ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น
“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”
“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง
“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”
“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่นและดูแลองค์หญิงใหญ่ตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะถวายพระพรลาเมื่อบุรุษสูงศักดิ์ในแผ่นดินก้าวจากไป บุรุษใบหน้านิ่งสงบในชุดเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์ก้าวตามไปติด ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปตบไล่ฟู่จื่อเหยียนผู้เป็นบุตรชาย
“อย่าขัดใจองค์หญิงอีกเล่า หากองค์หญิงโกรธจนไม่เล่นกับเจ้าขึ้นมา บิดาก็ช่วยเจ้ามิได้นะ”
“ท่านพ่อวางใจเถิดขอรับ ลูกจะไม่ขัดใจองค์หญิงอย่างแน่นอน”
“เข้าไปเถิด องค์หญิงเองก็คงรอพี่เหยียนอยู่”
“ขอรับ” ทั้งที่บิดาเป็นผู้เอ่ยปากให้เข้าไป ทว่าฟู่จื่อเหยียนก็ยังคงเป็นฝ่ายโค้งหัวส่งผู้เป็นพ่อก่อนจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาขันทีประจำตำหนักเพื่อให้รายงานการมาถึง ดั่งที่เคยทำเป็นประจำ
เพราะบิดาคือองครักษ์คนสนิทตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ฮ่องเต้ไท่เสียนจึงให้ความเชื่อใจให้เขามาเล่นกับองค์หญิงพระองค์แรกที่ทรงรักมากกว่าผู้ใดตั้งแต่เล็ก ฟู่จื่อเหยียนจึงคุ้นชินกับตำหนักองค์หญิงเป็นอย่างดี ทันทีที่จวิ้นกงกงขันทีประจำตำหนักได้เห็นคุณชายตระกูลฟู่ก็รีบเข้าไปรายงานด้านในตำหนักในทันทีโดยไม่ต้องสอบถามกันให้มากความ
องค์หญิงของพวกเขาสูญเสียพระมารดาไปไว ผู้ที่นางไว้ใจจึงมีเพียงไม่กี่คน และ ‘พี่เหยียน’ หรือก็คือฟู่จื่อเหยียนก็คือผู้หนึ่งที่นางไว้ใจมากถึงมากที่สุด
องค์หญิงค่อนข้างติดคุณชายจวนหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้เป็นอย่างมาก หากองค์หญิงได้ทราบว่า ‘พี่เหยียน’ มาแล้ว จะต้องดีพระทัยจนทุเลาไข้เป็นแน่
ด้านผู้ที่จวิ้นกงกงคิดว่าจะดีพระทัยกลับนั่งร้อยเรียงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด มิใช่เพราะจดจำมิได้ แต่เป็นเพราะเหตุที่จะเกิดขึ้นนั้นนางมิรู้ว่าจะต้องเริ่มจากเรื่องใดก่อนดี...มันมีหลากหลายเรื่องเสียเหลือเกิน
“กราบทูลองค์หญิง คุณชายฟู่มาเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“คุณชายฟู่...พี่เหยียน?” ราวกับคำรายงานของขันทีประจำตำหนักเป็นดั่งคำตอบฟ้าประทาน เฉินอันหนิงคิดได้ในทันทีว่าเรื่องใดเป็นสิ่งที่นางควรจะคิดอ่านและแก้ไขเป็นเรื่องแรก...เรื่องของผู้มาเข้าเฝ้านี่อย่างไรเล่า
“อยู่ที่ใด พี่เหยียนอยู่ที่ใด ข้าจะไปหาพี่เหยียน”
“เอ่อ ด้านนอกพะ...องค์หญิง ยังมิได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เลยนะพะย่ะค่ะ องค์หญิง”
จวิ้นกงกงร้องตามอย่างร้อนใจทว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินมิได้นำพากับเสียงของขันทีผู้ดูแลตำหนัก นางออกแรงวิ่งเต็มแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายในอาภรณ์หรูหราทว่าคล่องตัว เพียงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาด้วยความรู้สึกคะนึงหา ฟู่จื่อเหยียนที่เป็นสามีในชาติที่แล้วคือคนสารเลวมาสวมรอย หากแต่ฟู่จื่อเหยียนที่อยู่ตรงหน้านางนี้คือฟู่จื่อเหยียนตัวจริง
คนผู้นี้คือพี่เหยียนของนาง...
