอาจารย์หลีจิ้นชิวก้าวเดินออกไปแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนโดยมีซิ่นหลิงยื่นมือไปช่วยประคองนางลุกขึ้นยืน ซาโม่ที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ไม่ไกลนักเหวี่ยงตัวเองลงมายืนอยู่เบื้องหน้า ยกมือปัดปลายจมูกของตนเองเล่นอย่างเคยชินแล้วจ้องมองซิ่นฮวา
“ตั้งแต่กลับมาจากหอนางโลม เจ้าดูแปลกพิกล”
ซาโม่พูดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งมนุษย์หมาป่า ประสาทสัมผัสของเขาค่อนข้างไว สถานที่คนพลุกพล่านซ้ำจิตใจยังสกปรกโสมมทำให้เขารู้สึกอึดอัดจึงเลี่ยงไปเอกเขนกบนหลังคาหอนางโลม มิได้เข้าไปด้านใน
“พี่จ้าวต้าก็มิได้ฟ้องท่านแม่มิใช่หรือ?” ซิ่นหลิงเองเป็นกังวลนัก
เมื่อวานกันอี๋มาตามเขาในห้องพิเศษ เขาเลือกหญิงงามได้แล้วแต่รอ
ซิ่นฮวาเข้ามาในห้อง อย่างไรเขาก็เป็น ‘พี่’ ให้นางเห็นเขาจุมพิตสตรี ดีกว่าให้นางเห็นบุรุษอื่นจุมพิตหรือร่วมรักหลับนอนกับหญิงอื่น ซึ่งจริงๆ เขาเองไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่าจุมพิตหญิงคณิกาให้น้องสาวฝาแฝดได้เห็นนั่นแหละ นางจะได้เลิกวุ่นวายใจเสียทีแต่กลายเป็นว่าพ่อบ้านจ้าวต้า หรือพี่จ้าวต้าที่พวกเขาเรียกติดปากนั้น กลับจากการเดินทางค้าขายเป็นตัวแทนมารดา บังเอิญผ่านมาทางหอนางโลมและจำซิ่นฮวาได้ แม้นางสวมอาภรณ์ของบุรุษก็ตามที พ่อบ้านจ้าวต้ารู้จักนิสัยซุกซนเกินเหตุของซิ่นฮวาดีจึงรีบตามเข้ามา ทำให้แผนการทั้งหมดพังไม่เป็นท่า ซิ่นฮวาถูก
พ่อบ้านจ้าวต้าพากลับตำหนัก ส่วนกันอี๋ที่ไม่รู้เรื่องราวใดมาตามกลับมาด้วย ทั้งหมดจึงกลับโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่ซิ่นฮวาต้องการ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยแต่อาการเหม่อลอยนี้ แม้นางพูดย้ำหนักหนาว่าไม่เป็นอะไร แต่เขา-
ซิ่นหลิง ไม่เชื่อนางอย่างสุดจิตสุดใจ ทว่าเมื่อนางไม่พูด เขาจึงได้แต่เฝ้ามองเพื่อจับพิรุธของนาง ทำให้คว้าสายกู่เจิงไว้ได้ทัน“ข้าบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีสิ”
นางขึ้นเสียงหมุนตัวเดินออกมาแสร้งทำเป็นชื่นชมความงามของดอกไม้ในสวนกระจ่างใจ นางชอบสวนดอกไม้ของมารดามาก ยามเรียนกู่เจิงจึงขอให้อาจารย์หลีจิ้นชิวมาสอนที่นี่
“เจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว วันพรุ่งนี้จะขึ้นบวงสรวงเทพมังกรดินได้อย่างไร”
เพียงได้ยิน ‘เทพมังกรดิน’ ซิ่นฮวาพลันได้สติ ถูกแล้ว นางมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำ นางมิใช่เด็กเล็กที่เอาแต่ใจตนเอง หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ หันมาทางซิ่นหลิงแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่เห็นกันอี๋เลย ถูกท่านน้าจื่อเหยี่ยนดุเอาหรือเปล่า”
ซิ่นหลิงพยักหน้ารับ แม้เรื่องที่นางซุกซนเข้าไปในหอนางโลมจะรู้กันแค่พวกเขาและพ่อบ้านจ้าวต้าไม่ปริปากพูดเรื่องนี้นอกจากกำชับไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก แต่กันอี๋ที่โกหกใครไม่เก่งนักถูกบิดามารดาของตนเองสอบถาม ด้วยความเป็นคนโกหกไม่เก่ง กันอี๋เลือกที่จะปิดปากสนิท ด้วยเหตุนี้จึงถูกกักบริเวณให้วันนี้อยู่ในเรือนของตน
“ประเดี๋ยวข้าจะไปพูดกับน้าจื่อเหยี่ยนเอง” นางเอ่ยออกมา “เมื่อวาน ขณะที่ข้ากำลังเดินไปที่ห้องพิเศษ ข้าได้ยินเหมือนคนสนทนากัน แต่จับใจความทั้งหมดไม่ได้ แต่ต้องมีแผนการบางอย่างที่จะลงมือในงานบวงสรวงเทพมังกรดิน”
