“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก
“ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ”
“ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่
“เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย
“ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ”
พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า
“แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว
นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง
“พี่ชายไม่เห็นรึ”
“เห็นมือของเจ้า”
“มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ
“ผึ้งต่อย?”
“ก็ข้าเป็นผู้จัดดอกไม้มาบูชาเทพมังกรเลยถูกผึ้งต่อยจนมือบวมแดง พี่ชายช่วยรักษาข้าหน่อยสิ” เด็กสาวยืนยันด้วยยื่นหลังมือให้เขา
บุรุษหนุ่มอ้าปากจะโต้เถียงแล้วนึกได้ว่า เขาไม่เคยเถียงเด็กหญิงคนนี้ได้สำเร็จสักครั้ง จึงทำได้แค่ประคองมือข้างนั้นของนางขึ้นโน้มตัวลงใช้ริมฝีปากเป่าลมหายใจมังกรรักษารอยแดงเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็นให้นาง ดวงหน้าเล็กแดงระเรื่อ นางมักหาเรื่องให้ตัวเองเพื่อหาเหตุผลที่เรียกเขามาอยู่เบื้องหน้านางเช่นนี้
“หายเจ็บหรือไม่” เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากถาม พบดวงตาของนางจ้องมองอยู่ กลายเป็นเขาที่ต้องเบือนหน้าหนีไปเสียเอง
“พี่ชาย” ซิ่นฮวาแอบเสียดายที่เขาปล่อยมือนางทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่รอยอุ่นยังตราตรึงหลังมือของนางอยู่ “อีกสองวันข้าจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วนะ”
“ฮืม”
“อีกสองวันข้าก็ไม่ใช่เด็กหญิงแล้วนะ”
“ฮืม”
“อีกสองวันข้าจะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
“ฮืม”
“อีกสองวันข้าก็เป็นเจ้าสาวให้พี่ชายได้แล้วนะ”
“ฮืม เฮ้ย!” เขารีบหันขวับมาจ้องมองนาง แต่นางกลับมองเขาด้วยแววตาสุกใสเป็นประกายวับวาว “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา”
“ก็ข้าชอบพี่ชายนี่” นางพูดตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ รักก็บอกว่ารัก อย่างที่ท่านป้าซานม่านหวาสอนนาง แต่นางเห็นสีหน้าตระหนกตกใจของเขาแล้วก็หน้าเจื่อนไป
“หรือพี่ชายมีคนที่รักอยู่แล้ว”
“ไม่มี”
“หรือพี่ชายรังเกียจข้า”
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น”
“แล้วเหตุใดรับข้าเป็นเจ้าสาวมิได้”
“เจ้าเป็นมนุษย์ ข้าเป็นเทพ มิอาจครองรักหรือใช้ชีวิตร่วมกันได้”
เขาเผชิญหน้ากับนาง แต่พอเห็นแววตาปวดใจของนางแล้ว เขากลับปวดใจยิ่งกว่า
“ข้าไม่สน” นางพูดเอาแต่ใจตามประสาลูกสาวคนเดียวที่มีแต่คนเอาอกเอาใจ “ขอแค่พี่ชายรักข้า ข้ารักพี่ชายก็พอแล้ว”
เห็นเขานิ่งงันไป ใบหน้าเด็กสาวจึงเหลือเพียงความหม่นหมอง
“พี่ชายเป็นเทพคงพูดปดไม่ได้สินะ”
นางสูดลมหายใจลึกรู้สึกแสบจมูกและร้อนที่ขอบตา เด็กสาวจ้องมองใบหน้าชายหนุ่มเบื้องหน้า เมื่อครั้งที่ยังเด็กกว่านี้ นางเพียงแค่เห็นเขาเป็นบุรุษรูปงาม นอกจากท่านพ่อแล้วและพี่น้องผู้อื่นแล้ว เขาเป็นบุรุษคนเดียวที่ใกล้ชิดนาง ไม่ว่านางมีเรื่องใด เขาคือคนแรกที่นางคิดถึง
ก่อนนั้นเพราะเห็นดวงตาเปลี่ยวเหงาของเขา จึงหาเรื่องเรียกเขาเพื่อจะได้เห็นเขาถอนหายใจเบื่อหน่าย แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ช่วยเหลือนางทุกคราไป นานวันเข้านางจึงรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งคือความอบอุ่นอ่อนโยนที่นางอยากเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
นางจึงอยากเป็นเจ้าสาวของเขา
“หรือพี่ชายยังรักท่านแม่ของข้าอยู่”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไรแต่เรื่องนั้นมันก็นานมากแล้ว เหลือเพียงความห่วงใยให้นางเท่านั้น บุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงอับจนซึ่งหนทางและถ้อยคำ
“อ๊ะ!”
