พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภา
โม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใด
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้น
เมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกัน
เมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังมีใครหลงเหลือลมหายใจหรือไม่
หากยังไม่ทันตาย หรือหายใจรวยริน โม๋เอ๋อร์ก็ยังพอจะช่วยเหลือได้ แต่ทว่าถ้าตายไปแล้ว อย่างนั้นก็เดินทางไปปรโลกเสียดีๆ นางไม่อาจไม่ปล่อยไป
เด็กสาวมักเป็นเช่นนี้ แม้นางจะเป็นครึ่งปีศาจแต่อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นผู้มีจิตใจดี มีเมตตาปรานีกับทุกสรรพสัตว์
เมื่อปลายเท้าน้อยๆ สืบเข้ามายังกลุ่มคนที่กลายเป็นซากศพ ดวงตากลมโตกระจ่างใสก็กวาดมองไปรอบทิศเพื่อมองหาคนรอดชีวิตอย่างใจเย็น
ร่างเล็กเดินวนเวียนไปมา จนเข้ามาใจกลางกลุ่มของเศษซากชิ้นเนื้อน่าสยดสยอง นางยืนตระหง่าน เอียงหน้าน้อยๆ กะพริบตาเบาๆ พิจารณาชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังใกล้ตาย เขานอนแน่นิ่งหายใจแผ่วเบา สองตาปิดสนิท
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มมีเลือดเกรอะกรัง มองไม่ออกว่ามีหน้าตาเช่นไร ตามเนื้อตัวมีบาดแผลจากของมีคมจนเต็มไปหมด เขาสลบไสลไม่ได้สติ
เรียวคิ้วพลันขมวด ดวงเนตรใสกระจ่างพลันเบิกกว้าง เมื่อสบกับบางสิ่งที่ลำคอเขา
นางเห็นมีสร้อยเส้นหนึ่ง ลักษณะคุ้นตา
สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยเถาวัลย์ห้อยเขี้ยวราชสีห์
หากจำไม่ผิดนางเคยมีและได้ให้คนผู้หนึ่งไปเพื่อคุ้มครองเขาออกจากป่าไพรพ้นจากสัตว์ร้าย
นี่มิใช่ชายคนเดิมเมื่อห้าปีก่อนหรอกหรือไร?
สาวน้อยพลันยิ้มกว้างอยู่คนเดียว มิคาดว่าจะเจอคนเดิมให้ได้ช่วยเหลือกันในอีกครา
โม๋เอ๋อร์เห็นเขายังมีริ้วของลมหายใจ แม้แผ่วจาง แต่ขอเพียงยังไม่ตาย นางย่อมช่วยได้
ปราณเย็นสายหนึ่งจึงบังเกิด พลังเทพปีศาจเปลี่ยนดวงตากลมใสดำขลับเป็นสีเขียวมรกต เส้นผมดำสนิทเรียบลื่น เปลี่ยนเป็นสีทองเรืองอร่าม เรือนร่างกะทัดรัด เปลี่ยนเป็นส่องแสงเรืองรอง เมื่อการรักษากายหยาบและต่อลมหายใจดำเนินไป
ทว่าสิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด ในระหว่างรักษากลับมีเสียงฝีเท้ามากมายคืบใกล้เข้ามา
โม๋เอ๋อร์หลับตาสดับฟังอย่างตั้งใจ พบว่ามิใช่เสียงฝีเท้าของสัตว์ และแน่นอนว่าคงเป็นมนุษย์
ฉับพลันนั้น รูปลักษณ์ทุกสิ่งของสาวน้อยจึงต้องกลับคืนสู่ปกติโดยไว ปราณเย็นพลังเทพล้วนอันตรธานหายไปจนสิ้น คงเหลือเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ยืนนิ่งไม่ไหวติง ท่ามกลางซากร่างไร้ชีวิตกองใหญ่
ร่างระหงยืนตระหง่านท่ามกลางซากศพ สายลมโชยแผ่ว พัดพากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เหม็นสาบสางจนน่าสะอิดสะเอียน ทันใดนั้นปรากฏเสียงนกเค้าแมวกู้ก้องโหยหวน ประหนึ่งเสียงคำรามอันทรงพลังของวิญญาณร้าย ที่ตายตกไปทีละคนสองคน และยังต้องตายตามกันไปอีกนับไม่ถ้วน
ช่างเป็นภาพให้ชวนประหวั่นพรั่นพรึง และเหลือเชื่อในคราเดียวกัน เด็กหญิงคนหนึ่ง ไฉนกล้ายืนอยู่กลางศพมากมาย
“เจอแล้ว! เจอรัชทายาท! เจอแล้ว!”
