ชาติก่อนนางเป็นเพียงองค์หญิงผู้อ่อนแอมิอาจปกป้องใครได้ทั้งยังจบชีวิตด้วยเงื้อมมือของชายผู้เป็นสวามี เมื่อได้ย้อนกลับมาอีกครั้งนางสัญญาว่านางจะไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นเช่นเดิมต่อให้ต้องร้ายกาจเพียงใดก็ตาม
ดูเพิ่มเติมนัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น
“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อน
สายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”
ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้า
นังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน นางชั่วร้ายยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก
“เฮ้อ พี่หญิง ท่านที่เคยอ่อนแอขี้ขลาดให้ข้าปกป้องยามนี้กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว จิ๊ ๆ ช่างน่าขันยิ่ง” ฮองเฮาผู้สังหารพี่น้องเพื่อบัลลังก์หงส์มองพี่สาวต่างมารดาอย่างสมเพชแล้วยื่นมือไปจับคางอีกฝ่าย กดปอกเล็บแหลมลงบนผิวเนื้อบอบบางก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าคิดว่ามาจองหองแข็งกร้าวใส่ข้ายามนี้แล้วจะรอดไปได้เช่นนั้นรึ…คนเช่นเจ้ามาได้เพียงเท่านั้นล่ะอันหนิง”
เฉินอันหนิงกดสายตามองนังงูพิษด้วยสายตาเคียดแค้นไม่เปลี่ยนแปลง นางเกลียดสตรีตรงหน้า แต่เหนือกว่านั้นก็คือเกลียดตัวเองที่อ่อนแอจนถูกสตรีตรงหน้าหลอกใช้เพื่อเหยียบขึ้นบัลลังก์
เกลียดที่ตนเป็นธิดาองค์โตแต่มิอาจปกป้องน้อง ๆ ได้ทั้งที่ฝันถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนจะเกิดเรื่อง
เกลียดที่ตนอ่อนแอและขี้ขลาดจึงตกอยู่ใต้อำนาจของเฉินซุเหมยและมารดาจนทุกอย่างเลยเถิด
และเกลียดที่มิอาจปกป้องเสด็จพ่อจากนังงูพิษได้…
นางเกลียดตัวเองที่สุด
“ผู้คนจะต้องได้รับรู้ความบัดซบของพวกเจ้า พวกเจ้ามิมีทางหลีกหนีคำสาปแช่งได้ ไม่มีวัน”
“หึ น่าขันยิ่ง จะตายอยู่แล้วยังจะพายลมเรื่องเพ้อฝัน ซือเยว่…ฆ่านางซะ” คำสั่งเฉียบขาดถูกเอื้องเอ่ยก่อนที่บุรุษในชุดเครื่องแบบทหารองครักษ์จะก้าวมาตรงหน้าอดีตองค์หญิงใหญ่
เฉินอันหนิงมองคนก้าวขึ้นมาตรงหน้าด้วยสายตาร้าวราน สิ่งที่นางเกลียดตัวเองอีกอย่างก็คือเรื่องของคนผู้นี้
นางช่วยเหลือเขาในยามตระกูลตกยาก ช่วยเหลือจนได้เป็นทหารองครักษ์และได้เป็นถึงสวามีของนาง…แต่สุดท้ายคนผู้นี้กลับยืนเคียงข้างคู่ผัวตัวเมียแสนชั่วช้าเพื่ออำนาจของตน
และกำลังจะเป็นผู้ปลิดชีวิตของนาง
นางเกลียดตัวเองที่หลงเชื่อและแต่งให้บุรุษสารเลวผู้นี้ยิ่ง
“จื่อเหยียน เจ้ามันคนสารเลว”
“หึ…ไหน ๆ ก็จะต้องตายแล้ว กระหม่อมจะบอกเรื่องดี ๆ ให้สักเรื่องนึง เผื่อท่านจะได้ตาสว่างขึ้น” บุรุษผู้ชักดาบขึ้นพร้อมจะปลิดชีวิตภรรยาของตนเอ่ยด้วยใบหน้าเลือดเย็นพร้อมกับยิ้มร้าย “ข้าชื่อฮุยอี้มิใช่ฟู่จื่อเหยียน…ข้าเพียงสวมรอยเป็นคุณชายฟู่ที่เคยพบเจอระหว่างทางยามเด็กเท่านั้น”
“เจ้า ที่แท้เจ้าก็ ฮึก…” ไม่รอให้นางได้กล่าวสิ่งใดจนจบปลายดาบก็แทงเข้าที่กลางลำตัวของนางเสียแล้ว ทันทีที่ดาบถูกชักกลับคืนเรือนกายของอดีตองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ก็ทรุดลงไปบนพื้น เจ็บปวดที่กายก็เจ็บยิ่งนัก ซ้ำยังเจ็บที่ใจเสียอีก
นางเจ็บเจียนตายเมื่อชายผู้เป็นสามีมิใช้ผู้ที่นางอยากแต่งด้วยจริง ๆ ดวงตาเหลือกลานมีเส้นเลือดผาดผ่านจ้องเขม็งไปยังผู้บอกว่าตนชื่อฮุยอี้พร้อมกับแผดเสียงที่มีทั้งหมดด้วยความคับแค้น
“สารเลว!!!”
