“พี่ชาย!”
ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา
“เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา
“ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า”
บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่”
“ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้งกลมๆ
เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่คิดว่าลูกสาวของว่านหนิงเหมยมองเห็นเขาเช่นนี้ อึดใจต่อมาเขารับรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาทางเขาและเด็กน้อย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนทำท่าจะหายตัวไป แต่มือเล็กๆ นั้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ก่อน
“พี่ชาย ข้าจะได้เจอพี่ชายอีกไหม”
“เจ้าอยากพบข้า?”
“อือ” เด็กหญิงพยักหน้าแรงๆ
“ข้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ควรพบเจอเจ้าบ่อยๆ” เขาปลดมือของเด็กหญิงออกอย่างเบามือ รับรู้การเข้ามาใกล้ของใครบางคน เขารีบหมุนตัวก้าวเดินจากมาไม่สนใจแววตาเสียใจของเด็กน้อย
“ฮวงหลง!”
ร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงถึงกับชะงัก เขาหันขวับกลับมามองเด็กหญิงผู้นั้นด้วยความตกตะลึง
แต่นางกลับยิ้มออกมา
“ชื่อของพี่ชายคือฮวงหลงใช่ไหม?”
เห็นเขาหันหลังให้นางปวดใจนัก แต่พอนึกได้ลองเรียกชื่อเขาออกไปกลับรั้งพี่ชายผู้นั้นไว้ได้ นางเคยพูดคุยกับท่านแม่เรื่องที่นางมองเห็นชายเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงแต่ไม่มีผู้อื่นเห็น ท่านแม่จึงกระซิบบอกความลับนี้แก่นาง
“เจ้า!” น่าตายนัก! ต้องเป็นว่านหนิงเหมยที่บอกเด็กน้อยเป็นแน่ “นามของข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะเอามาพูดเล่นเช่นนี้”
“คราวหน้าพี่ชายมาหาข้าอีกนะ ข้าอยากเจอพี่ชาย”
ซิ่นฮวายิ้มให้ควาททรงจำในวัยเด็กของตนเอง นางจำใบหน้าและท่าทางเหมือนกลายเป็นก้อนหินของเขาได้ดียิ่ง
‘ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็มิได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก’
ไม่รู้เหตุใดนางจึงเห็นเขา แม้กระทั่งซิ่นหลิงซึ่งเป็นฝาแฝดกับนางยังมองไม่เห็น มีแต่มารดาเท่านั้นที่เข้าใจและเชื่อว่านางเห็นชายผู้นั้นจริงๆ
“เจ้าไม่ควรเรียกพี่ชายมาปรากฏกายบ่อยๆ นะ”
“เหตุใดข้าจะเรียกพี่ชายมาพบข้าไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“พี่ชายผู้นั้นเป็นเทพมังกรดิน ย่อมมีภารกิจที่ต้องทำมากมายนัก เขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้าหรอกนะ” มารดาวางมือบนศีรษะน้อยๆ ของนางแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ภารกิจ? ภารกิจอะไรเจ้าคะ”
มารดาหัวเราะเบาๆ พยายามหาคำอธิบายให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วเอ่ยออกมา “ช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนอย่างไรลูก”
นางกลอกตาไปมา เขามา ‘เล่น’ กับนางไม่ได้ แต่หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ย่อมมาได้สินะ ด้วยเหตุผลนี้นางผู้รักความยุติธรรมตั้งแต่เด็ก นางและซิ่นหลิงมักแต่งกายเหมือนกันออกไปเที่ยวเล่นนอกตำหนักอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่นางพบผู้คนเดือดร้อน นางเป็นต้องเรียก ‘พี่ชาย’ ออกมาช่วยเหลือทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะทำหน้าบึ้งตึง ดุดัน ขึงตาใส่นางอย่างไร นางกลับไม่เคยกลัวเขาสักครั้ง
“ถ้าพี่ชายไม่มาท่านคิดว่าข้าซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กบอบบางจะจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร”
เขาอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงก็เปลี่ยนใจเป็นเม้มปากแน่นราวกลัวว่าถ้าปริปากส่งเสียงออกมาสักคำหนึ่งจะทำให้นางหาเรื่องตอบโต้เขาได้อีก
เป็นถึงเทพมังกรดินแต่เถียงสู้เด็กห้าขวบก็มิได้ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
แม้บิดาจะรักใคร่เอ็นดูตามใจนาง แต่ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่นางสนิทสนมกับเทพมังกรดินนัก มารดาเองก็คอยตักเตือนนางเสมอ
“ทำไมท่านพ่อไม่ชอบเทพมังกรดินเล่าท่านแม่ ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ นานาว่าเทพมังกรดินคุ้มครองตุนหวง ช่วยเหลือผู้คนให้พ้นภัยมาหลายครั้งหลายคราแล้ว”
นางจำได้ว่าครั้งนั้นนางถามไปอย่างไม่เข้าใจท่าทีของบิดา แต่มารดากลับหัวเราะออกมาแล้วยื่นข้อเสนอให้นาง
“ทุกปีแม่เป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าเคยเห็นแม่บรรเลง
ผีผาในงานพิธีใช่ไหม?”นางพยักหน้าแทนคำตอบ ปีนขึ้นไปนั่งตักมารดาอย่างตั้งใจฟัง
“แม่จะให้เจ้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน...”