องค์หญิงน้อยพุ่งเข้าไปกอดฟู่จื่อเหยียนในทันทีด้วยความดีพระทัย ราวกับตอนนี้นางเป็นเด็กเล็กไปแล้วจริง ๆ ที่ยินดีกับการพบเจอกับเพื่อนเล่น
พี่เหยียนคือผู้ที่นางอยากปกป้องไว้ไม่แพ้เสด็จพ่อและพี่น้อง ในชาตินี้นางก็ปรารถนาให้เขาปลอดภัย
“พี่เหยียน หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน”
“องค์หญิง...กระหม่อมมิได้มาเข้าเฝ้าเพียงสามวันเท่านั้น ใยคล้ายกระหม่อมมิได้มาเฝ้าเป็นแรมปีเช่นนี้เล่า”
“เพราะ...” อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าเพราะมิได้พบกันนานจริง ๆ ทว่าคิดได้เสียก่อนว่าคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นคนตรงหน้าก็คงคิดว่านางเพ้อเพราะพิษไข้ไปเท่านั้น องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินนิ่งไปเพียงครู่ก่อนจะตอบออกไปด้วยคำตอบที่สมเหตุสมผลมากที่สุด “เพราะป่วยไข้ครั้งนี้ หนิงเอ๋อร์คล้ายได้ไปยืนตรงหน้ายายเมิ่ง หนิงเอ๋อร์จึงดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง พี่เหยียนไม่ยินดีหรือที่หนิงเอ๋อร์ ไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ยินดีสิพะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมยินดีที่องค์หญิงหายประชวรและทรงปลอดภัยดี”
“หนิงเอ๋อร์ก็ยินดีที่พี่เหยียนปลอดภัย” คำพูดนั้นมิใช่นางประจบ แต่นางยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอพี่เหยียนของนางอีกครั้ง และยินดีที่เขายังปลอดภัยดี และปรารถนาให้ปลอดภัยตลอดไป
ฟู่จื่อเหยียนมิได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน เขาเข้าใจเพียงว่านางเลียนแบบคำพูดของเขาเท่านั้น นายน้อยสกุลฟู่ที่โตกว่าองค์หญิงเจ้าของตำหนักเพียงไม่เท่าไหร่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับกล่าวในสิ่งที่เขาควรจะกล่าว “เช่นนั้น...องค์หญิงต้องรีบไปสวมใส่ฉลองพระองค์หนา ๆ แล้วพะย่ะค่ะ จะได้มิป่วยไข้อีก เราจะได้พบเจอกันทุกวันได้อย่างไรเล่า”
“อื้อ หนิงเอ๋อร์จะไปใส่เดี๋ยวนี้” องค์หญิงตัวน้อยตอบรับก่อนจะกลับเข้าไปในตำหนัก ทว่าไม่ลืมที่จะจูงมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฟู่เข้าไปด้วย นางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเสแสร้งไร้เดียงสาต่อหน้าเขา มิอยากแสดงท่าทีเศร้าใจให้ได้เห็น
พบเจอทุกวัน...หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดีน่ะสิ
หากว่านางสามารถมองเห็นทุกการเติบโตไปเป็นบุรุษผู้องอาจของพี่เหยียนได้ก็คงเป็นสิ่งที่ดียิ่ง
แต่โชคชะตาในชาติก่อนช่างเลวร้าย ตระกูลฟู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์มากเกินไป และมีน้ำหนักในพระทัยฮ่องเต้เกินหน้าเกินตาผู้คน ในวังวนการแย่งชิงจึงมีผู้คนไม่น้อยชิงชังและปรารถนาให้ตระกูลฟู่ล่มสลายไป
ชะตากรรมของฟู่จื่อเหยียนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บิดาถูกกล่าวหาเป็นกบฏ มารดาและน้องในครรภ์รวมถึงบ่าวรับใช้ก็ถูกกวาดล้างมิเหลือซาก ตัวเขาเองก็ต้องระหกระเหินออกจากแคว้นไปโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าเป็นตายร้ายดี ตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว...และชะตากรรมนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
