ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง
‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’
‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้
‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า
‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’
‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด!
‘พี่ชาย...เป็นนางที่เห็นท่าน มิใช่ข้าทำให้นางมองเห็น’
ถ้อยคำของนางทำให้เทพมังกรดินชะงักเท้า ร่างนิ่งงันไปราวกับเพิ่งได้สติ ก่อนจะหลับตาลงร้องโอดครวญอยู่ในใจ
‘เด็กนั่นที่ท่านพูดถึงคือบุตรสาวของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าหวังใจว่าพี่ชายจะเอ็นดูนาง’
ว่านหนิงเหมยที่เวลานี้นางเป็นชายาของชินอ๋องเฟยเทียน และเป็นมารดาของบุตรทั้งสาม แม้ซิ่นฮวาจะซุกซนจนมีเรื่องให้ผู้เป็นมารดาอย่างนางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแทบทุกวัน แต่เรื่องดีเรื่องเดียวในความซุกซนนี้คือทำให้ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ ผู้แสนเยียบเย็นมีรอยยิ้ม
นางส่ายหน้าไปมา หวังว่า ‘พี่ชาย’ จะรู้ตัวว่าเขายิ้มทุกครั้งที่พูดถึง ‘เจ้าเด็กนั่น’ ของนาง
ความครื้นเครงที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง กว่าห้าปีที่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ออกเดินทางไปร่ำเรียน แม้มีองครักษ์อย่างเจิ้งหู่เจิ้งไฉเดินทางไปด้วย แต่นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของพวกเขาและใช้ชีวิตไกลบ้านเกิด กลับมาครั้งนี้เด็กชายทั้งสามเติบโตขึ้นมาก กลายเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ซิ่นหลิงถอดแบบบุรุษร่างนักรบจากบิดา ในขณะที่กันอี๋ยังคงเป็นบุรุษพูดน้อย ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่เสมอ ส่วนซาโม่รูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาเด็กชายทั้งสาม ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์และไม่ยอมใคร
แม้เจ้าของตำหนักจะเป็นถึงชินอ๋อง แต่เจ้าของตำหนักใคร่สนใจธรรมเนียมเช่นคนในเมืองหลวงนัก ผู้ที่อยู่รวมโต๊ะอาหารเย็นจะเป็นรองแม่ทัพหญิง ทหารผู้ติดตามและหญิงรับใช้ประจำตัวพระชายา ทว่าทุกคนเป็นมิตรสหายคนสนิทที่จริงใจกับเจ้าของตำหนักมากที่สุด จึงทำให้ระหว่างพวกเขาเป็นสหายรัก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ซิ่นฮวาปรากฏกายอีกครั้งในชุดสีชมพูกลีบบัว ใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาดุจหงส์ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ผิวอ่อนบางดุจหยกใส มิอาจกล่าวได้ว่านางเป็นโฉมสะคราญล่มเมือง ทว่าความงดงามที่ประกอบในตัวหญิงสาวนั้นก็ทำให้ผู้คนไม่อาจถอนสายตาได้
ซิ่นฮวาลอบมองมารดา เมื่อเห็นสีหน้าไม่ถือโทษโกรธที่นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักตามลำพังแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางยกมือลูบหน้าอกตัวเองเป็นการปลอบขวัญ ท่าทางของหญิงสาวทำให้แฝดผู้พี่ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจอีกฝ่าย ซิ่นฮวาขึงตาใส่แต่ซิ่นหลิงเพียงไหวไหล่ไม่สนใจ
“เอาละ ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้นานแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกัน ใช้ชีวิตอยู่บนเขาหนางเจียงมานาน วันนี้กินให้อิ่มหน่ำเถิดนะ”
เป็นเสียงจื่อเหยี่ยน บ่าวคนสนิทของพระชายาหนิงเหมยเอ่ยขึ้นมา แม้เป็นหญิงรับใช้แต่ในวันนี้ได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน นางมองลูกชายที่ยามนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หางตาพลันมีน้ำตาซึมออกมา จากชีวิตทาสหนีตายไม่คิดว่าจะได้มีชีวิตมาถึงวันที่ได้เห็นลูกชายเติบใหญ่เช่นนี้ และหากไม่เพราะบุตรชายของนางได้ติดตามซิ่นหลิงไปร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน กันอี๋ของนางคงไม่ได้มีวาสนาเช่นนี้
“เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงวันเก่าๆ ขาดแค่กุนซือปากร้ายผู้นั้น” รองแม่ทัพ
ซานม่านหวาเอ่ยขึ้นพลางหยิบน่องไก่ชิ้นโตส่งให้ลูกชาย นางเป็นหญิงมีนิสัยห้าวหาญ แต่เพื่อ ‘ซาโม่’ บุตรชายของตนแล้ว นางมักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ ภายนอกมาร์คัสเหมือนคนไม่ค่อยพูดจา แต่เมื่ออยู่กับคนที่รู้สึกสนิทใจก็เปิดเผย รอยยิ้ม ลักษณะเด่นทั้งจากมารดาและบิดาหล่อหลอมให้ซาโม่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาล และหากมองดวงตาคู่นี้ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจะเห็นว่าดวงตาคู่นี้เป็นประกายสีแดงร้อนแรง“ก่อนกลับมาบ้าน ข้าได้แวะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเจี่ยงแล้ว พวกเขาสบายดียิ่งและฝากความระลึกถึงทุกคนด้วย” ซิ่นหลิงเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดความว่ากุนซือคนสนิทของบิดาโอดครวญอยากกลับตุนหวงเพียงใด
“ดีจริงพวกพี่ได้เดินทางกันตั้งแต่อายุสิบสอง ข้าสิปีนี้อายุสิบสี่แล้วยังต้องอยู่เฝ้าตำหนักอยู่เลย” ซิ่นสือบ่นขึ้นมาบ้าง
“ก็ใครให้เจ้าเกิดช้าไปตั้งสามปีเล่า” ซิ่นหลิงอดหยอกเย้าน้องชาย ไม่ได้เจอกันห้าปี น้องชายตัวน้อยคนนั้นกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาเสียแล้ว หากได้ฝึกปรือเคี่ยวกรำตนเองอีกสักหน่อย ต้ององอาจไม่แพ้ใครเป็นแน่
“เอาเถิดๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้กินข้าวกันก่อนเถิด” คราวนี้พระชายาเอ่ยปากด้วยตนเอง ทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าซึ่ง
ตระเตรียมเพื่อต้อนรับบุตรชายที่เพิ่งได้กลับบ้านหลังอาหารค่ำผ่านไป เหล่าผู้ใหญ่ต่างปล่อยให้เด็กๆ ได้พูดคุยกันตามประสาพี่น้อง แต่ละคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กันแค่ปีเศษ แม้กันอี๋เกิดก่อนแต่ซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาไม่เคยเรียก ‘พี่’ นำหน้า มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาเป็นเพียง
บุตรชายของบ่าวรับใช้ แต่เพราะความสนิทสนมของพวกเด็กๆ มากกว่าเนื่องจากชินอ๋องเฟยเทียนรักใคร่เอาอกเอาใจบุตรสาวยิ่งนัก ในสวนกระจ่างใจจึงตบแต่งอย่างงดงามราวแดนสวรรค์ บิดาสั่งทำชิงช้างดงามให้บุตรสาวที่รักได้นั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งกลายเป็นมุมโปรดของซิ่นฮวา แม้เป็นยามค่ำคืนแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับประดาตกแต่งงดงามให้ความรู้สึกสว่างสดใส
ร่างบอบบางในชุดสีชมพูกลีบบัวนั่งอยู่ที่ชิงช้าโดยมีกันอี๋ช่วยแกว่งชิงช้าให้อยู่ที่ด้านหลัง เมื่อครั้งที่นางยังเด็ก เขาก็ทำให้เช่นนี้ เพียงแต่ยามนี้เด็กหญิงผู้นั้นกลายเป็นหญิงสาวงดงามที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะทุกครั้งที่สบตา
“พี่จ้าวต้าจะกลับมาทันงานบวงสรวงเทพมังกรดินหรือไม่นะ” ซิ่นสือพึมพำพลางโยนเม็ดถั่วเคลือบน้ำตาลเข้าปาก