“ลูกอยากทำเจ้าค่ะท่านแม่” นางรีบพูดแทรกขึ้นทั้งที่มารดายังพูดไม่จบ นางเห็นสายตาตำหนิของมารดา รีบยกมือขึ้นปิดปากทำท่าสำนึกผิดที่พูดแทรกทั้งที่มารดายังพูดไม่จบประโยค
“หากเจ้าปรารถนาจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าควรฝึกบรรเลงเครื่องดนตรี เจ้าชอบสิ่งใดก็จงฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ”
นางในวัยเด็กเห็นมารดาเพียบพร้อม ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน เล่นดนตรีได้ไพเราะ บางคราวก็เห็นมารดากับบิดานั่งเล่นหมากกระดานด้วยกัน ทั้งโคลงกลอนก็เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าใคร นางจึงตัดสินจะเป็น ‘หญิงงาม’ แบบท่านแม่ให้ได้
เนื่องจากบิดาร่ำรวย นางจึงมีเครื่องดนตรีมากมายให้ลองหยิบจับสัมผัส นางซึ่ง...ไม่อาจเอาดีด้านวรยุทธ ต่างจากซิ่นหลิงที่อายุน้อยแต่เดินลมปราณได้แล้ว เมื่อบิดาเห็นว่านางสนใจดนตรีก็สรรหาอาจารย์มาสอนให้ นางเลือกเล่นพิณเพราะคิดไปว่ามันช่างแสนสง่างามหากนางนั่งบรรเลงบนแท่นพิธีในงานบวงสรวง ทว่านิ้วเล็กๆ ของนางต้องทนเจ็บปวดกับการฝึกดีดพิณ แต่เพราะนางตั้งใจจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน ทำให้นางมีความพยายามและมุ่งมั่นจนอายุเจ็ดขวบนางก็เล่นพิณเจ็ดสายได้อย่างชำนาญ และในปีต่อมานางก็เล่นพิณสิบสองสายได้อย่างไพเราะ
นางไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันที่นางหวังจะเป็นหญิงที่เหมาะสมเคียงข้างบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงผู้นั้น นางฝึกร่ายรำและเขียนโคลงกลอน มารดาเห็นความพยายามของนางจึงยอมให้นางเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน ในเวลานั้นนางอายุสิบสอง และหลังจากนั้นซิ่นหลิง ซาโม่ และกันอี๋ก็ออกเดินทางพร้อมองครักษ์ฝาแฝดเจิ้งหู่เจิ้งไฉ ส่วนนางอยู่กับจิ่นสือ แม้บิดามีราชกิจมากมายเพียงใดก็ยังสละเวลาฝึกวรยุทธให้จิ่นสือด้วยตนเอง
ในปีที่นางอายุสิบห้าสวมเสื้อผ้างดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม นางเพิ่งเสร็จพิธีบูชาเทพมังกรดินและขอตัวแยกกับผู้อื่นมานั่งพักในห้องของนาง นางนั่งอยู่ปลายเตียงยืดหลังตรงรอคอยการมาของใครบางคนที่นางกระซิบเรียกชื่อเขาออกไป เพราะเขาปรากฏออกมาช้าทำให้นางกระวนกระวายใจจนอ้าปากจะเรียกชื่อเขาอีกครั้ง แต่บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงพลันมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว
“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก “ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ” “ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย “ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ” พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า “แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง “พี่ชายไม่เห็นรึ” “เห็นมือของเจ้า” “มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ “ผึ้งต
แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่ “ดีขึ้นหรือไม่เพคะ” “ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน “มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเ
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว” สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก ทั้งสองพึงพอใจที่ให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ใช่ชีวิตครอบครัวแสนธรรมดา ละทิ้งคำว่าเชื้อพระวงศ์และยศศักดิ์ไว้เบื้องหลัง กินอาหารมื้อเย็นร่วมกัน และมักมีเสียงหัวเราะทุกครั้ง มือเรียวยื่นไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่มองมีความหมายลึกซึ้ง “หม่อมฉันทำความดีใดไว้หนอจึงได้ครองคู่กับท่านอ๋อง
กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้ นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย” ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“มีข้าอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้” วงแขนที่โอบกอดรัดร่างนางเข้ามาอย่างปกป้องทำให้เมิ่งหย่าจิ้งตะลึงงันไป นางแหงนหน้ามองใบหน้าเด็ดเดี่ยวของซ่งเหว่ยหนาน เขาสวมชุดสีแดงมงคลเดียวกับนาง กราบไหว้ฟ้าดิน เสมือนเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้นางอยู่ใกล้ในอ้อมกอดของเขา ไฉนรู้สึกไกลห่าง คนที่เขาปกป้องไม่ใช่นาง พลันเกิดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ กระแทกหัวใจของปีศาจงูดำอย่างนาง นางไม่ควรรู้สึกเช่นนี้มิใช่หรือ? เขาก็แค่มนุษย์หน้าโง่คนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องถูกนางดูดกลืนปราณชีวิตจนหมดสิ้น เหตุใดนางต้องรู้สึกปวดใจและริษยาเจ้าของใบหน้าที่ตนจำแลงแปลงกายสวมรอยเป็นนาง “ซิ่นฮวา เจ้า...บาดเจ็บรึ? เจ็บที่ใด?” ซ่งเหว่ยหนานก้มมองหญิงสาวมาพอดีจึงผสานกับดวงตาที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เห็นสีหน้าเจ็บปวดของนางทำให้เขาเข้าใจไปว่านางบาดเจ็บเพราะบุรุษแปลกหน้าที่บุกเข้าห้องหอของเขา “เจ้า!” ฮวงหลงสะอิดสะเอียนท่าทางของปีศาจที่ใช้ใบหน้าและรูปร่างของซิ่นฮวาอิงแอบแนบชิดชายอื่น บังเกิดไฟโทสะที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นเถ้าธุลี ‘ฮวงหลง!’ มือที่ยกขึ้นสูง
ในคราวนั้นเขาจำใจปล่อยนางเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และยังมีเหลียงซื่อฮั่นที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะทำสิ่งใด เขาปล่อยนางให้หลุดมือไป แต่หมายมั่นไว้ว่าก่อนกลับแคว้นหานต้องค้นหานางให้พบ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาได้พบนางอีกครั้งในฐานะของท่านหญิงซิ่นฮวา เขาชอบนางและต้องการนางมาอยู่เคียงข้าง แต่เวลานี้เพียงผลักบานประตูเข้าไป เขาสามารถคว้านางมาไว้ในวงแขนให้ตำแหน่งภรรยาเอกกับนาง ทว่า... เหตุใดเขากลับรู้สึกลังเลยิ่งนัก บุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดงมงคล ดวงตาจับจ้องไปยังสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง ผ้าคลุมหน้าสีแดงงดงามนั้นทำให้หัวใจของเขาถูกบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด เหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาไม่ต่างจากมังกรร้ายที่คลุ้มคลั่งบุกเข้าห้องหอของเจ้าสาว นางคือผู้ที่ดวงใจของเขาปรารถนาที่สุด เขาเฝ้ามองนางตั้งแต่นางยังเป็นเด็กเล็ก แต่เดิมนั้นเพียงเพราะความสงสารโชคชะตาของนางจากนั้นกลายเป็นความเอ็นดู ความผูกพันสานเกี่ยวใจทีละเล็กละน้อย แม้รู้ว่าไม่อาจครอบครองได้แต่ก็ไม่อาจต