เวลานี้นางจะมีกำลังใดไปหยุดยั้งเรื่องเหล่านั้นเล่า
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
หรงกุ้ยเฟยจ้องลึกเข้าไปในดวงตามุ่งมั่นของหลานสาวก่อนจะถอนใจ สองปีก่อนหลังจากที่น้องสาวของนางจากไปในวังมีสนมชายาช่วงชิงความโปรดปรานกันนับไม่ถ้วน ผู้มีบุตรก็ใช้บุตรเป็นสะพาน ผู้ใดไม่มีก็ทำทุกทางเพื่อจะได้ตั้งครรภ์มังกร ทว่านางไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้น ตำแหน่งฮองเฮาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องการฮองเฮาผู้เดียวในใจฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงเซี่ยฮองเฮาเท่านั้น จะแย่งชิงกันไปก็เท่านั้น สองปีมานี้องค์หญิงใหญ่อยู่ในตำหนักอันหนิงได้รับความดูแลจากฮ่องเต้โดยตรงก็เพราะไม่ต้องการให้องค์หญิงถูกผู้ใดใช้เป็นเครื่องมือปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา และตัวองค์หญิงเองก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดขึ้นมาแทนที่มารดา แม้แต่นางที่เป็นป้า แล้ววันนี้...“เด็กน้อยเช่นเจ้า เหตุใดจึงกล่าวเรื่องเช่นนี้”“เสด็จป้าหนิงเอ๋อร์รู้ความกว่าที่ท่านคิด มีแค่ท่านเป็นฮองเฮา พวกเราถึงจะปลอดภัย โดยเฉพาะเสี่ยวเซวียนกับเสี่ยวหลง...ท่านเป็นฮองเฮาเถอะ”“เด็กน้อยเอ๋ย คลื่นลมในวังหลัง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหลี่ซูเฟยคือผู้ที่เสด็จพ่อของเจ้าโปรดปรานที่สุด นางงดงามเพียงนั้น ไหนเลยจะช่วงชิงความโปรดปรานมาได้ ไหนจะเจาอี๋จากนอกวังที่เข้ามาพร้อมกับบุตรสาวนั่นอีก ได้ยินว่านาง
ในตำหนักเซียนซือเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนซึ้งทว่าที่ตำหนักใหญ่โอรสสวรรค์กลับเลิกคิ้วมององครักษ์คนสนิทที่มารายงานตามรับสั่งของพระธิดาด้วยความสงสัยแล้วก็เปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นใจ“เจ้าว่าเจ้าก้อนแป้งโกรธอะไรเจิ้นอีกหรือไม่”“น่าชังเช่นฝ่าบาททำให้องค์หญิงขุ่นเคืองย่อมไม่แปลก” องค์รักษ์ฟู่เสวียนเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวก่อนจะลอยหน้าลอยตาเมื่อนายเหนือหัวส่งสายตาดุมาให้ ฟู่เสวียนที่อยู่กับองค์หญิงองค์ชายและครอบครัวคือบุรุษอบอุ่น ฟู่เสวียนที่อยู่ต่อหน้าขุนนางคือองค์รักษ์ผู้สุขุมเลือดเย็น แต่ฟู่เสวียนที่อยู่ตามลำพังกับนายเหนือหัวคือ….สหายน่าตายคนผู้นี้มีหลายหน้ายิ่งนัก เรื่องนี้มีเพียงฮ่องเต้ไท่เสียนที่รู้ดีที่สุด ไอ้เจ้านี่หน้าหนาและปากจัดยิ่ง ทั้งยังไม่เกรงกลัวเขาอีกต่างหาก“เจ้านี่ช่าง…”“ฝ่าบาท ได้เวลาพลิกแผ่นป้ายแล้วพะย่ะค่ะ” ไม่ทันจะต่อว่าสหายผู้กล้าหาญกล่าวตรง ๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ เหรินฉิน ขันทีคนสนิทก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับถาดแผ่นป้าย...ได้เวลาต้องพลิกแผ่นป้ายแล้วแม้ว่าความจริงเหร
