พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภา
โม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใด
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้น
เมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกัน
เมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังมีใครหลงเหลือลมหายใจหรือไม่
หากยังไม่ทันตาย หรือหายใจรวยริน โม๋เอ๋อร์ก็ยังพอจะช่วยเหลือได้ แต่ทว่าถ้าตายไปแล้ว อย่างนั้นก็เดินทางไปปรโลกเสียดีๆ นางไม่อาจไม่ปล่อยไป
เด็กสาวมักเป็นเช่นนี้ แม้นางจะเป็นครึ่งปีศาจแต่อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นผู้มีจิตใจดี มีเมตตาปรานีกับทุกสรรพสัตว์
เมื่อปลายเท้าน้อยๆ สืบเข้ามายังกลุ่มคนที่กลายเป็นซากศพ ดวงตากลมโตกระจ่างใสก็กวาดมองไปรอบทิศเพื่อมองหาคนรอดชีวิตอย่างใจเย็น
ร่างเล็กเดินวนเวียนไปมา จนเข้ามาใจกลางกลุ่มของเศษซากชิ้นเนื้อน่าสยดสยอง นางยืนตระหง่าน เอียงหน้าน้อยๆ กะพริบตาเบาๆ พิจารณาชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังใกล้ตาย เขานอนแน่นิ่งหายใจแผ่วเบา สองตาปิดสนิท
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มมีเลือดเกรอะกรัง มองไม่ออกว่ามีหน้าตาเช่นไร ตามเนื้อตัวมีบาดแผลจากของมีคมจนเต็มไปหมด เขาสลบไสลไม่ได้สติ
เรียวคิ้วพลันขมวด ดวงเนตรใสกระจ่างพลันเบิกกว้าง เมื่อสบกับบางสิ่งที่ลำคอเขา
นางเห็นมีสร้อยเส้นหนึ่ง ลักษณะคุ้นตา
สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยเถาวัลย์ห้อยเขี้ยวราชสีห์
หากจำไม่ผิดนางเคยมีและได้ให้คนผู้หนึ่งไปเพื่อคุ้มครองเขาออกจากป่าไพรพ้นจากสัตว์ร้าย
นี่มิใช่ชายคนเดิมเมื่อห้าปีก่อนหรอกหรือไร?
สาวน้อยพลันยิ้มกว้างอยู่คนเดียว มิคาดว่าจะเจอคนเดิมให้ได้ช่วยเหลือกันในอีกครา
โม๋เอ๋อร์เห็นเขายังมีริ้วของลมหายใจ แม้แผ่วจาง แต่ขอเพียงยังไม่ตาย นางย่อมช่วยได้
ปราณเย็นสายหนึ่งจึงบังเกิด พลังเทพปีศาจเปลี่ยนดวงตากลมใสดำขลับเป็นสีเขียวมรกต เส้นผมดำสนิทเรียบลื่น เปลี่ยนเป็นสีทองเรืองอร่าม เรือนร่างกะทัดรัด เปลี่ยนเป็นส่องแสงเรืองรอง เมื่อการรักษากายหยาบและต่อลมหายใจดำเนินไป
ทว่าสิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด ในระหว่างรักษากลับมีเสียงฝีเท้ามากมายคืบใกล้เข้ามา
โม๋เอ๋อร์หลับตาสดับฟังอย่างตั้งใจ พบว่ามิใช่เสียงฝีเท้าของสัตว์ และแน่นอนว่าคงเป็นมนุษย์
ฉับพลันนั้น รูปลักษณ์ทุกสิ่งของสาวน้อยจึงต้องกลับคืนสู่ปกติโดยไว ปราณเย็นพลังเทพล้วนอันตรธานหายไปจนสิ้น คงเหลือเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ยืนนิ่งไม่ไหวติง ท่ามกลางซากร่างไร้ชีวิตกองใหญ่
ร่างระหงยืนตระหง่านท่ามกลางซากศพ สายลมโชยแผ่ว พัดพากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เหม็นสาบสางจนน่าสะอิดสะเอียน ทันใดนั้นปรากฏเสียงนกเค้าแมวกู้ก้องโหยหวน ประหนึ่งเสียงคำรามอันทรงพลังของวิญญาณร้าย ที่ตายตกไปทีละคนสองคน และยังต้องตายตามกันไปอีกนับไม่ถ้วน
ช่างเป็นภาพให้ชวนประหวั่นพรั่นพรึง และเหลือเชื่อในคราเดียวกัน เด็กหญิงคนหนึ่ง ไฉนกล้ายืนอยู่กลางศพมากมาย
“เจอแล้ว! เจอรัชทายาท! เจอแล้ว!”
