หญิงสาวในชุดบุรุษทำหน้างุนงงแล้วยกแขนขึ้นดมกลิ่นกายตัวเอง นางถึงกับทำหน้าแหย เพราะเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันเวลา นางถึงกับมุดรอดรูทางหมารอดตรงกำแพงด้านหลังตำหนัก ท่าทางของนางทำให้บุรุษทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวหันมาขึงตาใส่แต่ดูเหมือนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะนั้นได้ นางจึงเชิดใบหน้าขึ้นยืดแผ่นหลังตรงแล้วเดินอย่างสง่ารีบกลับเรือนของตนเองทันที
บุรุษวัยสี่สิบห้าลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักยอมลดความโกรธเคืองในตัวลูกสาวคนเดียวลง แม้เวลานี้ภรรยาของเขาจะอายุสามสิบหกแล้วและเป็นมารดาของบุตรสามคน ทว่ายังคงใบหน้าอ่อนเยาว์และอ่อนโยนไม่ต่างจากวันวาน
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามี นางกลับขึงตาใส่ พาลเอาความโมโหมาลงที่ตัวผู้เป็นบิดาแทน
“เพราะท่านพี่ตามใจนางนัก นางจึงเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรไม่คิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด”
“ได้ๆ เป็นข้าที่ผิดเอง” มือใหญ่หยาบกร้านลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ หากใครมาเห็นเข้าคงนึกไม่ถึงว่า ชินอ๋องเฟยเทียนผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นครึ่งปีศาจในอดีตนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ยามนี้เขาต้องเป็นฝ่ายง้องอนภรรยาที่ดุราวแม่เสือ
“ท่านพี่ ท่านก็เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮวาเอ๋อร์ได้ใจ” ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าไปมา เพราะในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียว ทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน คนสนิทของนางล้วนมีแต่บุตรชาย รองแม่ทัพหญิงซานม่านหวาและมาร์คัสได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อซาโม่ ส่วนจื่อเหยี่ยนแม้เป็นเพียงบ่าวรับใช้แต่นางให้ความนับถือดุจพี่สาว จื่อเหยี่ยนเป็นภรรยาของชากกี-มือขวารองแม่ทัพ
ซานม่านหวาให้กำเนิดบุตรชายชื่อกันอี๋ ส่วนนางเองให้กำเนิดบุตรฝาแฝดชายหญิงนามซิ่นหลิงและซิ่นฮวา สามปีถัดมาให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กชื่อซิ่นสือ ในบรรดาเด็กทั้งหมดในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาที่เป็นหญิง บิดาจึงรักใคร่เอ็นดูทั้งเอาอกเอาใจ รวมทั้งบ่าวไพร่ก็ยังรักเอ็นดูเด็กหญิงอย่างแท้จริงทว่าเด็กที่เติบโตท่ามกลางคนเอาอกเอาใจนั้นมักเอาแต่ใจตนเอง นางซึ่งเป็นมารดาจึงหวั่นเกรงบุตรสาวจะเสียนิสัย และกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและคนรอบข้างอย่างไม่รู้ตัว นางจึงคอยห้ามปราบลูกสาวสุดกำลัง แต่ทำให้นางกลายเป็นมารดาใจร้าย
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ฮวาเอ๋อร์ยังเด็กนัก”
“เด็กได้อย่างไรกัน ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ตอนที่หม่อมฉันอายุสิบแปดก็สมรสกับท่านแล้ว” พูดเรื่องนี้แล้วก็ใจชื้น ทั้งสองสามีภรรยาคิดตรงกันที่ไม่เร่งรีบให้บุตรสาวแต่งงานออกเรือน ไม่คิดบังคับฝืนใจหรือให้นางแต่งงานด้วยเงื่อนไขต่างๆ ขอเพียงให้บุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่นางรักและรักนางก็เพียงพอ เหตุผลนี้รวมถึงบุตรชายทั้งสองด้วย หรือถ้านางจะไม่แต่งงานออกเรือน ทั้งสองก็ไม่คิดบีบคั้นจิตใจบุตรสาว
แต่ประการหลังนั้น...อาจจะ...หรือเป็นไปไม่ได้ เหตุเพราะนางรู้ดีว่าบุตรสาวมีชายในดวงใจแล้ว แม้บิดาใจกว้างให้บุตรสาวเลือกคู่ครองของตนได้เอง ทว่าผู้ที่บุตรสาวหลงรักอยู่นั้น บิดามิใคร่ชอบพอเท่าไรนัก เพราะชายผู้นั้นคือเทพมังกรดิน!