เพลี่ยง!เสียงข้าวของที่แตกกระจายจากด้านในตำหนักไม่ได้ส่งผลให้เฉินซูเหมยในวัยเพียงหกขวบตัวสั่นระริก หรือมีอาการหวาดกลัวใด ๆ กลับกันนางกลับมีเพียงความไม่พอใจและกรุ่นโกรธไม่ต่างจากมารดาที่ขว้างปาสิ่งของผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงลำดับที่สองของราชวงค์ และเป็นธิดาลำดับที่ห้าของฮ่องเต้ไม่สนใจมารดาที่ระบายโทสะด้วยการขว้างปาสิ่งของก่อนจะก้าวเข้าไปยังแท่นบรรทมด้วยท่าทีที่เงียบสงบเกินวัยถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะเป็นเด็กหกขวบ แต่ผู้ใดเล่าจะรับรู้เท่านาง ว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้อายุเพียงหกขวบ...นางตายเพราะเฉินอี้หลง และได้หวนกลับมายังอดีตเฉินซูเหมยกำหมัดแน่น ในอดีตมารดานางกระทำต่ำช้าอาศัยโอกาสที่ฮ่องเต้ปลอมตัวออกไปเยี่ยมราษฏรวางยาปลุกกำหนัดในเหล้าจนทำให้มีนาง ทว่าเพราะเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างทำให้นางได้เติบโตนอกวังโดยที่เสด็จพ่อไม่รู้ถึงหกปีเต็ม การได้เข้ามาในวังที่เต็มไปด้วยความแก่งแย่งช่วงชิงใช่ว่าจะมีความสุข มารดานางได้ตำแหน่งแค่เพียงเจาอี๋ ไร้อำนาจซ้ำยังรังแกได้ง่าย นางจึงเกลียดทุกคนที่มีอำนาจ เฝ้าใฝ่ฝันจะเ
“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉินเฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
สองเดือนต่อมาการเดินทางจากต้าเฉินถึงต้าไห่ใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบห้าวัน เป็นหกสิบห้าวันที่จะกล่าวว่าราบรื่นก็ราบรื่น แต่จะกล่าวว่าทุลักทุเลเล็กน้อยก็ว่าได้เช่นกันสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...“แม่นางเสียน” น้ำเสียงหยาดเยิ้มที่เอ่ยเรียกฉุดให้เฉินอันหนิงที่เผลอขบคิดถึงการเดินทางนับสองเดือนที่ผ่านมาได้สติและหันสายตาไปมองนี่อย่างไรเล่าผู้ที่ทำให้การเดินทางของพวกนางทุลักทุเลมาเล็กน้อยแทนที่จะราบรื่นน่ะ“แม่นางหลัน มีอันใดหรือ” นางสอบถามอีกฝ่ายพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย หลันซิ่วอิงคือสตรีที่นางพบเจอระหว่างทางจากแคว้นลั่วหยางมายังแคว้นไห่ ในตอนที่เจออีกฝ่าย หลันซิ่งอิงกำลังประสบปัญหาเพราะถูกกลุ่มนักฆ่าตามไล่ล่าเพราะไม่อาจเมินเฉยต่อคนต้องการความช่วยเหลือ นางจึงให้เฉินซีหานเข้าไปช่วยเหลือสตรีตรงหน้าเองไว้ ทั้งยังให้นางร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อได้รู้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นแคว้นไห่เช่นกันลำพังหลันซิ่วอิง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของนางและคณะมีปัญหา
ได้เห็นดรุณีน้อยชอบใจ เฉินอันหนิงก็พลอยยิ้มไปด้วย สำหรับนางฟู่จื่อเหยาเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง อาจจะตั้งแต่ตอนที่อุ้มครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกนั่นล่ะ ที่นางเห็นเด็กน้อยอาภัพมารดาผู้นี้เป็นน้องสาวและปรารถนาให้ยิ้มอยู่เสมอ แต่บางครั้งน้องสาวผู้นี้ก็ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอยู่เช่นกัน...“พี่สาว...พี่สาวจะไปหาพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ดั่งเช่นตอนนี้ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังที่คอกม้าจนสามารถพูดคำสามัญได้ น้องสาวผู้นี้ ถึงนางจะมองเป็นน้องสาวอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นน้องสาวของคนผู้นั้นอยู่ดี“ไม่ เหตุใดข้าต้องไปหาคนอย่างเขา” นางตอบโดยไม่หันกลับไปมองน้องสาวบุญธรรมผ่านมาสองปี ความขุ่นเคืองในใจมิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกอื่นก็เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า แม้บุปผามีใจ หากสายน้ำไร้รัก ก็ย่อมต้องปล่อยให้ผ่านไป...นางมิใช่คนที่จะไปบังคับข่มเหงผู้ใดและเมื่อพูดไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ย่อมไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจอีกป่านนี้บุรุษผู้นั้นคงมีฮูหยินไปแล้วกระมัง นางจะไปหาเขาทำไมกั
นางใช้เวลาไม่นานก็มาปรากฏตัวหน้าห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้างามล่มเมืองปั้นให้ดูปกติที่สุดก่อนจะเผยยิ้มส่งให้บิดาในทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง“เสด็จพ่อ”“แคว้นไห่ส่งราชสาร์นเชิญมา” ไม่รอให้พระธิดาองค์โตสอบถามใด ๆ ฮ่องเต้ไท่เสียนก็บอกเล่าสาเหตุที่เรียกให้มาหาในทันทีพร้อมกับยื่นพระราชสาร์นให้ “ต้าไห่เปลี่ยนฮ่องเต้แล้ว”คำบอกเล่ามิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็มิได้แปลกใจใด ๆ อันเนื่องมาจากบุตรสาวได้บอกเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วเฉินอันหนิงกวาดสายตาอ่านตัวอักษรในราชสาร์นที่แสนคุ้นเคยก่อนจะระบายยิ้ม จิวหลิงเขียนราชสาร์นฉบับนี้ด้วยตัวเองไม่ผิดแน่และในราชสาร์นก็บอกเล่าว่าตนได้จัดการอดีตฮ่องเต้ทรราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงส่งสาร์นฉบับนี้มาเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ เชื้อพระวงค์และคณะทูตจากต้าเฉินมาร่วมในงานพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกทั้งยังทิ้งข้อความลับไว้ในพระราชสาร์น กำชับให
เฉินอันหนิงมองท่าทีของสหายด้วยรอยยิ้ม ย้อนคิดไปถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ตอนที่ผู้คนได้รู้ว่าเหลยเซียนหนิงถอนหมั้นกับเสียนฟู่ถังแล้วก็เป็นวันที่มีงานมงคลของเสียนฟู่ถังกับฟ่านซูเซียน โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพเหลยได้รับราชโองการให้ไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองถงอันทางตอนใต้ เหล่าแม่สื่อจึงยังไม่มีโอกาสเข้ามาพูดคุยทว่าหนึ่งปีก่อนแม่ทัพเหลยจิ้งเสร็จสิ้นภารกิจกลับมายังจวนในเมืองหลวง นับจากนั้นเหล่าแม่สื่อก็มายังจวนแม่ทัพบูรพาไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่หรงฮองเฮาก็มีท่าทีอยากจะได้สหายของบุตรสาวมาเป็นพระชายารัชทายาท ด้วยไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์ และไม่อยากเกี่ยวดองกับขุนนางที่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของผู้เป็นพี่ชาย เหลยเซียนหนิงจึงต้องสร้างเรื่อง...และเรื่องที่เหลยเซียนหนิงสร้างก็คือการจัดฉากเล่นงานองครักษ์ของสหายเช่นนาง ไม่รู้ว่าสหายผู้นี้ไปทำเช่นไรเค่อซินจึงได้ยอมให้ท่านลุงฟู่ส่งแม่สื่อไปพูดคุย ทว่าท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเหลยเซียนหนิงบอกกับนางและเว่ยหนิงว่าการแต่งงานครั้งนี้นางได้ตกลงกับเค่อซินแล้ว