“ภรรยา คำชมนี้สามีชอบใจยิ่ง” ฮุยอี้กล่าวพร้อมกับลูบไล้ใบหน้าขาวผุดผ่องของผู้เป็นภรรยาก่อนจะเอ่ย “น่าเสียดายที่สุดท้ายเจ้าไม่โง่งมเช่นก่อนนี้ หากเจ้าโง่งมและอยู่ข้างฮองเฮากับฝ่าบาทต่อไปเราสามีภรรยาคงมิต้องเป็นเช่นนี้ องค์หญิงของข้า น่าเสียดายยิ่ง”
“แม้เป็นผีข้าก็จะสาปแช่งพวกเจ้า พวกเจ้ามิมีทางได้อำนาจที่วาดฝัน มิมีทาง” นางใช้กำลังที่มีเอ่ยออกไปอย่างเคียดแค้นก่อนจะนอนหายใจโรยระรินอย่างคนใกล้ตาย
นางทำได้แค่เพียงเท่านี้…เท่านี้จริง ๆ
แต่อีกมิกี่อึดใจหรอก อีกเพียงไม่นานคนพวกนี้ก็จะต้องชดใช้ให้นาง!
“ปากดียิ่งพี่หญิงของข้า ซือเหยียน ไม่สิ ฮุยอี้ ทำให้นางทรมานยิ่งกว่านี้”
“ตามรับสั่งพะย่ะค่ะ” ฮุยอี้ง้างดาบในมือหมายจะฟันลงบนร่างของคนใกล้ตายอีกครั้งทว่าไม่ทันจะได้ทำก็มีขันทีวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพะย่ะค่ะ ทะ ทหารแคว้นเสิ่นเคลื่อนทัพเข้าเมืองหลวงแล้วพะย่ะค่ะ”
“อันใดนะ เกิดขึ้นได้เช่นไร!”
“แม่ทัพชายแดน และกองกำลังรักษาเมืองต่างก็ยอมเปิดทางให้เพราะแม่ทัพแคว้นเสิ่นก็คือองค์ชายสามพะย่ะค่ะ ยามนี้ชาวบ้านและไพร่พลทั้งหลายต่างรับรู้ว่าฝ่าบาทและฮองเฮาสังหารอดีตฮ่องเต้และองค์ชายทั้งหลายเพื่อชิงบัลลังก์ ชักช้ามิได้แล้วพะย่ะค่ะ องค์ชายสามใกล้จะทลายประตูวังได้แล้ว” ขันทีข้างกายฮ่องเต้หุ่นเชิดและฮองเฮาผู้ครองอำนาจอย่างแท้จริงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉินซูเหมยตกตะลึงและเจ็บแค้นจนคิดอ่านสิ่งใดไม่ได้ขึ้นมาชั่วขณะ องค์ชายสามเช่นนั้นหรือ องค์ชายสามผู้นั้นนางสังหารที่งานล่าสัตว์ไปแล้วมิใช่หรือ
“บัดซบ…พี่สามยังไม่ตายอีกหรือ”
“หึ” เสียงจากพื้นเย็นยะเยือกดังขึ้นเรียกให้สายตาของฮองเฮาผู้ปล้นชิงบัลลังก์มาต้องหันขวับ เพียงแค่เท่านั้นนางก็เข้าใจทุกสิ่ง
เป็นนางนี่เอง นังจิ้งจอกเฉินอันหนิง
“นังสารเลว เจ้ากล้าลอบให้การช่วยเหลือเฉินอี้หลงลับหลังข้า”
“สะ สิ่งนึงที่เจ้าคงมิเคยรู้ อะ อี้หลง ปะ เป็นบุตรชายของ ทะ ท่านป้าข้า เขาคะ คือผู้ที่มีสายเลือด ดะ เดียวกับข้า ตะ ต่อให้ข้าโง่งม ขะ ข้าก็มิอาจให้ขะ เขาตายได้ ฮึก…”
“นังสารเลว!”