“เอาเถิดๆ วันนี้ หลงเอ๋อร์ กันอี๋ และซาโม่กลับมาแล้ว เจ้าเป็นมารดาควรดีใจกับพวกเขาถึงจะถูกสิ”
คนเป็นมารดาส่ายหน้าอีกครั้ง “เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน จะกลับบ้านก็ไม่รู้จักเขียนจดหมายส่งข่าวมาบอกก่อน พ่อแม่จะได้เตรียมตัวต้อนรับ”
มือแข็งแกร่งประคองร่างภรรยาเดินออกมาที่ห้องโถง ระหว่างเดินจากเรือนของตนนั้น ว่านหนิงเหมยหวนคิดถึงวันเวลาที่นางให้กำเนิดบุตรชายหญิงฝาแฝดคู่นั้น เด็กทั้งสองมีใบหน้าที่เหมือนกันมาก และด้วยความซุกซน เด็กทั้งสองมักสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันเพื่อให้ผู้อื่นทายไม่ถูกว่าใครหรือซิ่นหลิง ใครคือซิ่นฮวา แม้
ซิ่นหลิงเป็นผู้ชายแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีอย่างไม่ขัดเขิน ซ้ำยังงดงามน่ารักไม่ต่างจากซิ่นฮวาเลยสักนิด เมื่อซิ่นฮวาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษของซิ่นหลิงก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองซุกซนเหลือเกิน ทว่านางรู้ดีว่าลูกๆ เป็นคนจิตใจอ่อนโยน รักความถูกต้องยุติธรรม แม้ทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกันมากแต่นิสัยก็แตกต่างกันมากเช่นกัน ในความซุกซนของซิ่นหลิงมีความเงียบขรึมและสงบนิ่ง ดวงตาคมวาวเช่นเดียวกับบิดา ในขณะที่ซิ่นฮวาดุจนกน้อยร่าเริงและอ่อนหวาน เป็นซิ่นฮวาต่างหากเป็นผู้ชักชวนให้ผู้อื่นเล่นสนุกซุกซนกับนางแต่สิ่งหนึ่งที่ซิ่นฮวาแตกต่างจากซิ่นหลิงอย่างชัดเจนที่สุดคือ นางมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ ตั้งแต่ซิ่นฮวายังเป็นเพียงทารกตัวน้อยดุจก้อนแป้งนุ่ม ดวงตางามคู่นั้นมักมองเลยไปที่ใดที่หนึ่งเสมอ เมื่อนางเริ่มพูดได้ สื่อความรู้เรื่องมากขึ้น ซิ่นฮวามักชี้นิ้วไปที่ใดที่หนึ่งแล้วเรียกว่า ‘พี่ชาย’ หลายคนเข้าใจไปว่า ‘พี่ชาย’ ของซิ่นฮวาคือซิ่นหลิง แต่ผู้แป็นแม่สังหรณ์ใจว่าไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อได้คุยกับลูกสาว พี่ชายที่นางพูดถึงคือบุรุษผู้มีเส้นผมสีเงินยาวสลวย นางจึงเข้าใจได้ในทันที เพราะนางเองก็เคยพบ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ มาก่อน
‘ฮวาเอ๋อร์ เจ้ากลัวเขาผู้นั้นหรือไม่’
‘เหตุใดต้องกลัวด้วยเจ้าคะ ท่านแม่’ เด็กหญิงตัวน้อยในวัยช่างเจรจาเอ่ยถาม
‘มีเพียงเจ้าที่มองเห็นเขาผู้นั้น...’