สองปีต่อมาสิ่งที่ผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ก็คือวันเวลา เผลอเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม หนึ่งวัน หนึ่งเดือน จนกระทั่งล่วงเลยไปหนึ่งปี สองปีอย่างรวดเร็วและแสนสั้นสองปี...หากจะกล่าวว่ายาวนาน มันก็ยาวนานแต่หากจะบอกว่าช่างแสนสั้น มันก็ผ่านไปรวดเร็วระยะเวลาสองปีมานี้สำหรับเฉินอันหนิงแล้วทั้งมิได้เนิ่นนาน และมิได้รวดเร็ว อาจจะเพราะนางมิได้เฝ้ารอผู้ใดจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันทั้งยาวนานและเนิ่นนาน และอาจจะเพราะนางใช้เวลาไปกับการพัฒนาแคว้นและทำการค้า วันเวลาของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที...รอบข้างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วแคว้นต้าเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวย ราษฏรมีกินมีใช้ นักเดินทางและพ่อค้าคหบดีต่างแคว้นก็พลุกพล่านทำให้การใช้จ่ายภายในแคว้นเป็นไปได้ด้วยดีกิจการของนางที่ร่วมกับเว่ยหนิงและนายท่านแห่งหอเทียนหลินก็เป็นไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดย่านการค้าที่นางกว้านซื้อที่ดินมาสร้างให้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในยุคอนาคต ที่เป็นแหล
งานสถาปนาแคว้นนับเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ ชาวบ้านต่างประดับประดาบ้านช่องและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประโคมดนตรีเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ภายในพระราชวังก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน แต่ก็จัดเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ส่วนในวันที่เหลือหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อท่องเที่ยวก็สามารถพักยังที่รับรองที่จัดเอาไว้ให้ได้ต่อเมื่อเทศกาลการเฉลิมฉลองจบลงผู้คนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ภายในพระราชวังเองก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสงบสุข ผู้คนต่างให้คามสนใจท่าทีของจวนสกุลเจียง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวังที่เล็ดลอดออกมาสกุลมู่ไม่นับว่าตกต่ำ แม่ทัพฟ่านรุ่งเรืองเช่นไร รองแม่ทัพและเหล่านายกองก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย สกุลเจียงคิดจะทำเช่นไรย่อมต้องดูสีหน้าสกุลมู่ให้มากเหล่าขุนนางย่อมรับรู้สถานการณ์ของสกุลเจียงมากกว่าชาวบ้าน ใต้เท้าเจียงผู้เป็นบิดาของเจียงเหิงอยู่ใต้บารมีของสกุลเถียน สนับสนุนเถียนเจาอี๋มาโดยตลอด เมื่อเถียนเจาอี๋ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นสกุลเจียงก็พลอยต
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้