“อย่างนั้นรึ” ซิ่นหลิงได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เข้าใจไปว่าที่นางเหม่อลอยเพราะเรื่องนี้ “ปกติตุนหวงก็มีผู้คนมากมายหลากชนเผ่าเดินทางผ่านอยู่แล้ว แต่ช่วงงานบวงสรวงชาวบ้านจะเฉลิมฉลองดื่มกินดุจงานรื่นเริง อาจขาดความระแวดระวังไปบ้าง อย่างไรข้าจะคอยดูแลความเรียบร้อยก็แล้วกัน”
“อืม” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ
“เจ้ากังวลแค่เรื่องนี้” ซิ่นหลิงหรี่ตามอง ส่วนหนึ่งในใจไม่เชื่อว่านางจะเหม่อลอยเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
แม้นางซุกซนและเอาแต่ใจ แต่นางก็เป็นคนรู้กาลเทศะอย่างดียิ่ง นางเดินกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เป็นอาภรณ์สีชมพูงดงามดุจดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ มีจื่อเหยี่ยนช่วยแต่งทรงผมให้นาง “แขกที่ท่านแม่พูดถึงเป็นผู้ใดกัน” “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยนพูดกับข้าธรรมดามิได้หรือ? ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปาก “อย่างไรน้าจื่อเหยี่ยนก็เป็นมารดาของกันอี๋ ข้านับถือเขาเป็นสหาย” จื่อเหยี่ยนหัวเราะน้อยๆ นางรู้ว่าท่านหญิงน้อยของนางมิใคร่ชอบแต่งกายมากด้วยเครื่องประดับ จึงปักปิ่นดอกไม้ ต่างหูมุก และกำไลหยกให้เพียงแค่นั้น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการให้ ‘แขก’ รอนาน จื่อเหยี่ยนพาหญิงสาวมาที่ห้องรับรอง เมื่อเดินเข้ามานางเห็นซิ่นหลิงอยู่พร้อมกับบิดามารดาแล้ว แม้ไม่เห็นเงาซิ่นสือน้องชายคนเล็ก แต่รู้ว่าต้องแอบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ “ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” ซิ่นฮวาเอ่ยขึ้นและมองผู้ที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพียงนางเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ดวงตากลมจ้องเขม็งไปยังชายผู้นั้น เวลานี้เขาสวมอาภรณ์งามสง่า
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ “อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง” ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ “เจ้า!” “ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่” ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ “เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทส
“ดูภายนอกเป็นแค่กำไลธรรมดา แต่ข้าทำให้มีกลไลซ่อนเข็มพิษได้เพียงแค่ขยับตรงนี้” พูดพลางชี้ให้ดูว่าต้องหมุนอย่างไร “แน่ใจว่าข้าจะปลอดภัยที่ใช้สิ่งนี้” ซิ่นหลิงอดหยอกน้องชายไม่ได้ ซิ่นสือชอบประดิษฐ์กลไลต่างๆ สำหรับคนฝึกยุทธเช่นเขาสิ่งนี้อาจไม่จำเป็นนัก แต่สำหรับซิ่นฮวาที่ไร้วรยุทธนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง “ย่อมใช้ได้แน่นอนและปลอดภัย” ซิ่นสือยืดตัวขึ้นตบหน้าอกตนเองหนักแน่น แม้เขาอายุเพียงสิบสี่แต่ก็เผยความสง่าผ่าเผย ซิ่นสือเริ่มฝึกยุทธช้ากว่าเขาซิ่นหลิงมากนัก แต่ภายใต้ท่าทีรักสนุกไม่สนใจเรื่องภายนอก เขากลับซ่อนความสามารถของตนได้มิดชิด มีเพียงซิ่นหลิง ซิ่นฮวาและบิดามารดาเท่านั้นที่ล่วงรู้ “ขอบใจเจ้ามาก” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง นางคงใช้นิ้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้องชายไปแล้ว ซิ่นสือส่งยิ้มทะเล้นให้พี่ทั้งสอง หางตารับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเก็บอาการทะเล้นของตนเองแล้วถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ซ่งเหว่ยหนานก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามที่ประคองกล่องของขวัญตามอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มประสานมือคารวะเจ้าของงานวันเกิดทั้งสอง แ
สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว นางฉวยผ้าคลุมไหล่มาคลุมไหล่ของตนเอง เท้าเล็กๆ ก้าวไปที่หน้าต่าง ห้องนอนของนางอยู่ชั้นสอง มีระเบียงยื่นไปหาแสงจันทร์ในยามค่ำ นางจำรูปทรงห้องนอนลักษณะนี้มาจากสถานที่หนึ่งแล้ววาดออกมาให้บิดาช่วยหาช่างสร้างให้ “ห้องนอนที่มีระเบียง” มันดูไม่ปลอดภัยในสายตาของบิดาผู้รักและห่วงลูกสาว แต่เพราะรักและตามใจจึงสร้างได้อย่างที่นางต้องการ ใครว่านางไม่เคยออกจากตุนหวง! นางอาจจะเคยไปในสถานที่ที่ไม่ผู้อื่นรู้จักมาแล้วก็เป็นได้! ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้ม นางผลักบานประตูที่จะทะลุออกไปที่ระเบียงกว้าง ยังไม่ทันเอ่ยปากขานนามของเทพมังกรดิน บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงในอาภรณ์สีขาวราวก้อนเมฆก็ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์แล้ว ดวงตาเปลี่ยวเหงาดุจมีม่านหมอกจางๆ ปรายตามองมาทางนาง “ไยท่านมาก่อนที่ข้าจะเรียกขาน” นางกระชับผ้าคลุมไหล่แต่ความจริงนางอยากใช้มือกดหัวใจไม่ให้เต้นแรงเกินไป ม่านหมอกในดวงตาคู่นั้นจางหายเพราะเสียงหวานใสของหญิงสาว ฮวงหลงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง ยามนี้นางสวมชุดนอนตัวยาว เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสลายก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและห
เดิมทีคิดว่ามารดาให้จื่อเหยี่ยนติดตามนางไปด้วย ทว่ามารดามองว่า จื่อเหยี่ยนตามอกตามใจซิ่นฮวามากเกินไป ยิ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเกรงบุตรสาวคนเดียวจะซุกซนเกินเหตุจึงให้ปี้เอ๋อร์-หญิงรับใช้รุ่นใหญ่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับจื่อเหยี่ยนติดตามนาง ซิ่นฮวาเรียกปี้เอ๋อร์ว่า ‘น้าปี้เอ๋อร์’ มารดาเคยเล่าให้นางฟังบ่อยครั้งว่า ปี้เอ๋อร์คอยช่วยเหลือยามที่มารดายากลำบากดวงตาได้รับบาดเจ็บจนมองไม่เห็นชั่วคราว หลังจากปัญหาคลี่คลายแล้วจึงรับนางมาเป็นนางกำนัลคนสนิท ซิ่นฮวาในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดุจใบไม้ผลิใบยื่นหน้าออกมาจากรถม้าหลัง ขบวนเดินทางออกมาพ้นเขตตุนหวงแล้ว และซ่งเหว่ยหนานสั่งให้ขบวนหยุดพักพอดี กันอี๋บังคับม้าให้ก้าวมาทางหน้าต่างรถม้าแล้วโน้มตัวลงแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหญิง ขบวนของเราจะพักสักครู่ขอรับ” “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับ มุดหน้ากลับเข้าไป ครู่ต่อมาเตรียมลงจากรถม้า ทว่ามือข้างหนึ่งก็ยื่นมาเบื้องหน้า ซิ่นฮวาวางมือของตนลงไปอย่างเคยชินด้วยเข้าใจไปว่าเป็นมือของกันอี๋ แต่แรงบีบกระชับนั้นทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือข้างนั้น ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ทำให้นางชักมือกลับแต่
หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย ด้วยมิเคยถูกใครตะคอกใส่เช่นนี้ เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องมาพบสตรีร้ายกาจอาละวาดเอาแต่ใจ ทว่าไม่คิดว่าจะเห็นนางตวาดเขา แต่ใบหน้านั้นมีแต่ความเขินอาย แต่ยังแสดงท่าทีโกรธขึงซึ่งไม่ได้ทำให้เขาเกรงกลัวเลยสักนิด เขาจึงไว้หน้านางด้วยการไม่โต้เถียงแต่เบือนหน้าไปหัวเราะทางอื่นแทน ‘มารดาของข้าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ท่านหมอเตือนมิให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เจ้าห้ามเอาเรื่องไร้สาระเช่นนี้ไปเอ่ยให้มารดาของข้าได้ยินเด็ดขาด!’ ในเมื่อนางถูกเปิดโปงแล้ว ก็จำใจยืดอกอย่างผ่าเผย ทั้งเรื่องที่นางแอบย่องเข้าหอนางโลมและที่คนผู้นี้ขโมยจุมพิตนาง หากเป็นสตรีอื่นคงเรียกร้องให้บุรุษรับผิดชอบ แต่นางยืนกรานมิให้เขาปริปากพูดเรื่องนี้เด็ดขาด! เรื่องนี้ทำให้บุรุษอย่างซ่งเหว่ยหนานประหลาดใจนัก ‘หญิงงาม’ คือสิ่งอันตรายอันดับต้นๆ ของบุรุษ แต่สำหรับซ่งเหว่ยหนานแล้ว เขากลับมองว่าซิ่นฮวามิได้อันตรายอย่างที่คิด นางเหมือนม้าป่าที่รอการถูกปราบพยศ เดิมทีถูกส่งตัวมาให้ ‘ขอร้อง’ หญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง เขาหงุดหงิดหัวเสียปฏิเสธหน้าที่นี้
เดินทางได้ห้าวัน ความเบื่อหน่ายของซิ่นฮวาเริ่มทำให้นาชักสีหน้า อดทนจนถึงวันที่สิบ ความเบื่อหน่ายที่สะสมมาถึงขีดสุด ที่ผ่านมานางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยในรถม้า มีเพียงเสียงกู่เจิงที่ดังออกมาช่วยทำให้คนที่ร่วมขบวนเดินทางใจสงบ และผ่อนคลาย “ต้องคลานเป็นเต่าเช่นนี้ไปถึงแคว้นหานเลยหรือน้าปี้เอ๋อร์” “ท่านหญิง” ปี้เอ๋อร์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา วางมือจากผ้าปัก “เดินทางไปแคว้นหานใช้เวลาหนึ่งเดือน นี่เพิ่งเดินทางได้สิบวันท่านหญิงเบื่อเสียแล้วหรือเจ้าคะ” “ใช่ ข้าเบื่อมาก” หญิงสาวพูดตามที่รู้สึก และการตรงมาตรงไปของนางทำให้ปี้เอ๋อร์อดตีแขนของหญิงสาวเบาๆ ไม่ได้ กระนั้นซิ่นฮวาแสร้งซูดปากแสดงสีหน้าเจ็บปวด ถ้าไม่เพราะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด ปี้เอ๋อร์คงไม่ทันเล่ห์กลของซิ่นฮวาเป็นแน่ “เราจะแต่งขบวนเดินทางเช่นนี้ทำไมกัน สู้แต่งกายเป็นชาวบ้านควบม้าเข้าแคว้นหานมิรวดเร็วกว่าหรือ?” ซิ่นฮวาพูดแล้วยื่นหน้ามาใกล้ปี้เอ๋อร์ หากเปลี่ยนเป็นจื่อเหยี่ยนต้องใจอ่อนยอมตามใจนางทุกอย่างเป็นแน่ สมแล้วที่ท่านแม่รู้ว่าบุตรสาวคนนี้เป็นเช่นไรถึงได้ส่งปี้เอ๋อร์เดินทางมาพร้อมนางด้วย
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”
“ข้าเดินกับสหายผู้หนึ่ง” เขาเอ่ยตอบไม่ได้โกหก เขาชอบเดินหมาก นอกจากมารดาของซิ่นฮวาที่เขาเองก็ไม่ได้เดินหมากกับนางมาหลายสิบปี เขาก็บังเอิญพบเยี่ยนหรงเหยาที่กลายเป็นสหายร่วมเดินหมาก เขาเอ่ยตอบแล้วประคองไหล่กลมมนให้นั่งลงที่เก้าอี้กลม เยี่ยนหรงเหยามิให้ใครแตะต้องหมากกระดานนี้ เฝ้ารอเพียงเดินหมากกับเขาเท่านั้น “ท่านหญิง เดินหมากกับข้าสักกระดานได้หรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกใจอ่อน นางพยักหน้ารับกวาดตามองหมากขาวดำบนหมากกระดาน กลวิธีเดินหมากวางเม็ดหมากตีวงล้อมก่อนค่อยๆ กินพื้นที่อีกฝ่ายอย่างใจเย็น ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลายวันมานี้นางร้องไห้จนแทบหลงวันคืน