‘ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่กลัว พี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า ทั้งที่ข้าโบกมือส่งยิ้มให้ตั้งหลายครั้ง’
ผู้เป็นมารดากลั้นหัวเราะแล้วยื่นมือไปลูบผมยาวของลูกสาว ‘เหตุใดเจ้าทำเช่นนั้นเล่า’
‘ก็ทุกครั้งที่ข้าเห็นพี่ชายผมสีเงิน เขามักอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเลย ข้าคิดว่าพี่ชายต้องเป็นเหงาแน่ ข้าเลยอยากทำให้พี่ชายหายเหงา’
‘เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเหงา’ เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักเหงาได้อย่างไรกัน
‘ก็...’ เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดก่อนชี้ที่ดวงตาของตนเอง ‘พี่ชายผมเงินผู้นั้น มีดวงตาหมองเศร้าไม่เหมือนข้าหรือหลิงเอ๋อร์เลยสักนิด พี่ชายผมเงินอยู่ผู้เดียวไม่มีใครเลย เขาต้องเหงาแน่เจ้าค่ะ’
นางมองลูกสาวแล้วส่ายหน้าไปมา เมื่อคราวที่นางได้พบเทพมังกรดินเป็นครั้งแรกนั้น นางอายุเก้าขวบแล้ว แต่นี่ลูกสาวของนางทำเหมือนกับว่าเห็นเทพมังกรดินมาตั้งแต่เกิด เมื่อคิดว่าเทพผู้นั้นที่แวะเวียนมาคงเพราะยังเป็นห่วงนางแต่ไม่ปรากฏกายให้นางเห็น ทว่าซิ่นฮวากลับมองเห็นแต่ซิ่นหลิงเป็นฝาแฝดกลับไม่เห็น เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงกระซิบบอกความลับเกี่ยวกับ ‘พี่ชายผมเงิน’ ให้ซิ่นฮวาล่วงรู้ นั้นคือ ‘ชื่อ’ ของเทพมังกรดิน
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง ‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’ ‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้ ‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า ‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’ ‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักน
“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ” กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง” “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด” “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้า
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้ “ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่ “เอาเถอะ ข้าจะหาทางให้ก็แล้วกัน” “เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน” “หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก “ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่” “ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ? ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตน
“พี่ชาย!” ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา “เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา “ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า” บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่” “ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้ง
“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก “ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ” “ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย “ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ” พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า “แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง “พี่ชายไม่เห็นรึ” “เห็นมือของเจ้า” “มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ “ผึ้งต
แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่ “ดีขึ้นหรือไม่เพคะ” “ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน “มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเ
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว” สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก ทั้งสองพึงพอใจที่ให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ใช่ชีวิตครอบครัวแสนธรรมดา ละทิ้งคำว่าเชื้อพระวงศ์และยศศักดิ์ไว้เบื้องหลัง กินอาหารมื้อเย็นร่วมกัน และมักมีเสียงหัวเราะทุกครั้ง มือเรียวยื่นไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่มองมีความหมายลึกซึ้ง “หม่อมฉันทำความดีใดไว้หนอจึงได้ครองคู่กับท่านอ๋อง
กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้ นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย” ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้
“มีข้าอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้” วงแขนที่โอบกอดรัดร่างนางเข้ามาอย่างปกป้องทำให้เมิ่งหย่าจิ้งตะลึงงันไป นางแหงนหน้ามองใบหน้าเด็ดเดี่ยวของซ่งเหว่ยหนาน เขาสวมชุดสีแดงมงคลเดียวกับนาง กราบไหว้ฟ้าดิน เสมือนเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้นางอยู่ใกล้ในอ้อมกอดของเขา ไฉนรู้สึกไกลห่าง คนที่เขาปกป้องไม่ใช่นาง พลันเกิดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ กระแทกหัวใจของปีศาจงูดำอย่างนาง นางไม่ควรรู้สึกเช่นนี้มิใช่หรือ? เขาก็แค่มนุษย์หน้าโง่คนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องถูกนางดูดกลืนปราณชีวิตจนหมดสิ้น เหตุใดนางต้องรู้สึกปวดใจและริษยาเจ้าของใบหน้าที่ตนจำแลงแปลงกายสวมรอยเป็นนาง “ซิ่นฮวา เจ้า...บาดเจ็บรึ? เจ็บที่ใด?” ซ่งเหว่ยหนานก้มมองหญิงสาวมาพอดีจึงผสานกับดวงตาที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เห็นสีหน้าเจ็บปวดของนางทำให้เขาเข้าใจไปว่านางบาดเจ็บเพราะบุรุษแปลกหน้าที่บุกเข้าห้องหอของเขา “เจ้า!” ฮวงหลงสะอิดสะเอียนท่าทางของปีศาจที่ใช้ใบหน้าและรูปร่างของซิ่นฮวาอิงแอบแนบชิดชายอื่น บังเกิดไฟโทสะที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นเถ้าธุลี ‘ฮวงหลง!’ มือที่ยกขึ้นสูง
ในคราวนั้นเขาจำใจปล่อยนางเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และยังมีเหลียงซื่อฮั่นที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะทำสิ่งใด เขาปล่อยนางให้หลุดมือไป แต่หมายมั่นไว้ว่าก่อนกลับแคว้นหานต้องค้นหานางให้พบ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาได้พบนางอีกครั้งในฐานะของท่านหญิงซิ่นฮวา เขาชอบนางและต้องการนางมาอยู่เคียงข้าง แต่เวลานี้เพียงผลักบานประตูเข้าไป เขาสามารถคว้านางมาไว้ในวงแขนให้ตำแหน่งภรรยาเอกกับนาง ทว่า... เหตุใดเขากลับรู้สึกลังเลยิ่งนัก บุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดงมงคล ดวงตาจับจ้องไปยังสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง ผ้าคลุมหน้าสีแดงงดงามนั้นทำให้หัวใจของเขาถูกบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด เหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาไม่ต่างจากมังกรร้ายที่คลุ้มคลั่งบุกเข้าห้องหอของเจ้าสาว นางคือผู้ที่ดวงใจของเขาปรารถนาที่สุด เขาเฝ้ามองนางตั้งแต่นางยังเป็นเด็กเล็ก แต่เดิมนั้นเพียงเพราะความสงสารโชคชะตาของนางจากนั้นกลายเป็นความเอ็นดู ความผูกพันสานเกี่ยวใจทีละเล็กละน้อย แม้รู้ว่าไม่อาจครอบครองได้แต่ก็ไม่อาจต
งานแต่งงานที่แสนรีบเร่ง เมิ่งหลานเสวี่ยนมาทำหน้าที่ญาติผู้ใหญ่ให้ ซิ่นฮวา เขาไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องหอที่ถูกย้อมด้วยสีแดงมงคล เมิ่งหลานเสวี่ยนส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เมื่อพิธีวิวาห์ของท่านทั้งสองผ่านพ้นไป อายปีศาจจะค่อยๆ สลาย อย่าได้กังวลเรื่องอื่นใด” “ท่าน...แน่ใจรึ” “หากท่านคลางแคลงใจในสิ่งที่ข้าเอ่ยออกไปย่อมไม่ทำตามได้ แต่ราษฎรที่อดอยากหิวโหยของท่านหากรู้ว่ามีหนทางช่วยพวกเขาแต่ท่านลังเลไม่กล้าทำ พวกเขาจะเสียใจมากเพียงใด” แม้เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่ถ้อยคำคล้ายข่มขู่ ซ่งเหว่ยหนานหางตากระตุก แม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เขาได้แต่หยุดยืนที่หน้าประตูอย่างลังเล หญิงสาวที่อยู่หลังบานประตูนั้นคือคนที่เขาต้องการและปรารถนาให้นางเคียงข้าง เขายังจดจำครั้งแรกที่ได้พบซิ่นฮวาที่หอนางโลมนั้นได้ดี ครั้งนั้นแม้เขาต้องเดินทางมาตุนหวงตามคำสั่งของบิดาเพื่อเชิญท่านหญิงซิ่นฮวามาแคว้นหาน แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้น เขาได้รับคำไหว้วานของเมิ่งหลาน-เสวี่ยนให้มาพบกับเหลียงซื่อฮั่นที่ขณะนั้นอยู่ตุนหว