เสียงทุ้มห้าวพลันดังกังวานทั่วป่า ท่าทางดีใจมาก ประหนึ่งเจอขุมทรัพย์กองมหึมา
“รัชทายาท โอ! สวรรค์! พวกเราเร็วเข้า ทางนี้!”
สิ้นเสียงนั้น ชายฉกรรจ์อีกห้าคนก็พากันวิ่งกรูมา
เงาดำมืดเหล่านั้นวูบเดียวครอบคลุมโม๋เอ๋อร์จนมิด
แน่งน้อยจ้องมองกลุ่มคนเหล่านี้จนตาโตสีหน้าเหลอหลา ทำอันใดไม่ถูกทั้งนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เกิดมา แล้วเจอผู้คนมากมายเช่นนี้
ทันใดนั้นพลันมีเสียงแส้ดังขวับสะบัดใส่หลังสาวน้อย พร้อมเสียงคำรามก้องว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ ริอาจเป็นสายลับหลอกล่อรัชทายาทรึ?”
อีกคราที่โม๋เอ๋อร์ยิ่งทำหน้าเหลอหลาโง่งมอย่างที่สุด แม้มีเลือดหยาดหยดไหลซึมแผ่นหลัง นางเจ็บแผ่นหลังเล็กน้อยตรงที่ถูกแส้เฆี่ยน
เมื่อไร้ซึ่งคำตอบและท่าทางหวาดหวั่นจากเด็กน้อย มือแส้พิฆาตก็ให้รู้สึกเดือดดาล ตวาดอีกคราว่า
“จงบอกมาเสีย ว่าผู้ใดว่าจ้างมา เจ้าเด็กชั่ว”
คำรามจบก็สะบัดแส้ในมืออีกครา ท่าทางอำมหิตผิดมนุษย์มนา
แม้โม๋เอ๋อร์ยังคงงุนงงแต่ฝ่ามือกลับว่องไว เด็กสาวยกมือขึ้นจับแส้ที่ถูกเหวี่ยงมาอย่างแรงนั้นเอาไว้ด้วยมือเดียว ทั้งรวดเร็วและแม่นยำปราศจากความเจ็บ สองตาแดงก่ำสงบนิ่งจนน่าตกใจ
ยังไม่ทันที่ชายฉกรรจ์รายล้อมจะนึกแปลกใจในกิริยาฉับไวของเด็กน้อยตรงหน้า เจ้าของแส้หนังเส้นหนาพลันถูกฉุดกระชากจากแส้ของตนโดยฝ่ามือน้อยๆ นั้น
ร่างหนาเซถลา ฉับพลันนั้นเอง ชายตัวใหญ่ผู้นี้ก็ถูกเหวี่ยงออกไปราวเศษผ้า ลอยวูบไปไกลลิบเพียงชั่วพริบตา เสียงร้องยังไม่ทันเปล่งออกจากปากของมันด้วยซ้ำ
บุรุษร่างกำยำอีกหลายคนก็ยังไม่ทันอ้าปากอุทาน
เด็กน้อยร่างบาง พลันอันตรธานหายไป...