เสียงทุ้มห้าวพลันดังกังวานทั่วป่า ท่าทางดีใจมาก ประหนึ่งเจอขุมทรัพย์กองมหึมา
“รัชทายาท โอ! สวรรค์! พวกเราเร็วเข้า ทางนี้!”
สิ้นเสียงนั้น ชายฉกรรจ์อีกห้าคนก็พากันวิ่งกรูมา
เงาดำมืดเหล่านั้นวูบเดียวครอบคลุมโม๋เอ๋อร์จนมิด
แน่งน้อยจ้องมองกลุ่มคนเหล่านี้จนตาโตสีหน้าเหลอหลา ทำอันใดไม่ถูกทั้งนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เกิดมา แล้วเจอผู้คนมากมายเช่นนี้
ทันใดนั้นพลันมีเสียงแส้ดังขวับสะบัดใส่หลังสาวน้อย พร้อมเสียงคำรามก้องว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ ริอาจเป็นสายลับหลอกล่อรัชทายาทรึ?”
อีกคราที่โม๋เอ๋อร์ยิ่งทำหน้าเหลอหลาโง่งมอย่างที่สุด แม้มีเลือดหยาดหยดไหลซึมแผ่นหลัง นางเจ็บแผ่นหลังเล็กน้อยตรงที่ถูกแส้เฆี่ยน
เมื่อไร้ซึ่งคำตอบและท่าทางหวาดหวั่นจากเด็กน้อย มือแส้พิฆาตก็ให้รู้สึกเดือดดาล ตวาดอีกคราว่า
“จงบอกมาเสีย ว่าผู้ใดว่าจ้างมา เจ้าเด็กชั่ว”
คำรามจบก็สะบัดแส้ในมืออีกครา ท่าทางอำมหิตผิดมนุษย์มนา
แม้โม๋เอ๋อร์ยังคงงุนงงแต่ฝ่ามือกลับว่องไว เด็กสาวยกมือขึ้นจับแส้ที่ถูกเหวี่ยงมาอย่างแรงนั้นเอาไว้ด้วยมือเดียว ทั้งรวดเร็วและแม่นยำปราศจากความเจ็บ สองตาแดงก่ำสงบนิ่งจนน่าตกใจ
ยังไม่ทันที่ชายฉกรรจ์รายล้อมจะนึกแปลกใจในกิริยาฉับไวของเด็กน้อยตรงหน้า เจ้าของแส้หนังเส้นหนาพลันถูกฉุดกระชากจากแส้ของตนโดยฝ่ามือน้อยๆ นั้น
ร่างหนาเซถลา ฉับพลันนั้นเอง ชายตัวใหญ่ผู้นี้ก็ถูกเหวี่ยงออกไปราวเศษผ้า ลอยวูบไปไกลลิบเพียงชั่วพริบตา เสียงร้องยังไม่ทันเปล่งออกจากปากของมันด้วยซ้ำ
บุรุษร่างกำยำอีกหลายคนก็ยังไม่ทันอ้าปากอุทาน
เด็กน้อยร่างบาง พลันอันตรธานหายไป...
--------[1] ไข้ทับระดู หรือไข้หวัดที่เป็นระหว่างมีประจำเดือน แพทย์แผนจีนจะเรียกอาการนี้ว่า เร่อรู่เสวี่ยซื่อ (热入血室)แปลว่า ความร้อนเข้าห้องเลือด ห้องเลือดในที่นี้หมายถึง มดลูก
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห