ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน และจัดขึ้นเป็นประเพณีสำคัญประจำปี
เป็นพิธีบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับความเป็นสิริมงคล
นั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไป
เมื่อม่านหมอกยามรุ่งสางจางไปมากโข ดวงตะวันฉายแสงไปทั่วนภาในวันที่
‘สิบห้าเดือนสิบเอ็ด’ ขบวนพยุหยาตราจึงตั้งแถวเรียงรายอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้ มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมาย พร้อมทั้งบรรดาขุนนางขั้นต่างๆ และเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวน
โม๋เอ๋อร์ได้ร่วมประเพณีนี้เช่นกัน ในฐานะราชนิกุลหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นถึงพระชายาในองค์รัชทายาท นางได้นั่นรถม้าคันใหญ่ ภายในตกแต่งประณีต มีคั่งแทนตั่ง มีตู้เป็นชั้นไม้สลักแสนวิจิตร ด้านในมีของกินมากมาย สะดวกสบายเหลือเกิน
หญิงสาวนั่งอยู่ด้านในคนเดียว เพราะว่าวันนี้หยูเสวี่ยมิได้มาด้วยกัน โม๋เอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งวุ่นเล่นสนุกอันใดกับองครักษ์จินมิทราบได้ จึงปล่อยไปเช่นนั้น
ส่วนหมิงเฉิงในวันนี้ได้นั่งรถม้าอีกคันหนึ่งซึ่งประจำตำแหน่งองค์รัชทายาท เคลื่อนตัวแช่มช้าตามหลังองค์จักรพรรดิที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวน โดยมีขุนศึกและองครักษ์กองหนึ่งขี่ม้าตัวใหญ่ขนาบข้าง ใกล้ๆ กันเป็นรถม้าขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง
พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานให้ติดตามมีสามนาง หนึ่งในนั้นมีชิงเฟยเดินทางมาด้วย
รอบขบวนสี่ทิศแปดทาง คือเหล่าทหารม้าคอยอารักขาไม่ห่าง เกราะเหล็กสีเงินวาววับทอดยาวแน่นขนัดเรียงราย
วันแรกของประเพณีล่าสัตว์กลับมิใช่เพื่อล่าสัตว์ หากแต่เป็นการประกาศศักดาอันเกรียงไกร
บุรุษร่างใหญ่ในชุดนายทหารบนหลังอาชาต่างส่งเสียงกระหึ่มแซ่ซ้อง เรียกสายตาของชาวเมืองให้พากันเหลียวมอง แล้วก้มค้อมสรรเสริญสะท้านโสตไปถึงสวรรค์
ลมหนาวโชยพลิ้วผสานเสียงล้อหมุนเคลื่อนขบวนเดินทาง ฝุ่นธุลีปลิวตลบไปทั่วพสุธากว้าง ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางไม่กี่วันก็ถึงหุบเขาเป้าหมาย สำหรับใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีตามฤดูกาลอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่
เหล่าข้ารับใช้รวมถึงพลทหารทั้งหลายต่างช่วยกันตรวจสอบกระโจมที่พักและแท่นประทับชั่วคราวจนแล้วเสร็จภายในเวลาแค่เพียงไม่นาน ทุกสิ่งปลูกสร้างเกิดขึ้นราวต้องมนต์ ล้วนพร้อมพรั่งทั้งสิ้น ก่อนที่โอรสสวรรค์จักเสด็จมาถึง
ยามนี้นับได้ว่าอากาศกำลังดี แสงแดดเสียดแทงหมู่เมฆาลงมาส่องสะท้อนปุยหิมะที่พื้นดิน แม้มิอาจทำให้เกล็ดน้ำแข็งค้างละลาย แต่กลับมอบความอบอุ่นให้ไม่น้อย
หลังจากสถานที่พร้อม ลำดับแรกแห่งพิธีล่าสัตว์ คือการเปิดพิธีอันทรงเกียรติ ด้วยการประลองฝีมือเยี่ยงชาวยุทธ์ของเหล่าบุรุษแห่งราชอาณาจักรต้าหมิง
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน และจัดขึ้นเป็นประเพณีสำคัญประจำปีเป็นพิธีบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับความเป็นสิริมงคลนั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปเมื่อม่านหมอกยามรุ่งสางจางไปมากโข ดวงตะวันฉายแสงไปทั่วนภาในวันที่ ‘สิบห้าเดือนสิบเอ็ด’ ขบวนพยุหยาตราจึงตั้งแถวเรียงรายอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้ มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมาย พร้อมทั้งบรรดาขุนนางขั้นต่างๆ และเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนโม๋เอ๋อร์ได้ร่วมประเพณีนี้เช่นกัน ในฐานะราชนิกุลหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นถึงพระชายาในองค์รัชทายาท นางได้นั่นรถม้าคันใหญ่ ภายในตกแต่งประณีต มีคั่งแทนตั่ง มีตู้เป็นชั้นไม้สลักแสนวิจิตร ด้านในมีของกินมากมาย สะดวกสบายเหลือเกินหญิงสาวนั่งอยู่ด้านในคนเดียว เพราะว่าวันนี้หยูเสวี่ยมิได้มาด้วยกัน โม๋เอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งวุ่นเล่นสนุกอันใดกับองครักษ์จินมิทราบได้ จึงปล่อยไปเช