งานแต่งงานที่แสนรีบเร่ง เมิ่งหลานเสวี่ยนมาทำหน้าที่ญาติผู้ใหญ่ให้ ซิ่นฮวา เขาไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องหอที่ถูกย้อมด้วยสีแดงมงคล เมิ่งหลานเสวี่ยนส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เมื่อพิธีวิวาห์ของท่านทั้งสองผ่านพ้นไป อายปีศาจจะค่อยๆ สลาย อย่าได้กังวลเรื่องอื่นใด” “ท่าน...แน่ใจรึ” “หากท่านคลางแคลงใจในสิ่งที่ข้าเอ่ยออกไปย่อมไม่ทำตามได้ แต่ราษฎรที่อดอยากหิวโหยของท่านหากรู้ว่ามีหนทางช่วยพวกเขาแต่ท่านลังเลไม่กล้าทำ พวกเขาจะเสียใจมากเพียงใด” แม้เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่ถ้อยคำคล้ายข่มขู่ ซ่งเหว่ยหนานหางตากระตุก แม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เขาได้แต่หยุดยืนที่หน้าประตูอย่างลังเล หญิงสาวที่อยู่หลังบานประตูนั้นคือคนที่เขาต้องการและปรารถนาให้นางเคียงข้าง เขายังจดจำครั้งแรกที่ได้พบซิ่นฮวาที่หอนางโลมนั้นได้ดี ครั้งนั้นแม้เขาต้องเดินทางมาตุนหวงตามคำสั่งของบิดาเพื่อเชิญท่านหญิงซิ่นฮวามาแคว้นหาน แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้น เขาได้รับคำไหว้วานของเมิ่งหลาน-เสวี่ยนให้มาพบกับเหลียงซื่อฮั่นที่ขณะนั้นอยู่ตุนหว
“ดี!” สายตาที่จ้องมองราวกับจะฉีกนางออกมาเป็นชิ้นๆ “ดี! ข้าจะทำให้เจ้าจดจำข้าไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ จะให้บิดาที่เจ้ารักนักหนารู้ว่าความเจ็บปวดที่ข้าได้รับเป็นอย่างไร!” นางอยากกรีดร้องแต่ไร้เสียง มือใหญ่กระชากเสื้อของนางอย่างแรงจนขาดหลุดติดมือของเขา ซิ่น ฮวารีบรวบสาบเสื้อปกปิดเนินอกมิให้อีกฝ่ายได้เห็นผิวกายของนาง นางคิดจะพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงแต่เหลียงซื่อฮั่นคว้าเอวบางได้ทัน เขาเหวี่ยงนางลงบนเตียงและคร่อมร่างเล็กอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ ข้อมือทั้งสองถูกตรึงด้วยมือแข็งแกร่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจ้องมองอย่างต้องการเห็นนางย่อยยับไม่เหลือเศษซากชิ้นดี ‘ฮวงหลง!’ นางร้องเรียกบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่ไร้เสียง ฝืนทำตัวเองให้เข้มแข็งอย่างแสดงความหวาดกลัวออกไป ไม่! นางเคยทำให้เขาต้องลำบากเพราะนางมาแล้ว นางจะ...จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก นางพยายามดิ้นรนขัดขืนใบหน้าน่ารังเกียจนั้นโน้มลงมาใกล้ นางหลับตาไม่กล้ามองดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น คล้ายแววตาของเทพมังกรเพลิงก่อนจะกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงที่อาละวาดสรวงส
เจ้ากลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถิด” เมิ่งหลานเสวี่ยนจำใจให้น้องสาวกลับไปสู่ร่างจำแลงแปลงเป็นซิ่นฮวาอีกครั้ง “คนผู้นั้นแต่งกับข้าด้วยใบหน้านี้” เมิ่งหย่าจิ้งชี้ใบหน้าตัวเองที่เป็นซิ่นฮวา “เขาไม่ได้แต่งกับข้าเมิ่งหย่าจิ้ง!” “เด็กโง่ เขากราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าย่อมแต่งกับเจ้าสิ” นางปลอบใจน้องสาว แม้เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้ แต่ถ้าเมิ่งหย่าจิ้งได้ใช้ชีวิตเป็นภรรยาบุรุษผู้มีปราณแข็งแกร่งอย่างน้อยสักสิบหรือยี่สิบปี นางจะเพิ่มพลังให้ตนเองมากยิ่งขึ้น ส่วนจะ ‘รัก’ หรือไม่นั้น เป็นความโง่งมที่นางมั่นใจว่าน้องสาวของตนจะไม่ตกลงไปในบ่วงกรรมนั้น เมิ่งหลานเสวี่ยนปรายตามองไปยังเหลียงซื่อฮั่นแล้วเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าไม่ไปดูแม่นางซิ่นฮวาหน่อยหรือ? ยังไม่มีผู้ใดส่งอาหารให้นางเลยนี่” “แค่อดข้าวไม่กี่มื้อไม่ตายง่ายๆ กระมัง” แน่นอนว่าคนที่เคย ‘อดยาก’ อย่างเขาย่อมรู้ดี ยิ่งเคยใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงใด แต่เมื่อชีวิตต้องตกอับพลิกผัน ไม่มีแม้หมั่นโถวสักชิ้นให้กัดกินมันแสนทรมานเพียงใด “แต่ข้ายังจำเป็นต้องใช้นางอยู่” เมิ่งหลานเสวี่ยนหัวเราะร่วน แล้วมองมายังตะก
“หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องทำอย่างไรจึงจักขับไล่ปีศาจงูดำออกไปได้” อ๋องหยงอี้พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา ทั้งที่เมื่อครู่เขายังสามารถลุกนั่งดื่มน้ำชาสนทนากับเมิ่งหลานเสวี่ยนและคุณชายเหลียงซื่อฮั่นได้ราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน “การกำจัดกลิ่นอายปีศาจงูดำออกไปได้นั้นย่อมมีวิธี แต่หนทางนั้นต้องให้คนสองคนเสียสละตนเองอย่างยิ่ง” “แม่นางเมิ่ง หากมีสิ่งใดที่พอช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ภัยในครั้งนี้ได้ โปรดแจ้งมาเถิด” เขาหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งของเมิ่งหลานเสวี่ยน “เสียสละอันใดและใครคือสองคนที่แม่นางกล่าวถึง” “คนสองคนนั้นคือคุณชายซ่งและแม่นางซิ่นฮวา” เมิ่งหลานเสวี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ คำพูดของนางทำให้ซ่งเหว่ยหนานนิ่งงันและค่อยๆ หันไปสบตากับซิ่นฮวา “ข้าหรือ?” เมิ่งหย่าจิ้งเบิกตาโตแสร้งเป็นตกใจ “หากข้าช่วยอะไรได้ยินดีทำทั้งสิ้น” “ท่านทั้งสองต้องเชื่อมเส้นวาสนาเข้าวิวาห์ร่วมหอกัน” “วิวาห์?” ซ่งเหว่ยหนานขมวดคิ้ว เขาปรารถนาจะแต่งงานกับซิ่นฮวา แต่ก็ต้องการให้นางแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจมิใช่ต้องฝืนใจเช่นนี้ “เหตุใดต้องวิวาห์?” “ท่านทั้งสองมีดวงชะตาของผู้มีบุญ หากได้แต่งงานมีความสัมพันธ์ทา
ปี้เอ๋อร์ที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังถึงกับสูดลมหายใจลึก ท่านหญิงน้อยของนางซุกซนเพียงใดนั้นนางผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่คลอดจากครรภ์พระชายาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ทว่ากิริยาเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงน้อยกระทำเป็นแน่ แต่กระนั้นนางก็เดินตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม รักษาระยะห่างปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินคล้องแขนบุรุษ ต่อให้ท่านหญิงซิ่นฮวามีใจให้บุรุษใดย่อมไม่ทำกิริยาเช่นนี้แน่ รวมทั้งท่าทางแปลกพิกลที่นางรู้สึกได้นั้นยิ่งทำให้นางงุนงงสับสนราวกับไม่ได้ซิ่นฮวาที่นางรู้จัก ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วสองเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยตามติดซิ่นฮวาไม่ยอมห่าง แต่บัดนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ นางสูดลมหายใจลึกเรียกกันอี๋ที่เดินอยู่ข้างนางให้หยุดเดิน “มีอะไรหรือท่านน้าปี้เอ๋อร์” ปี้เอ๋อร์มองซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้า...