“ดี!” สายตาที่จ้องมองราวกับจะฉีกนางออกมาเป็นชิ้นๆ “ดี! ข้าจะทำให้เจ้าจดจำข้าไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ จะให้บิดาที่เจ้ารักนักหนารู้ว่าความเจ็บปวดที่ข้าได้รับเป็นอย่างไร!” นางอยากกรีดร้องแต่ไร้เสียง มือใหญ่กระชากเสื้อของนางอย่างแรงจนขาดหลุดติดมือของเขา ซิ่น ฮวารีบรวบสาบเสื้อปกปิดเนินอกมิให้อีกฝ่ายได้เห็นผิวกายของนาง นางคิดจะพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงแต่เหลียงซื่อฮั่นคว้าเอวบางได้ทัน เขาเหวี่ยงนางลงบนเตียงและคร่อมร่างเล็กอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ ข้อมือทั้งสองถูกตรึงด้วยมือแข็งแกร่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจ้องมองอย่างต้องการเห็นนางย่อยยับไม่เหลือเศษซากชิ้นดี ‘ฮวงหลง!’ นางร้องเรียกบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่ไร้เสียง ฝืนทำตัวเองให้เข้มแข็งอย่างแสดงความหวาดกลัวออกไป ไม่! นางเคยทำให้เขาต้องลำบากเพราะนางมาแล้ว นางจะ...จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก นางพยายามดิ้นรนขัดขืนใบหน้าน่ารังเกียจนั้นโน้มลงมาใกล้ นางหลับตาไม่กล้ามองดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น คล้ายแววตาของเทพมังกรเพลิงก่อนจะกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงที่อาละวาดสรวงส
เจ้ากลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถิด” เมิ่งหลานเสวี่ยนจำใจให้น้องสาวกลับไปสู่ร่างจำแลงแปลงเป็นซิ่นฮวาอีกครั้ง “คนผู้นั้นแต่งกับข้าด้วยใบหน้านี้” เมิ่งหย่าจิ้งชี้ใบหน้าตัวเองที่เป็นซิ่นฮวา “เขาไม่ได้แต่งกับข้าเมิ่งหย่าจิ้ง!” “เด็กโง่ เขากราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าย่อมแต่งกับเจ้าสิ” นางปลอบใจน้องสาว แม้เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้ แต่ถ้าเมิ่งหย่าจิ้งได้ใช้ชีวิตเป็นภรรยาบุรุษผู้มีปราณแข็งแกร่งอย่างน้อยสักสิบหรือยี่สิบปี นางจะเพิ่มพลังให้ตนเองมากยิ่งขึ้น ส่วนจะ ‘รัก’ หรือไม่นั้น เป็นความโง่งมที่นางมั่นใจว่าน้องสาวของตนจะไม่ตกลงไปในบ่วงกรรมนั้น เมิ่งหลานเสวี่ยนปรายตามองไปยังเหลียงซื่อฮั่นแล้วเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าไม่ไปดูแม่นางซิ่นฮวาหน่อยหรือ? ยังไม่มีผู้ใดส่งอาหารให้นางเลยนี่” “แค่อดข้าวไม่กี่มื้อไม่ตายง่ายๆ กระมัง” แน่นอนว่าคนที่เคย ‘อดยาก’ อย่างเขาย่อมรู้ดี ยิ่งเคยใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงใด แต่เมื่อชีวิตต้องตกอับพลิกผัน ไม่มีแม้หมั่นโถวสักชิ้นให้กัดกินมันแสนทรมานเพียงใด “แต่ข้ายังจำเป็นต้องใช้นางอยู่” เมิ่งหลานเสวี่ยนหัวเราะร่วน แล้วมองมายังตะก
“หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องทำอย่างไรจึงจักขับไล่ปีศาจงูดำออกไปได้” อ๋องหยงอี้พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา ทั้งที่เมื่อครู่เขายังสามารถลุกนั่งดื่มน้ำชาสนทนากับเมิ่งหลานเสวี่ยนและคุณชายเหลียงซื่อฮั่นได้ราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน “การกำจัดกลิ่นอายปีศาจงูดำออกไปได้นั้นย่อมมีวิธี แต่หนทางนั้นต้องให้คนสองคนเสียสละตนเองอย่างยิ่ง” “แม่นางเมิ่ง หากมีสิ่งใดที่พอช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ภัยในครั้งนี้ได้ โปรดแจ้งมาเถิด” เขาหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งของเมิ่งหลานเสวี่ยน “เสียสละอันใดและใครคือสองคนที่แม่นางกล่าวถึง” “คนสองคนนั้นคือคุณชายซ่งและแม่นางซิ่นฮวา” เมิ่งหลานเสวี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ คำพูดของนางทำให้ซ่งเหว่ยหนานนิ่งงันและค่อยๆ หันไปสบตากับซิ่นฮวา “ข้าหรือ?” เมิ่งหย่าจิ้งเบิกตาโตแสร้งเป็นตกใจ “หากข้าช่วยอะไรได้ยินดีทำทั้งสิ้น” “ท่านทั้งสองต้องเชื่อมเส้นวาสนาเข้าวิวาห์ร่วมหอกัน” “วิวาห์?” ซ่งเหว่ยหนานขมวดคิ้ว เขาปรารถนาจะแต่งงานกับซิ่นฮวา แต่ก็ต้องการให้นางแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจมิใช่ต้องฝืนใจเช่นนี้ “เหตุใดต้องวิวาห์?” “ท่านทั้งสองมีดวงชะตาของผู้มีบุญ หากได้แต่งงานมีความสัมพันธ์ทา