--------[1] ไข้ทับระดู หรือไข้หวัดที่เป็นระหว่างมีประจำเดือน แพทย์แผนจีนจะเรียกอาการนี้ว่า เร่อรู่เสวี่ยซื่อ (热入血室)แปลว่า ความร้อนเข้าห้องเลือด ห้องเลือดในที่นี้หมายถึง มดลูก
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุดหญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปโม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลาคราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิดแต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่ายและเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเก
อวี่เยียนและเสี่ยวเถากะพริบตาจนเจ็บร้าว แล้วร่ำร้องแบบไร้เสียงอีกคราว่าปีศาจ!พวกนางทำได้เพียงกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปล่งเสียงออกมามิได้โม๋เอ๋อร์ค่อยๆ เยื้องกรายเข้าหาสตรีตีสองหน้าช้าๆนางยกยิ้มเย็นชาแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกชวนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกออกมา ดวงเนตรสีเขียวคู่งามเย็นเยียบราวน้ำแข็งตกผลึก พร้อมฝังลึกในครรลองสายตาผู้พบเห็นผู้ได้จับจ้อง เป็นต้องจดจำไปจนวันตายอย่างทรมานรอบกายสีทองเรืองรองแผ่กลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนชวนสะท้านพรั่นพรึงตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบอบบางสีแดงเพลิงแผ่กลิ่นอายดำทะมึนราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกอเวจีของหลุมที่ลึกที่สุดโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ หาใช้พระชายาผู้งดงามอีกต่อไป หากแต่เป็นรูปกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักทั้งนั้นเส้นเสียงเยียบเย็นลากยาวชวนผวาราวหิมะพันปีบนยอดเขาแทงทะลุเมฆาค่อยๆ ดังออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม“ข้ามิได้ชื่นชอบการฆ่าใคร...”ความหมายของรูปประโยคและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน โม๋เอ๋อร์กล่าวจบยังยกยิ้มบริสุทธิ์อ่อนหวานแลดูน่ารัก ทว่ากลับมองแล้วให้ความรู้สึกน่าขนหัวลุกชวนสะพรึงยิ่งนักอวี่เยียนและเสี่ยวเถายิ่งเบิกต
เมื่อได้ยินคำตอบ เสี่ยวเถาถึงกับงุนงง แต่ครู่เดียวเท่านั้น ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินางกำลังรู้สึกถึงความทรมานสายหนึ่งเริ่มคืบคลานเข้าใกล้ ภายในเริ่มรุ่มร้อน ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา สายตาเริ่มพร่าเลือน“มะ...หมายความว่า...ย่ะ...อย่างไรเจ้าคะ”เสี่ยวเถาพยายามถามอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำเลื่อนจากใบหน้าเจ้านายลงมองขนมและน้ำชาตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำและดวงตาฉ่ำเย็นของผู้เป็นนายอวี่เยียนยังคงนั่งมองเสี่ยวเถาอย่างใจเย็น นางวางหนังสือลงแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองสาวใช้คนสนิทอยู่เงียบๆ ท่าทียังคงเป็นปกติเฉกเช่นหญิงสาวผู้เปี่ยมเมตตาปรานีทว่า...เสี้ยวขณะนั้น พลันมีสิ่งไม่คาดฝันบังเกิดอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนตั่งด้วยท่าทางดั่งนางพญาผู้รื่นรมย์กลับกระตุกร่างตนจนตัวลอยขึ้นไปบนคานเรือน คล้ายถูกกระชากโดยฝ่ามือปริศนาเสี่ยวเถาที่ร่างกายปวดร้าวกลับค่อยๆ หายปวดระบมอย่างน่าแปลกใจ แต่ยังคงชาหนึบไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจับจ้องที่นายสาวเบื้องหน้านิ่งงัน มิสามารถเอ่ยอันใดออกมาได้ทั้งนั้นภายในห