ปัก!
ไม่ทันที่เฉินซูเหมยจะได้เข้าใกล้ร่างโรยระรินไปมากกว่านี้ทวนปลายแหลมก็พุ่งเข้ามาปักด้านหลังของนางจนล้มลงพร้อม ๆ กับการปรากฏกายขององค์ชายสามแห่งราชวงค์เฉินเฉินอี้หลง
“สตรีชั่วช้าเช่นเจ้ามิคู่ควรแตะต้องพี่หญิงของข้า”
“ฮึก จะ เจ้ามาแล้ว”
“พี่หญิง ท่านอดทนก่อนข้าพาหมอมาด้วย เขากำลังตามมา ฮึก พี่หญิงใหญ่” เฉินอี้หลงตะกองกอดพี่สาวต่างมารดาเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด เพียงมองด้วยตาเขาก็คาดคะเนได้ว่าพี่สาวอาจมิสามารถอยู่กับเขาต่อไปได้
เหตุใดกัน นางอุตส่าห์ลักลอบช่วยเหลือเขาและพระชายา ซ้ำต้องทนทุกข์จากกระทำของสามี ยามนี้เขามีกำลังมากพอที่จะจัดการทุกสิ่งแล้ว เหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้
“พี่หญิงใหญ่ ท่านอดทน...”
“พะ พี่ไม่ไหวแล้วน้องสาม พะ พี่รู้ตัวดี” นางเอื้องเอ่ยอย่างติด ๆ ขัด ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของน้องชายต่างมารดาที่มีมารดาเป็นสายเลือดเดียวกัน “พะ พี่ไม่ปรารถนามีชีวิตแสนนาน พี่หวังเพียงเจ้า ปะ เป็นฮ่องเต้ที่ดี ดูแลแคว้นเฉินให้ ระ ร่มเย็น เพียงเท่านั้น”
“พี่ใหญ่ ข้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ข้าให้สัญญากับท่าน”
“ฮึก ดี ดียิ่ง” นางพึมพำเช่นนั้นก่อนจะฝืนความเจ็บปวดหันไปมองยังบุรุษสารเลวผู้เป็นสามีที่ถูกทหารจับกุมเอาไว้ มิใช่เพราะยังรัก หากแต่เคียดแค้นจนมิอาจจะปล่อยไปเฉย ๆ
“ฮุยอี้ หากชาติหน้ามีจริง ข้าขอให้เจ้าเป็นได้เพียงชายที่ไม่มีสตรีใดต้องการ สตรีทุกคนเข้ามา พะ เพื่อหลอกใช้เจ้า ขะ ขอให้เจ้าต้องมีจุดจบเพราะสตรีที่เจ้ารัก ทุกภพ ทุกชาติให้สาสม กะ กับที่เจ้าทำกับขะ…ข้า”
“พี่หญิงใหญ่ พี่หญิง!!!”
ในเฮือกสุดท้ายของชีวิตแม้จะบอกว่าสิ่งที่หวังมีเพียงให้องค์ชายสามเฉินอี้หลงปกครองแคว้นให้ร่มเย็นเพียงเท่านั้นหากแต่ความปรารถนาลึก ๆ เฉินอันหนิงกลับอยากย้อนเวลากลับในวันที่ทุกอย่างยังคงปกติสุขเสียมากกว่า
นางปรารถนาให้เหตุนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้ประสบไม่เกิดขึ้น อยากเป็นคนที่ปกป้องพี่น้องและบิดามารดาได้…หากเป็นไปได้ ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น
แต่โลกนี้มิมีผู้ใดทำเช่นนั้นได้…มิมีเลย
ช่างเถิด ตายแล้วดื่มน้ำแกงยายเมิ่งข้ามสะพานไปสู่ภพหน้าเฉย ๆ ก็ดี มิต้องดิ้นรนสิ่งใดอีก
ดีแล้ว…
หกเดือนต่อมา...ในที่สุดงานมงคลของกู้หลุนอันหนิงกงจู่อันเป็นที่รักของผู้คนและราชวงศ์ก็เกิดขึ้น ฟู่จื่อเหยียนในชุดสีแดงปักเย็บอย่างดีขี่ม้าคู่ใจนำหน้าแห่ขบวนเจ้าสาวอันยาวเหยียดด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว่าจะมีวันนี้ มิใช่ง่าย ๆ เลย แม้ว่าบิดาของเขาจะใช้หลายคำพูดทำให้ฮ่องเต้ไท่เสียนยินยอมให้เขาและบุตรสาวอันเป็นที่รักออกเรือนได้แต่เหล่าอ๋องมิใช่จะยินยอมง่าย ๆ แม้จะทำสิ่งใดเขาไม่ได้แต่ก็พยายามขัดขวางอย่างถึงที่สุดกว่าที่จะยินยอมให้พี่สาวได้ออกเรือน ก็ล่วงเลยมาถึงครึ่งปีทีเดียวฟู่จื่อเหยียนในตอนที่กลับมาต้าเฉินในฐานะบุตรชายคนโตของสกุลฟู่มิได้มีตำแหน่งใดนอกจากสถานะคุณชายฟู่ แต่ระยะเวลาหกเดือนจากคุณชายฟู่ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเรียกขานเขาว่าแม่ทัพฟู่ อันเนื่องมาจากแม้เหตุการณ์หลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่แคว้นฉีก็ยังดันทุรังจะตีต้าเฉิน เหล่าอ๋องต้องการยื้อเวลาไม่ให้พี่ใหญ่ของตนได้ออกเรือนเร็วเกินไป จึงเสนอให้เขาออกรบและกำราบแคว้นฉีเสียแม้การทำศึกกับฉีไม่ได้ยากเย็น แต่ก็กินเวลาไปหลายเดือน
เรื่องราวทุกสิ่งจบลงที่การแต่งตั้งหยางอ้ายฉิงเป็นหยางฮองเฮา ก่อนกำหนดพิธีอภิเษกสมรสในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเรื่องงานอภิเษกเป็นเรื่องภายใน ฮ่องเต้ไท่เสียนแม้เอ็นดูไห่ซุนหลิงดั่งบุตรชายแต่ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อรอถึงงานอภิเษกได้ ครั่นจะเดินทางกลับก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่ทันอย่างแน่นอน จึงได้แต่ตัดใจ ไม่รั้งอยู่กำหนดเดินทางกลับต้าเฉินจึงเป็นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังเสร็จการประชุมฮ่องเต้และฮองเฮาบอกลาคนเป็นดุจบุตรชายและขอตัวกลับตำหนักรับรองไปแล้ว เหลือเพียงเฉินอันหนิงและจิวหูที่ยังอยู่รับน้ำชากับฮ่องเต้ซุนหลิงและว่าที่ฮองเฮา วันนี้เองที่เฉินอันหนิงได้พูดคุยกับหยางอ้ายฉิงอีกครั้ง ทั้งคู่เข้ากันได้ดีเมื่อได้พูดคุยขอโทษขอโพยที่ต่างล่วงเกินกันในวันแรกที่เจอก่อนที่เฉินอันหนิงจะกล่าวขออภัยที่ไม่อาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้“ขออภัยพี่ใหญ่จิว และคุณหนูหยาง ที่มิอาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้”“อย่าได้คิดมาก ข้ามิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย” จิวหลิงพูดแล้วก็ยกยิ้มและเอายคล้ายจะแกล้งเย้า “แต่งานของเจ้ากับเขา ช่วยเผื่อเวลาให้