เด็กสาวตกใจ นางไม่รู้ตัวว่ากำลังร้องไห้!
แต่ไหนแต่ไร นางเป็นคนที่มีแต่คนรักห้อมล้อมอยู่รอบกาย ไม่เคยมีเรื่องใดให้ต้องเสียใจถึงขนาดต้องหลั่งน้ำตาเช่นนี้ เด็กสาวขยับตัวถอยห่างจ้องมองเขาอย่างปวดใจ แต่เขากลับคว้าข้อมือนางไว้ ดึงนางเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นประคองใบหน้าของนางให้แหงนขึ้นจ้องมองดวงตาของเขาจนสะท้อนเห็นเงาตัวเองในดวงตาของกันและกัน
“เจ้าเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าความรักคือสิ่งใด”
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว อีกสองวันข้าก็จะ...”
นางยังโต้เถียงเขา นางเห็นเขาโน้มหน้าลงมาจึงหลุบตาลงทันทีด้วยความเขินอาย ลมหายใจอุ่นของเขาเป่ารดดวงหน้านาง เด็กสาวรีบลืมตาขึ้นส่ายหน้าไปมา รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรงและอ่อนยวบลงไปในวงแขนของเขาเข้าสู่ห้วงนิทราไป
หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้นางเอนตัวลงบนเตียง นางเปิดเผยความรู้สึกตัวเองก่อนเช่นนี้ นางหมายมั่นตั้งใจว่าจะเป็นเจ้าสาวให้เขา เขาเองก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น ในวันเกิดปีที่สิบหกปีที่แล้ว นางทวงของขวัญวันเกิดจากเขา นางขอให้เขาหลับตา นางตั้งใจเป็นฝ่ายจุมพิตเขา แต่เพราะความสูงที่ต่างกันมาก นางเขย่งจนสุดปลายเท้าก็ยังไม่ถึงริมฝีปากของเขา พลันร่างกายเสียหลักโถมเข้าใส่เขาเสียอีก แผนการขอจุมพิตเป็นของขวัญวันเกิดจึงล้มไม่เป็นท่า กระนั้นนางก็ยังไม่สิ้นหวัง ปีนี้นางหมายมั่นจะต้องทำทุกวิถีทางให้เขาเป็นของนางให้จงได้
‘เมื่อมีของที่ชอบก็ต้องไขว่คว้ามา จะรอให้ร่วงหล่นจากฟ้าคงไม่มีวันได้ครอบครอง’
นางจำที่รองแม่ทัพซานม่านหวาพูดได้อย่างดี นางจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นพูดคุยเรื่องใด แต่นางสะดุดใจกับประโยคนี้ รองแม่ทัพซานเป็นหญิงที่ห้าวหาญไม่เหมือนหญิงใด แม้บางครั้งมารดาจะทักท้วงว่าไม่เหมาะสม แต่นางก็เห็นด้วย ในเมื่อบุรุษจีบสตรีได้ ไยนางจะจีบบุรุษก่อนไม่ได้เล่า
นางแอบเสาะหาหนังสือ ‘อย่างว่า’ มาศึกษาแต่ก็ยังงุนงงกับภาพที่เห็น รูปร่างของพี่ชายใหญ่โตออกป่านนั้น เกิดนอนทับนางตามรูปในหนังสือมีหวังนางต้องแบนแน่ๆ แต่ก็มีรูปที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายนั่งอยู่บนตักผู้ชาย ทว่า...มาลองนึกดู ตั้งแต่ห้าขวบนางก็นั่งตักเขาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แถมปีนป่ายกอดคอขี่หลังอีก มิเห็นเขาจะมีท่าทางหวั่นไหวอะไรกับนางเลย
“มันต้องเห็นของจริงสักครั้งสิ” นางฝึกเล่นพิณครั้งแรกก็ยังต้องทำตามที่อาจารย์สอน หากเรื่องอย่างว่านั้น ถ้านางได้เห็นสักครั้งย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะมัดใจชายได้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นเหตุผลให้นางอยากไปหอนางโลม เพื่อจะได้ให้เห็นสักคราว่าเรื่องระหว่างชายหญิงเขาทำกันอย่างไร
หวังว่าซิ่นหลิงจะช่วยนางนะ ไม่สิ! นางรู้ดีว่าซิ่นหลิงต้องช่วยนางให้บรรลุแผนการในครั้งนี้!
แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่ “ดีขึ้นหรือไม่เพคะ” “ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน “มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเ
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว” สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก ทั้งสองพึงพอใจที่ให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ใช่ชีวิตครอบครัวแสนธรรมดา ละทิ้งคำว่าเชื้อพระวงศ์และยศศักดิ์ไว้เบื้องหลัง กินอาหารมื้อเย็นร่วมกัน และมักมีเสียงหัวเราะทุกครั้ง มือเรียวยื่นไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่มองมีความหมายลึกซึ้ง “หม่อมฉันทำความดีใดไว้หนอจึงได้ครองคู่กับท่านอ๋อง
กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้ นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย” ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายเต็มแรงแต่ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าขยับตัวเลยสักนิด เขาใช้ร่างของตนกักขังนางไว้อย่างแนบชิด เพราะนางเผยอริมฝีปากอยู่ก่อนแล้วทำให้เขาแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากได้ง่ายดาย ปลายลิ้นแตะถูกลิ้นน้อยๆ ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน ลมหายใจถูกปิดกั้นจนแทบหมดสติ ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววรื่นรมย์ ยอมถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้สูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ “เท่าไร?” “!” หญิงสาวยังมึนงงจึงได้แต่กะพริบตาจ้องมองใบหน้าของชายแปลกหน้า ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงเพราะแรงหอบหายใจทำให้บดเบียดแผงอกที่เบียดชิดนางอยู่ “ค่าตัวเจ้าเท่าไร” คำถามซ้ำอีกครั้งของเขาทำให้ซิ่นฮวาได้สติ หญิงสาวขึงตาใส่ด้วยความโกรธและโมโห ทำให้พวงแก้มแดงจัดขึ้นไปกว่าเมื่อครู่ เขาถามค่าตัวนาง! ชายผู้นี้เห็นนางเป็นหญิงคณิกา! “ข้าไม่ใช่หญิงคณิกา!” นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อจะได้ขึงตาใส่อย่างดุดัน หวังข่มขวัญให้เขากลัว ทว่านางกลับเห็นใบหน้าเคร่งเครียดแต่แววตามีรอยยิ้มของเขา นางกลับรู้สึกว่าตัวเองพลาดอีกแล้ว นางผงะถอยหลังและกลอกตาหาช่องทางหลบหนี หญิงสาวรับรู้ถึงการเคล
ปีที่นางอายุสิบห้า นางอาจหาญขอเป็นเจ้าสาวของเขา ปีนี้นางอายุสิบหกขอจุมพิตแรกและปรารถนาจะให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งที่ตั้งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ กระนั้นนางก็อดประหม่าและเขินอายไม่ได้ แม้ดวงตาของเขาจะปิดสนิทแต่เมื่อเห็นเขาใกล้ถึงเพียงนี้ ขนตางามงอน หลังเปลือกตาคือดวงตาที่กลิ้งไปมาคล้ายระแวงระวัง นางยื่นปากของตนเข้าไปใกล้ ทว่าความตื่นเต้นทำให้นางประหม่าเอนตัวเข้าหาร่างสูงมากเกินไปจนกลายเป็นล้มเข้าใส่เขาเต็มแรง ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ รวดเร็วดุจดวงดาวกะพริบแสง หญิงสาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เช่นเดียวกับดวงตาสีเทาหม่นที่เบิกกว้างจ้องมองการกระทำของนาง สิ่งที่คาดหวัง ไม่ใช่เช่นนี้ มือใหญ่ยื่นมาจับสองไหล่ของหญิงสาวยันร่างนางออกเบาๆ ซิ่นฮวาได้แต่กะพริบตาปริบๆ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงเขาหรี่ตามองอย่างดุดันทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไร?” “ก็...” ถูกจับได้เช่นนี้ปฏิเสธก็ไม่ทันเสียแล้ว นางจึงยืดอกอย่างสง่าเผยทั้งที่พวงแก้มแดงจัดลามเลียลงลำคอของนางไปแล้ว “จูบไง”
“ข้าย่อมเห็นความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ” นางเชิดปลายคางขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นใจไปเสีย ซิ่นหลิงจ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันเบื้องหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ดี!” ภายนอกร่ำลือกันไปว่า ท่านหญิงซิ่นฮวาเป็นบุตรีที่รักของชินอ๋องเฟยเทียนนางจึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง สิ่งใดไม่ถูกใจก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงามและความร้ายกาจในคนเดียว ซิ่นฮวาปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปเช่นนั้น เพราะนางไม่ต้องการให้ผู้ใดส่งแม่สื่อมาเยือนประตูตำหนักอ๋อง เรื่องนี้ ซิ่นหลิงย่อมรู้ดี ยอมให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยเรื่องเช่นนี้ ซิ่นหลิงได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสบายใจได้แล้วสินะ” ซาโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นมา แล้วยกมือยืดแขนตัวเองราวกับเมื่อยขบมานาน “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าอยากกินขนมอร่อยๆ แล้วสิ” ซิ่นฮวาหัวเราะคิกคัก ยามใดที่นางส่งเสียงหัวเราะ ราวกับดอกไม้ก็ร่วมใจกันผลิบานรับเสียงกังวานใสของนาง หญิงสาวที่เติบโตท่ามกลางความรักและเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ไม่เคยมีเรื่องใดมารบกวนจิตใจ ดวงตาฉ่ำหวานคู่นั้นไม่เคยหลั่งน้ำตาเพราะความเศร้าโศก ซึ่ง...