นางไม่ได้ถามเขาว่าสหายที่เขาเดินหมากด้วยเป็นใคร แต่นางไม่แปลกใจถ้าสหายที่เคยเดินหมากกระดานนี้คือคนเดียวกับที่สอนนางจับเม็ดหมาก “เจ้าอยากเดินต่อจากหมากกระดานนี้หรือ?” เขาถามแล้วหันไปพยักหน้าเรียกบ่าวรับใช้ให้นำน้ำชาเข้ามา “จะดีหรือ?” “เจ้าเดินหมากขาว ข้าเดินหมากดำ” “ได้!” นางเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยดวงตาพราวระยับ นางรู้ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่การได้เดินหมากกระดานเดียวกับคนที่นางคิดถ
ซิ่นฮวาออกจะแปลกใจที่เห็นอาหารเบื้องหน้ามีแต่ของที่นางโปรดปราน นางชอบกินของทอดเป็นที่สุด ชอบมากพอๆ กับกินเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาจีนดีๆ ที่ทำให้เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก และนางชอบกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ที่นำไปทำเป็นของหวาน เมื่อครั้งที่ลอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นกับเทพมังกรดิน เขาจะนำผิงกั๋ว (แอปเปิ้ล) สีแดงสุกให้นางกัดกินบนหลังมังกรเสมอ แคว้นหานเพิ่งผ่านภัยแล้งมาได้ไม่กี่วัน แต่บ้านสกุลเยี่ยนดูจะไม่ขาดแคลนอาหารการกิน แน่นอนว่ายอมมีพอเหลือแจกจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ถูกเชื้อเชิญในมานั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกับเยี่ยนหรงเหยา บิดาของเขาได้เข้ามาพูดคุยกับนางเล็กน้อยแต่ท่าทางเกรงอกเกรงใจเสียจนนางรู้สึกย่ำแย่เสียเอง กระนั้นนางย่อมเข้าใจดี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหนักที่เรียกว่าได้ไปก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามประตูปรโลกแล้วนั้น คนเป็นบิดาย่อมต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ นางเองไม่คิดว่าการกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด จึงมิได้ปฏิเสธ นัยต์ตาดำขลับคู่นั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของหญิงสาวไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งท
“นางเคยพบคุณชายเยี่ยนมาก่อนรึ” “เคยพบขอรับ” กันอี๋ตอบพลางระบายลมหายใจ ‘แต่ไม่คิดว่าจะยอมรั้งอยู่แคว้นหานเพื่อคนที่พบหน้าเพียงครู่เดียว’ ซิ่นหลิงได้แต่พยักหน้ารับ “นางเป็นคนใจอ่อน เห็นผู้อื่นเดือดร้อนย่อมยื่นมือช่วยเหลือ และในเวลาเช่นนี้ หากนางทำสิ่งใดแล้วสบายใจก็ปล่อยให้นางทำเถิด อย่างไรเจ้าช่วยดูแลนางด้วย เข้าใจหรือไม่ กันอี๋” “รับทราบ” กันอี๋รับคำหนักแน่นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอไม่พอใจของซาโม่ “เจ้ามันก็ตามใจนางนัก” ซาโม่พ่นลมออกทางจมูก “เจ้าไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ของนาง แต่ยังเป็นสหายอีกด้วย สหายที่ดีย่อมค่อยตักเตือนกันมิใช่หรือ” ซาโม่ตำหนิต่อหน้าและรู้ดีว่ากันอี๋ไม่โต้ตอบ เขาโคลงศีรษะอย่างหงุดแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับภูติผีวิญญาณที่ไร้ร่องรอย ซิ่นหลิงยื่นมือไปแตะไหล่กันอี๋เป็นเชิงปลอบใจ เขารู้ดีว่ากันอี๋คิดอย่างไรกับซิ่นฮวาและความรู้สึกของกันอี๋นั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่ากันอี๋จะไม่มีวันให้ซิ่นฮวารับรู้ เพราะสหายผู้นี้เจียมเนื้อเจียมตนยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมและไม่ได้ขัดขวาง แต่ด้วยนิสัยของกันอี๋ เข