เอ่อ...เวลานี้ท่านชายซิ่นหลิงอยู่ไม่ไกลแคว้นหานใช่หรือไม่” กันอี๋มองหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาอย่างงุนงงแต่พยักหน้ารับ “เจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งท่านชายซิ่นหลิง?” “มีเรื่องใดกันแน่” กันอี๋
ซ่งเหว่ยหนานยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เหตุการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวาย เรื่องในจวนก็ไม่แพ้กัน นึกถึงสิ่งที่ตนสัญญากับซิ่นฮวา ไม่ว่านางจะเรียกฝนได้หรือไม่ เขาก็จะปกป้องนาง แน่นอนว่าหัวใจของเขาพร้อมปกป้องนาง แต่ท่าทางแปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เขาสับสนเหลือเกิน ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆ นานาที่โถมถั่งเข้ามานั้น หางตาเหลือบเห็นท่าทีประหม่าของซ่งซีเหมยที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกให้เข้ามา “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งเหว่ยหนานยื่นมือไปรั้งร่างเล็กมานั่งบนตักส่งยิ้มอ่อนโยน “เอ่อ...” ซ่งซีเหมยมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าคนอื่นมักกล่าวถึงพี่ชายของนางว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่กับนางแล้วเขาเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนเสมอ “ว่ามาเถิด” “เมื่อครู่น้องเข้าไปคารวะท่านพ่อแต่ในห้องของท่านพ่อมีสตรีอยู่ข้างกาย” “สตรี?” ผู้ใดกันที่เข้าไปเยี่ยมบิดาของเขาโดยที่เขาไม่รู้เช่นนี้ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “นางเคยมารักษาข้าและท่านพ่อเมื่อหลายเดือนก่อน” ซ่งเหว่ยหนานนึกออกได้ในทันที “แม่นางเมิ่งหลานเสวี่
“สถานที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก” เขายื่นมือมาเบื้องหน้า เล็บยาวเรียวแหลมดูน่ากลัว “ไปกับข้า ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าได้อีก ข้าจะรักเจ้า” “ระ...รัก...รักหรือ?” บุปผาน้อยได้แต่ทวนคำอย่างงุนงง เขารักนางหรือ? เพราะรักจึงมาหานางบ่อยๆ มาพูดจาหยอกล้อนางกระนั้นหรือ? เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยย้ำนักอย่างชัดเจน “ข้ารักเจ้า” “แต่...ข้า...ไม่ได้รักท่าน” นางพูดจากใจจริง แล้วตระหนักได้ว่า... “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ? ท่านกลายเป็นปีศาจเพราะข้า?” “ไม่...ไม่ใช่เพราะเจ้า” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “สถานที่หลอกลวงเช่นนี้ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก! เปิดประตูสวรรค์ให้เหล่าปีศาจได้มาสังสรรค์กันเต็มที่!” “อย่า! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางอ้อนวอน หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางต้องรับผิดชอบ! “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้” “แล้ว...ถ้าข้าไปกับท่าน ท่านจะปิดประตูสวรรค์ได้หรือไม่ ไม่ให้เหล่าปีศาจขึ้นมาที่นี่” ดวงจิตที่ถูกปีศาจร้ายครอบครองแล้วนั้น ย่อมไม่สนใจว่าตนเองต้องรักษาคำพูด ทำได