“เห็นได้ชัดว่าท่านยังโง่งมอยู่ ท่านจะป้อนยาล้ำค่าที่มีเพียงหกเม็ดให้พี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน นั่นคือของสำคัญของท่านนะ” เป็นเฉินไป๋เสวี่ยที่มาห้ามเอาไว้ ในขณะที่สถานการณ์รอบข้างคลี่คลายลงได้แล้วด้วยฝีมือของหานอ๋องและเหล่าองครักษ์ร่วมมือกับคนของพรรคเมฆาสุริยันต์เฉินไป๋เสวี่ยส่ายหน้าพร้อมกับกำข้อมือของผู้เป็นศิษย์สำนักเดียวกันเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้จิวหูได้ทำตามใจ เขาเป็นศิษย์หมอเทวดาย่อมรู้ว่ายาลูกกลอนในมือของอีกฝ่ายนั้นเป็นยาล้ำค่าที่สามารถรักษาคนที่อาการสาหัสให้ฟื้นคืนได้ ทว่าสิ่งนั้นมีเพียงน้อยนิด หลายปีก่อนเจ้าสำนักโอวหยางเหวินหลงปรุงยาขึ้นมาได้หกเม็ด เก็บเอาไว้เองหนึ่งเม็ดและมอบให้กับลูกศิษย์ทั้งห้าคนละเม็ดและไม่คิดจะปรุงเพิ่มอีก หวังให้ศิษย์ใช้ยานี้เมื่อถึงคราวคับขันแต่คราวคับขันนั้นมิใช่ให้ใช้กับผู้อื่น...คนผู้นี้ไม่รักชีวิตถึงขั้นจะแลกเพื่อพี่สาวของเขาเชียวหรือ หากวันหน้าเป็นอันใดไปจะทำอย่างไรเล่า“ยานี้ไม่สำคัญอันใด ถ้าไม่มีนาง ต่อให้ต้องแลกกับโลกใบนี้เพื่อนาง ข้าก็จะแลก” ไม่มีสิ่งใดม
รถม้าเคลื่อนไปแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ ไม่ได้เข้าไปภายในตำหนักรับรอง และไม่ได้จากไปที่ใดมิใช่เพราะลังเลอันใดอีก แต่เพราะกำลังขบคิดกับคำของอาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ตักเตือนเขาและเหล่าเศิษย์พี่น้องไม่เคยไม่เชื่อ ด้วยว่าอาจารย์ไม่เคยมองสิ่งใดผิดพออาจารย์เอ่ยเช่นนี้ เขาก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว“อะ พี่ใหญ่” ไม่ทันจะได้คิดสิ่งใดมากไปกว่านั้นเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น“เหยาเหยา” จิวหูส่งเสียงให้น้องสาวที่ส่งเสียงเรียกก่อนจะได้เห็นว่าด้านหลังของฟู่จื่อเหยายังมีเฉินอันหนิง เฉินลี่หลิน และอ๋องทั้งสอง กับฟู่จื่อหมิงและฟู่จื่อหลิงอยู่ด้วย“จะออกไปที่ใดกัน”“หอเมฆาเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะเหยาเหยาอยากอยู่กับพี่ใหญ่” ฟู่จื่อเหยามิได้ชักชวนแต่ดึงแขนผู้เป็นพี่ให้เดินตามเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่ที่เดินนำไปก่อนแล้ว นั่นย่อมหมายถึงนางไม่เปิดโอกาสให้จิวหูได้ปฏิเสธ บุรุษผู้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลอีกก้าวตามไปด้วยโดยไร้คำใดโต้แย้ง