คืนนี้จันทรางามเด่น สุกสกาวสว่างไสวไปทั่วนภาพาแสงสีขาวนวลสาดส่องไปทั่วตำหนักบูรพาทว่าเงาดำวูบไวประหนึ่งสายลมวูบผ่านเพียงเสี้ยวเวลา กลับนำความหนาวเหน็บประหนึ่งเป็นคืนเดือนมืดกลางเหมันต์กระนั้นทหารยามที่เดินตรวจตราโดยรอบพลันชะงักเท้าเล็กน้อย รู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์เร้นดารางดงามดี ดวงโตกลมนวล ตราตรึงยิ่ง!ชื่นชมจันทราเสร็จก็ก้มหน้าเดินยามต่อไป รอบกายล้วนปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย แสงนวลจากฟากฟ้าช่วยให้การเดินยามสะดวกดีเหลือเกิน เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดเจนไปหมดด้านนอกหน้าต่างของเรือนชายาสามนามอวี่เยียนทั้งทหารยามและบ่าวไพร่ทั้งหลายเดินทำงานกันตามปกติ ยามนี้ยังไม่ดึกมากนัก หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนหลับพักผ่อนแต่อย่างใดเจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสือธรรมะด้วยท่าทีสงบปรานีอยู่บนตั่งตัวยาวในจังหวะนั้นเสี่ยวเถาก็รีบรุดเข้าห้องมาแล้วลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินมาปิดหน้าต่างทุกบาน จนไร้ช่องว่างใดภายในห้องส่วนตัวด้านในของเรือน“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เยี่ยนถามเสียงเย็นไปทางสาวใช้คนสนิทถึงเรื่องที่ให้อีกฝ่ายไปสืบความเคลื่อนไหวใ
โม๋เอ๋อร์ตกตะลึงยิ่งนัก นางเพียรสังเกตตนเองอยู่ตลอดยามนั่งอยู่ในศาลา ว่าถูกวางยาหรือไม่หากมียาในขนมตัวนางเองย่อมปวดแสบปวดร้อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดมิคาดว่าเป้าหมายกลับมิใช่ตัวนาง หากแต่เป็นหยูเสวี่ยเกินไปแล้ว....ม่านมืดพลันคลี่คลุมในแววตากลมใส ความซื่อบริสุทธิ์พลันอันตรธานหายไปแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์หาใช่สตรีดีงาม ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าใครจักคาดคิดถึงแม้ว่าความสดใสไร้เดียงสานางมีเสมอ ทั้งยังคิดกับผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายหากแต่ต้องมิใช่กับคนที่คิดจะทำร้ายหยูเสวี่ย!หญิงสาวรีบเดินเข้าหาร่างอรชรที่บัดนี้นอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวผ่องมีเหงื่อเกาะพราว“เจ้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหยื่อ!”โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำอย่างรู้ทันคนบนเตียงหยูเสวี่ยกัดฟันตอบอย่างติดขัด“ข้า...แค่รินน้ำชา...นานไป...หน่อย”“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้” โม๋เอ๋อร์ยังคงตัดพ้อ“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยูเสวี่ยฝืนต่อคำอีกประโยค ก่อนจะบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเตียงนอน มีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก ใบหู และปากเดิมทีหยูเสวี่ยคิดพาโม๋เอ๋อร์เดินเที่ยวเท่านั้น เพื่อที่นางจะได้สำรวจพื้นที่ให้ทั่วเข้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข้ายามอิ่ว[1] ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกลับเรือนตนคล้อยหลังพระชายาเอกกับสาวใช้คนสนิท อวี่เยียนที่เดินห่างออกมาเล็กน้อยก็ยกยิ้มเย็นเยียบแวบหนึ่ง เสี่ยวเถาเองก็ก้มหน้าหลุบตาเดินตามนายสาวอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งสองลอบส่งสายตาสื่อควายนัยแห่งความเลือดเย็นออกมามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจกันและกันเมื่อถึงเรือนส่วนตัว ลึกเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเพียงพวกนางสองนายบ่าว เสียงกระซิบกระซาบพลันบังเกิด“สำเร็จหรือไม่?”เส้นเสียงเย็นใสเบาหวิวเอ่ยถามสาวใช้คนสนิททันทีที่เข้าห้องปิดประตูลั่นดาลลงกลอน“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถากระซิบตอบ “บ่าวแอบป้ายยาพิษที่ขอบถ้วยน้ำชาของเสี่ยวโม๋ ยามที่นางลุกขึ้นไปรินน้ำชา ต่อให้หลังเกิดเหตุสลดว่ามีสาวใช้ต้องพิษจนตาย และขนมน้ำชาถูกตรวจสอบจนวุ่นวาย ก็หาได้พบสิ่งใดที่ขอบถ้วยไม่ เพราะยาพิษนี้ถูกน้ำชาชะล้างเข้าปากเสี่ยวโม๋ไปแล้วจนสิ้น และผู้ต้องสงสัยย่อมเป็นเจ้าของชากับขนมเจ้าค่ะ”“ดีมาก” อวี่เยียนยกยิ้มหวานเปรยอีกว่า “ข้าสังเกตว่าพระชายามิได้มีสมองสักเท่าไหร่ หากแต่สาวใช้ข้างกายกลับดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ตัดแขนตัดขาพระชายาไปได้เยี่ยงนี้ ที่เหลือก็ไม่