‘พี่จ้าวต้า’ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แต่ความจริงนั้นตรงข้าม อาจเป็นเพราะเมื่อยังเป็นเด็ก ‘พี่จ้าวต้า’ เป็นเด็กกำพร้าที่
พระชายาหนิงเหมยซื้อตัวมา ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงว่านหนิงเหมย จ้าวต้าติดตามพระชายาจากเมืองหลวงมาอยู่ตุนหวง แม้จะเป็นเพียงเด็กรับใช้แต่พระชายาให้ความเอ็นดู สนับสนุนให้ร่ำเรียนและมีชากกี-สามีของจื่อเหยี่ยนเป็นครูสอนการต่อสู้ให้ จ้าวต้าเติบโตคอยดูแลเด็กๆ ในตำหนัก พระชายาผู้ไม่ถือยศศักดิ์ให้เด็กๆ เรียก ‘พี่จ้าวต้า’และยังให้เขาเป็น ‘พ่อบ้าน’ ดูแลความเรียบร้อยในตำหนักอีกด้วย“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ” กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง” “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด” “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้า
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้ “ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่ “เอาเถอะ ข้าจะหาทางให้ก็แล้วกัน” “เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน” “หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก “ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่” “ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ? ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตน
“พี่ชาย!” ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา “เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา “ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า” บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่” “ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้ง
“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก “ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ” “ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย “ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ” พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า “แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง “พี่ชายไม่เห็นรึ” “เห็นมือของเจ้า” “มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ “ผึ้งต
แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่ “ดีขึ้นหรือไม่เพคะ” “ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน “มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเ
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว” สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก ทั้งสองพึงพอใจที่ให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ใช่ชีวิตครอบครัวแสนธรรมดา ละทิ้งคำว่าเชื้อพระวงศ์และยศศักดิ์ไว้เบื้องหลัง กินอาหารมื้อเย็นร่วมกัน และมักมีเสียงหัวเราะทุกครั้ง มือเรียวยื่นไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่มองมีความหมายลึกซึ้ง “หม่อมฉันทำความดีใดไว้หนอจึงได้ครองคู่กับท่านอ๋อง
กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้ นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย” ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ
ซิ่นฮวารับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังจ้องมองนางอยู่ไกลๆ นางไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับดวงตาที่จ้องมองราวกับทะลุเข้าไปถึงหัวใจของนาง นางเหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างบอบบางซวนเซราวกับดอกไม้ที่ปลิดปลิวในอากาศ “กันอี๋” ปี้เอ๋อร์ร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่องครักษ์หนุ่มรวดเร็วพอที่จะช้อนร่างของหญิงสาวอุ้มขึ้นก่อนที่นางจะร่วงลงไปกองกับพื้น “ขออภัยท่านหญิง” กันอี๋อุ้มนางแล้วก้าวเร็วๆ โดยมีปี้เอ๋อร์แทบจะวิ่งตามกลับมาที่เรือนที่พวกเขาพำนักพักอยู่ องครักษ์หนุ่มมองมือเรียวเล็กที่จับสาบเสื้อของเขาอยู่ ในใจแม้กังวลกับท่าทางอ่อนแออย่างไร้ที่มาที่ไปนี่ แต่กลับนึกถึงภาพในวัยเยาว์ เขาเป็นเพียงบุตรชายของหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาหนิงเหมย มารดาของท่านหญิงซิ่นฮวาที่แสนซุกซนเอาแต่ใจ สิ่งใดที่นางต้องการล้วนแล้วต้องได้ตามใจปรารถนา นั้นร่วมถึงยามที่นางอยากปีนป่ายต้นไม้ เขาก็ต้องยอมเป็นม้าให้นางเหยียบแผ่นหลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แท้จริงแล้ว นางมิใช่คนที่ชอบชี้นิ้วบงการผู้อื่นแต่หลายครั้งที่นางลองทำสิ่งที่ต้องการแล้วไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง นางจึงได้ร้องขอแกมขู่บังคับ ท่านอ๋องเ
“ให้ข้าไปส่งน้องซีเหมยด้วยได้หรือไม่” ซิ่นฮวารีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นซ่งเหว่ย-หนานอุ้มน้องสาวก้าวออกไปได้สองสามก้าวแล้ว ซ่งเหว่ยหนานแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า ซิ่นฮวาหันมาปี้เอ๋อร์และกันอี๋ แม้ไม่พูดอะไรแต่เข้าใจความหมาย สองผู้ติดตามจึงเดินตามอยู่ห่างๆ “ปกติน้องสาวของข้าไม่ค่อยพูดจานัก นอกจากข้ากับแม่นมซูแล้วนางก็ไม่สนิทสนมกับใคร มีท่านหญิงเป็นคนแรกที่นางทำตัวติดท่านหญิงแจเช่นนี้” “ซีเหมยเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นย่อมรู้สึกเอ็นดู เจ้าโชคดีมากที่มีน้องสาวน่ารักเช่นนี้” พูดไม่ทันจบประโยคดี นางเผลอสะอึกจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงน่าอับอายนั้น ซ่งเหว่ยหนานที่อยู่ใกล้ได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ห้ามหัวเราะข้า! อึก!” “เช่นนั้นท่านหญิงก็ห้ามสะอึกสิ” “ข้าห้ามตัวเองได้ที่ไหนล่ะ! อึก!” ซ่งเหว่ยหนานถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ ทว่าเด็กน้อยที่อุ้มอยู่เงยหน้าขยี้ตามองพี่ชาย ทั้งสามเดินผ่านสระน้ำที่ยามนี้พระจันทร์ดวงกลมโตสะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำราวกับสระน้ำนี้เป็นกระจกบานใหญ่ ซ่งเหว่ยหนานสงสารคนที่สะอึกไม่หยุด เขาอุ้มน้องสาวมาจนถึงห้
ดนตรีบรรเลงชวนรื่นรมย์ และมีเพียงซ่งเหว่ยหนานและซ่งซีเหมยสองพี่น้อง ไม่มีขุนนางผู้อื่นอยู่ เว้นแต่บรรดาหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ซิ่นฮวาพึงพอใจที่ไม่เห็นผู้อื่น ไม่มีขุนนางใดมาร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงทำตัวไม่ถูก ซ่งซีเหมยเห็นซิ่นฮวาเดินเข้ามาแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งเข้ามาจับมือของหญิงสาวให้เดินมานั่งที่ที่จัดไว้ “ซีเหมยอย่าเสียมารยาท” ซ่งเหว่ยหนานปรามน้องสาว แต่เด็กน้อยกลับหลบหลังหญิงสาว นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้ม ดวงตาคู่นั้นวับวาวดุจดาราบนฟากฟ้า ยิ่งการแต่งกายของนางขับเน้นผิวกายขาวผ่องดุจหิมะแรกแห่งเหมันต์ ทำให้เขาเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล ซ่งซีเหมยแกล้งกระแอมไอทำให้เขาได้สติและเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลง “งานต้อนรับเล็กๆ หวังว่าท่านหญิงจะไม่ถือสา” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยขึ้นแล้วหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้บรรดาคนรับใช้นำอาหารเข้ามา “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” นางยิ้มจากใจจริง มองดูอาหารเลิศรสที่ถูกลำเลียงมาวางตรงหน้า นางหันไปส่งยิ้มให้ซ่งซีเหมย เวลานี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสมากไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด หรือเพราะแสงยามเย็นย้อมผิวเด็กหญิงตัวน้อยไ
ซิ่วอิ่งพึมพำกับตนเองแล้วเดินหลับเข้ามาในเรือนของซ่งซีเหมยเป็นจังหวะที่คุณหนูตัวน้อยกับแม่นมเดินกลับมาแล้ว แม่นมซูไม่ค่อยชอบซิ่วอิ่งนัก แต่เพราะนางเป็นหญิงรับใช้ที่ “ผู้มีพระคุณ” ฝากฝังมาให้ดูแล “ซ่งซีเหมย” โดยเฉพาะ ทำให้แม่นมซูไม่กล้าแสดงสีหน้าว่าไม่ชอบนาง “แม่นมซูออกไปเถิด ข้าจะดูแลคุณหนูเองเจ้าค่ะ” “แต่ว่า...” “แม่นม...” ซ่งซีเหมยไม่ชอบอยู่กับซิ่วอิ่งตามลำพังจึงยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของแม่นมซูแน่น “ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นมซูลืมคำสั่งของแม่นางเมิ่งหลานเสวี่ยนแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมซูทำอะไรไม่ได้ เมิ่งหลานเสวี่ยนคือผู้มีพระคุณของคุณหนู หนึ่งปีก่อนอาการของซ่งซีเหมยทรุดหนัก ไม่ว่าหมอจากเมืองหลวงหรือที่ใดก็ไม่อาจรักษานางได้ จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏกายพร้อมให้ดื่มยาวิเศษ ทำให้ซ่งซีเหมยแข็งแรงขึ้น ยามนี้เมิ่งหลานเสวี่ยนไม่ได้อยู่ที่นี่ นานๆ จะแวะเวียนมาสักครั้ง จึงให้ซิ่วอิ่งคอยดูแลซ่งซีเหมย แม้คุณหนูจะอาการดีขึ้นแต่นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร “คุณหนูไปเถิดเจ้าค่ะ” เ
“เช่นนั้น น้องเหมยเอ๋อร์พาพี่สาวเดินเล่นสักครู่ดีหรือไม่” ซ่งซีเหมยได้ยินซิ่นฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนม ซ้ำยังแทนตัวเองว่าพี่สาว เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับแล้วเป็นฝ่ายจูงมือซิ่นฮวาให้เดินไปที่ศาลากลางน้ำ แสงแดดกระทบผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดผ่านแผ่วเบาขับไล่ไอร้อนออกไปได้มาก หญิงสาวต่างวัยสองคนจูงมือมานั่งที่เก้าอี้ ซ่งซีเหมยส่งยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก แก้มทั้งสองกลายเป็นก้อนกลมๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก “ข้าชอบที่นี่มาก เมื่อก่อนพี่ชายพาข้ามานั่งเล่นบ่อยๆ พี่เหว่ยหนานบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่งนัก” “อย่างนั้นรึ” ซิ่นฮวาทำหน้าประหลาดใจ คนผู้นั้นมีเวลาสนใจเรื่องดนตรีด้วยหรือ? แต่...ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจะไปใส่ใจทำไมกัน ซ่งซีเหมยรีบพูดต่อ “เพราะบิดาไม่ค่อยสบาย พี่ชายข้าจึงต้องรับภาระหน้าที่ดูแลราษฎรแคว้นหาน ป่านนี้แล้วพี่ชายข้ายังไม่ภรรยาหรือแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียงก็ไม่มีนะ” คราวนี้เป็นซิ่นฮวาที่ไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร คงมิใช่ว่าน้องสาวกำลังออกโรงเป็นแม่สื่อตัวน้อยเสียเอง นางย้ายสายตาไปทางปี้เอ๋อร์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ใกล้ๆ ส่วนกันอี๋แสร้งทำเป็นไ