ปี้เอ๋อร์ที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังถึงกับสูดลมหายใจลึก ท่านหญิงน้อยของนางซุกซนเพียงใดนั้นนางผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่คลอดจากครรภ์พระชายาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ทว่ากิริยาเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงน้อยกระทำเป็นแน่ แต่กระนั้นนางก็เดินตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม รักษาระยะห่างปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินคล้องแขนบุรุษ ต่อให้ท่านหญิงซิ่นฮวามีใจให้บุรุษใดย่อมไม่ทำกิริยาเช่นนี้แน่ รวมทั้งท่าทางแปลกพิกลที่นางรู้สึกได้นั้นยิ่งทำให้นางงุนงงสับสนราวกับไม่ได้ซิ่นฮวาที่นางรู้จัก ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วสองเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยตามติดซิ่นฮวาไม่ยอมห่าง แต่บัดนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ นางสูดลมหายใจลึกเรียกกันอี๋ที่เดินอยู่ข้างนางให้หยุดเดิน “มีอะไรหรือท่านน้าปี้เอ๋อร์” ปี้เอ๋อร์มองซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้า...เอ่อ...เวลานี้ท่านชายซิ่นหลิงอยู่ไม่ไกลแคว้นหานใช่หรือไม่” กันอี๋มองหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาอย่างงุนงงแต่พยักหน้ารับ “เจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งท่านชายซิ่นหลิง?” “มีเรื่องใดกันแน่” กันอี๋
ซ่งเหว่ยหนานยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เหตุการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวาย เรื่องในจวนก็ไม่แพ้กัน นึกถึงสิ่งที่ตนสัญญากับซิ่นฮวา ไม่ว่านางจะเรียกฝนได้หรือไม่ เขาก็จะปกป้องนาง แน่นอนว่าหัวใจของเขาพร้อมปกป้องนาง แต่ท่าทางแปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เขาสับสนเหลือเกิน ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆ นานาที่โถมถั่งเข้ามานั้น หางตาเหลือบเห็นท่าทีประหม่าของซ่งซีเหมยที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกให้เข้ามา “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งเหว่ยหนานยื่นมือไปรั้งร่างเล็กมานั่งบนตักส่งยิ้มอ่อนโยน “เอ่อ...” ซ่งซีเหมยมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าคนอื่นมักกล่าวถึงพี่ชายของนางว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่กับนางแล้วเขาเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนเสมอ “ว่ามาเถิด” “เมื่อครู่น้องเข้าไปคารวะท่านพ่อแต่ในห้องของท่านพ่อมีสตรีอยู่ข้างกาย” “สตรี?” ผู้ใดกันที่เข้าไปเยี่ยมบิดาของเขาโดยที่เขาไม่รู้เช่นนี้ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “นางเคยมารักษาข้าและท่านพ่อเมื่อหลายเดือนก่อน” ซ่งเหว่ยหนานนึกออกได้ในทันที “แม่นางเมิ่งหลานเสวี่
“สถานที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก” เขายื่นมือมาเบื้องหน้า เล็บยาวเรียวแหลมดูน่ากลัว “ไปกับข้า ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าได้อีก ข้าจะรักเจ้า” “ระ...รัก...รักหรือ?” บุปผาน้อยได้แต่ทวนคำอย่างงุนงง เขารักนางหรือ? เพราะรักจึงมาหานางบ่อยๆ มาพูดจาหยอกล้อนางกระนั้นหรือ? เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยย้ำนักอย่างชัดเจน “ข้ารักเจ้า” “แต่...ข้า...ไม่ได้รักท่าน” นางพูดจากใจจริง แล้วตระหนักได้ว่า... “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ? ท่านกลายเป็นปีศาจเพราะข้า?” “ไม่...ไม่ใช่เพราะเจ้า” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “สถานที่หลอกลวงเช่นนี้ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก! เปิดประตูสวรรค์ให้เหล่าปีศาจได้มาสังสรรค์กันเต็มที่!” “อย่า! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางอ้อนวอน หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางต้องรับผิดชอบ! “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้” “แล้ว...ถ้าข้าไปกับท่าน ท่านจะปิดประตูสวรรค์ได้หรือไม่ ไม่ให้เหล่าปีศาจขึ้นมาที่นี่” ดวงจิตที่ถูกปีศาจร้ายครอบครองแล้วนั้น ย่อมไม่สนใจว่าตนเองต้องรักษาคำพูด ทำได