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
หญิงสาวพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้เข้มแข็ง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไม่มองภาพในกระจกเวทมนตร์นั้น ไม่ได้...นางต้องปกป้องทุกคน นางจะเอาแต่คร่ำครวญไม่ได้ แต่ก่อนอื่นนางต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน การที่นางส่งเสียงไม่ได้ และมาอยู่ก้นสระน้ำเช่นนี้ สตรีที่จำแลงรูปร่างหน้าตาได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังมีเรื่องเสพปราณมังกรอีก ‘ฮวงหลง’ นางส่งเสียงเรียกเทพมังกรดินอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงขยับปากแต่ไร้เสียง นางสูดลมหายใจลึกข่มความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกาย เขาปกป้องนางมาตลอดสิบเจ็ดปี ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นอันตรายเพราะนาง ‘โอ๊ย!’ ร่างบางทิ้งตัวทรุดลงไปนั่ง นางปวดหัวใจอย่างรุนแรงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมอกซ้าย คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้พยายามผลักดันออกจากด้านใน ตรงหัวใจของนาง หญิงสาวหลับตาข่มความปวดร้าวในอก นางรู้ว่าตนเองเฝ้ามองเทพมังกรดินตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา ทว่ายามนี้ นางรู้สึกได้ว่านานกว่านั้น มิใช่เพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ยาวนานนับร้อยๆ ปี คล้ายเคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน คล้ายเลือนลาง
นี่ใช่สระน้ำที่อยู่ใกล้เรือนของซ่งซีเหมยหรือไม่? นางอยู่ก้นสระน้ำใกล้เรือนของซ่งซีเหมย? นี่มันเรื่องอะไรกัน! นางงงไปหมดแล้ว! นางอ้าปากส่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก มือเรียวเลื่อนมาจับที่ลำคอของตนเอง นางขยับปากพยายามส่งเสียงแต่ยังไร้ผล เกิดอะไรขึ้นกับนาง หญิงสาวพยายามตั้งสติ อ่า...ก่อนหน้านี้ ...ก่อนหน้านี้นางบรรเลงกู่เจิงในพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินเพื่อขอฝน นางพร่ำเพรียกเอ่ยขานนามเทพมังกรดิน แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่! เสียงหัวเราะดังจากด้านหลัง ซิ่นฮวารีบหมุนตัวกลับไปมองทันที นางตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษมาปรากฏกายตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติแต่นางเชื่อมั่นว่าไม่เคยพบสตรีที่สวมอาภรณ์สีแดงสดซึ่งกำลังหัวเราะเสียงกังวานและบุรุษผู้หนึ่งที่เดินลากเท้าเข้ามาใกล้ บนใบหน้ามีหน้ากากปิดเสี้ยวหน้า แต่กระนั้นยังมองเห็นรอยแผลเป็นเหวอะหวะ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่ารอยแผลเหล่านั้นคือดวงตาที่จ้องมองนางราวกับจะฉีกร่างของนางออก
“ข้ากลัว” น้ำเสียงหวาดหวั่นอย่างน่าสงสาร “ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้หรือไม่” “ได้สิ” เขานั่งลงที่ข้างเตียงพลิกมือหญิงสาวมากุมไว้ “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้” หญิงสาวบนเตียงส่ายหน้าไปมา ส่งยิ้มอ่อนหวานให้ “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เป็นความผิดของเทพมังกรดินที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือต่างหาก” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากดุจกลีบกุหลาบทำเอาปี้เอ๋อร์ถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่เก็บซ่อนอาการตื่นตกใจของตนเองมิดชิด นางเลี้ยงซิ่นฮวามาตั้งแต่แบเบาะไม่เคยได้ยินหญิงสาวว่าร้ายเทพมังกรดินเลยสักคราเดียว ซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับซ่งเหว่ยหนานอีก ยังไม่ทันได้ขบคิดไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็พาซ่งซีเหมยเข้ามา “พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เด็กน้อยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ทว่าเมื่อนางเห็นซิ่นฮวาที่นอนอยู่บนเตียง เอียงใบหน้าจ้องมองมายังนาง เด็กหญิงกลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ นางผงะถอยหลังไปหลบอยู่หลังแม่นมซูทันที“ซีเหมยเจ้าเป็นอะไร” ซ่งเหว่ยหนานถามอย่างแปลกใจ ปกติน้องสาวตัวน้อยทำตัวติดกับซิ่นฮวาแจแทบไม่อยากแยกกันเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