เฉินอันหนิงเป็นฝ่ายก้าวนำบุรุษหน้ากากออกไปด้านนอกก่อนจะนำเขาไปยังสวนด้านหลังซึ่งเงียบสงบ แค่เพียงหยุดเดินบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นจากฝ่ายของผู้หยั่งรู้ฟ้าดินในทันที“เขายังสบายดีได้ ย่อมเพราะชะตาของท่านยังปลอดภัย”“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”“เจ้าสามจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ชะตาของท่าน”คำบอกเล่าของคนตรงหน้ามิได้แตกต่างจากหนิงอันมากนัก ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องรองในใจของนาง เฉินอันอันหนิงมองสบตาคู่คมกริบก่อนจะสอบถามออกไปโดยตรง “ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงได้รับโอกาส”“ต้าเฉินมีมังกรและหงส์เพลิงพิทักษ์อยู่ เรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องบอกท่านกระมัง”ตำนานมังกรและหงส์พิทักษ์ต้าเฉิน ผู้คนทั้งต้าเฉินล้วนเคยได้ยิน ยิ่งมีตำนานว่าราชวงค์คือลูกหลานของมังกรและหงผู้พิทักษ์ นางย่อมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ในชาติก่อนแล้ว เฉินอันหนิงไม่ได้มีคำถามใด ๆ นางพยักหน้าให้เท่านั้นอีกฝ่ายก็บอกเล่าต่อ “ยามใดที่ต้าเฉินลุกเป็นไ
“เมื่อก่อนข้าคิดว่าฮวาเอ๋อร์จะรักกับฟู่เสวียน แต่นางกลับเลือกหยวนจิ้ง ชะตาของคนเราช่างแปลกนัก” ฮ่องเต้ไท่เสียนที่ผายมือเชิญแขกผู้มาเยือนให้ไปนั่งเอ่ยก่อนจะหัวเราะอย่างขบขันขึ้นมาและพูดต่อถึงโชคชะตาที่เล่นตลก “ส่วนฟู่เสวียน ไปตกหลุมรักบุตรสาวเซียนทวนจนถึงขั้นขโทยบุตรสาวผู้อื่นกลับบ้าน”“ห๊า ท่านพ่อ...ท่านแม่เป็นถึงบุตรสาวเซียนทวนเชียวหรือเจ้าคะ” ฟู่จื่อเหยาแทรกขึ้นก่อนมองบิดาด้วยความสงสัย ทั้งยังหันไปสะกิดพี่สาวบุตรธรรมเพื่อบอกเล่า “พี่หญิง ท่านแม่เป็นบุตรสาวเซียนทวนล่ะ”“บิดาเจ้ายังไม่ได้ตอบเลย” เฉินลี่หลินแทรกขึ้นบ้างแต่สายตาก็บ่งบอกว่าสนใจเรื่องนี้เช่นกันด้วยอายุนาง ในยามเด็กนางย่อมทันฟู่ฮูหยินที่ผู้คนกล่าวว่างดงามเป็นที่ต้องตาของบุรุษ และรับรู้เพียงแค่นั้นมาโดยตลอด...เรื่องที่ว่าฟู่ฮูหยินเป็นบุตรสาวเซียนทวนแห่งสำนักเฟยผิง นั่นย่อมน่าสนใจไม่เพียงแค่เฉินลี่หลินที่สนใจ เฉินอันหนิงเองก็คิดไม่ต่างกันและนั่นทำให้สายตาแทบทุกคู่มองไปยังฟู่เสวี
งานเลี้ยงต้อนรับในช่วงเช้าเป็นไปอย่างราบรื่น และหลังงานเลี้ยงสิ้นสุดอาคันตุกะต่าง ๆ ก็กลับที่พัก ฮ่องเต้ซุนหลิงมาส่งฮ่องเต้ไท่เสียนและคณะจากแคว้นเฉินด้วยตนเองก่อนจะกลับไปจัดการเรื่องในวังหลังของตน ยิ่งบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองแคว้น และทำให้ผู้คนเข้าใจว่ากู้หลุนกงจู่ผู้สูงส่งแห่งต้าเฉินไม่ปรารถนาให้วังหลังมีสนมมากมายหากตนจะต้องอยู่ที่นี่จึงได้ยื่นคำขาดให้ฮ่องเต้ซุนหลิงปัดกวาดวังหลังให้ดีซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่กู้หลุนกงจู่ผู้ถูกเอ่ยถึงและโอรสสวรรค์แห่งต้าไห่ต้องการให้นางสนมทั้งหลายเข้าใจ เพื่อให้อะไร ๆ ง่ายขึ้นเรื่องในวังหลังจะเป็นเช่นไร เฉินอันหนิงไม่ได้ให้ความสนใจอีก นางเพียงเดินทางกลับตำหนักรับรองพร้อมบิดามารดา มิได้เข้าไปมีบทบาทเพิ่มเติมอันใดบทบาทอีกครั้งของนาง ก็คงจะเป็นในตอนจะกลับต้าเฉิน ที่จะเฉลยให้ผู้คนรู้ว่านางมิได้จะมาเป็นมารดาแห่งแผ่นดินนี้...ถึงตอนนั้นเหล่าสนมที่เลือกออกจากวัง ก็กลับเข้าไปมิได้อีกทุกอย่างนับว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตำหนักใหญ่ใบหน้าเต็มเปี่ย
วันต่อมาเช้าวันนี้มีการต้อนรับอาคันตุกะทั้งหลายอย่างเป็นทางการ หลายแคว้นที่เชื้อพระวงค์มาร่วมด้วยตนเอง แต่ก็มีหลายแคว้นที่ส่งมาเพียงขุนนาง ด้วยว่าแคว้นไห่นับว่าห่างไกล และตกต่ำมาหลายปีเพราะฮ่องเต้ทรราชองค์เก่าทำให้หลายแคว้นดูแคลน จึงส่งเพียงขุนนางมา ทว่าเมื่อผู้คนทั้งหลายได้เห็นว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเดินทางมาด้วยพระองค์เองพร้อมกับฮองเฮาทั้งยังสนิทสนมกับฮ่องเต้ซุนหลิงราวกับเป็นบิดามารดาและบุตร ท่าทีเย่อหยิ่งของเหล่าขุนนางต่างแคว้นก็เปลี่ยนไป แม้แต่เชื้อพระวงค์จากแคว้นต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นกันทว่านอกจากท่าทีของอาคันตุกะจะมีความเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ท่าทีของเหล่าสนมและขุนนางในต้าไห่เองก็ผิดปกติเช่นกันเฉินอันหนิงมองท่าทีของคนเหล่านั้นก่อนจะสบตากับว่าที่ฮ่องเต้อย่างเป็นทางการของต้าไห่ที่ยกยิ้มอยู่ก่อนแล้ว....เรื่องนี้ มันเริ่มขึ้นเมื่อสายของวานนี้หนึ่งวันก่อน...กลับมาถึงตำหนักรับรองแทนที่จะได้พักผ่อนหรืออาละวาดที่คนผู้นั้นไม่ตามมาพูดคุยต่อเฉินอันหนิงกลับต้องเก็บกังความคิดเอาไว้เพราะแขกที่ย่อ
ครืดไม่ทันทีผู้ถูกหาว่าไม่ยอมออกจากห้องจนทำให้น้อง ๆ เบื่อหน่ายจะได้เอ่ยสิ่งใดประตูห้องก็เปิดออก ทว่าผู้ที่เข้ามากลับมิใช่เสี่ยวเอ้อที่นำอาหารและสุรามาให้ แต่เป็นผู้ถูกเจ้าของห้องนินทาว่ามิออกจากห้องตั้งแต่เมื่อวาน“ถิงถะ...แม่นางเสียน” ผู้มาใหม่ที่คิดจะเรียกน้องสาวถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าภายในห้องมิได้มีเพียงน้องสาว“แม่นางหลัน พบกันอีกแล้ว” เฉินอันหนิงทักทายก่อนจะส่งยิ้มให้และอธิบาย “พวกข้าเห็นหอเมฆาน่าสนใจ จึงแวะเข้ามาแล้วก็ได้เจอกันหลันถิงน่ะ หลันถิงชวนพวกข้าขึ้นมาดื่มกินที่ห้องของนาง”“อย่างนี้เอง เช่นนั้นก็ตามสบายนะเจ้าคะ” หลันซิ่วอิงยังคงมิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากตอนที่ได้พบกัน นางยังคงมีท่าทีเป็นมิตรเช่นเดิม และยังคงเห็นสหายร่วมทางทั้งหลายเป็นผู้มีคุณทว่าสายตาที่เฉินอันหนิงมองไปกลับมิได้เป็นเช่นเดิม ตอนเจอกันนางเพียงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เป็นสตรีน่าสนใจ แต่หลังจากที่รู้ว่าคนตรงหน้าคือคนรักของฟู่จื่อหลิงที่เดินทางหลายร้อยพันลี้เพื่อติดตาม
ความคิดเห็น