ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น
“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”
“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง
“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”
“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่นและดูแลองค์หญิงใหญ่ตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะถวายพระพรลาเมื่อบุรุษสูงศักดิ์ในแผ่นดินก้าวจากไป บุรุษใบหน้านิ่งสงบในชุดเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์ก้าวตามไปติด ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปตบไล่ฟู่จื่อเหยียนผู้เป็นบุตรชาย
“อย่าขัดใจองค์หญิงอีกเล่า หากองค์หญิงโกรธจนไม่เล่นกับเจ้าขึ้นมา บิดาก็ช่วยเจ้ามิได้นะ”
“ท่านพ่อวางใจเถิดขอรับ ลูกจะไม่ขัดใจองค์หญิงอย่างแน่นอน”
“เข้าไปเถิด องค์หญิงเองก็คงรอพี่เหยียนอยู่”
“ขอรับ” ทั้งที่บิดาเป็นผู้เอ่ยปากให้เข้าไป ทว่าฟู่จื่อเหยียนก็ยังคงเป็นฝ่ายโค้งหัวส่งผู้เป็นพ่อก่อนจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาขันทีประจำตำหนักเพื่อให้รายงานการมาถึง ดั่งที่เคยทำเป็นประจำ
เพราะบิดาคือองครักษ์คนสนิทตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ฮ่องเต้ไท่เสียนจึงให้ความเชื่อใจให้เขามาเล่นกับองค์หญิงพระองค์แรกที่ทรงรักมากกว่าผู้ใดตั้งแต่เล็ก ฟู่จื่อเหยียนจึงคุ้นชินกับตำหนักองค์หญิงเป็นอย่างดี ทันทีที่จวิ้นกงกงขันทีประจำตำหนักได้เห็นคุณชายตระกูลฟู่ก็รีบเข้าไปรายงานด้านในตำหนักในทันทีโดยไม่ต้องสอบถามกันให้มากความ
องค์หญิงของพวกเขาสูญเสียพระมารดาไปไว ผู้ที่นางไว้ใจจึงมีเพียงไม่กี่คน และ ‘พี่เหยียน’ หรือก็คือฟู่จื่อเหยียนก็คือผู้หนึ่งที่นางไว้ใจมากถึงมากที่สุด
องค์หญิงค่อนข้างติดคุณชายจวนหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้เป็นอย่างมาก หากองค์หญิงได้ทราบว่า ‘พี่เหยียน’ มาแล้ว จะต้องดีพระทัยจนทุเลาไข้เป็นแน่
ด้านผู้ที่จวิ้นกงกงคิดว่าจะดีพระทัยกลับนั่งร้อยเรียงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด มิใช่เพราะจดจำมิได้ แต่เป็นเพราะเหตุที่จะเกิดขึ้นนั้นนางมิรู้ว่าจะต้องเริ่มจากเรื่องใดก่อนดี...มันมีหลากหลายเรื่องเสียเหลือเกิน
“กราบทูลองค์หญิง คุณชายฟู่มาเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“คุณชายฟู่...พี่เหยียน?” ราวกับคำรายงานของขันทีประจำตำหนักเป็นดั่งคำตอบฟ้าประทาน เฉินอันหนิงคิดได้ในทันทีว่าเรื่องใดเป็นสิ่งที่นางควรจะคิดอ่านและแก้ไขเป็นเรื่องแรก...เรื่องของผู้มาเข้าเฝ้านี่อย่างไรเล่า
“อยู่ที่ใด พี่เหยียนอยู่ที่ใด ข้าจะไปหาพี่เหยียน”
“เอ่อ ด้านนอกพะ...องค์หญิง ยังมิได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เลยนะพะย่ะค่ะ องค์หญิง”
จวิ้นกงกงร้องตามอย่างร้อนใจทว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินมิได้นำพากับเสียงของขันทีผู้ดูแลตำหนัก นางออกแรงวิ่งเต็มแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายในอาภรณ์หรูหราทว่าคล่องตัว เพียงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาด้วยความรู้สึกคะนึงหา ฟู่จื่อเหยียนที่เป็นสามีในชาติที่แล้วคือคนสารเลวมาสวมรอย หากแต่ฟู่จื่อเหยียนที่อยู่ตรงหน้านางนี้คือฟู่จื่อเหยียนตัวจริง
คนผู้นี้คือพี่เหยียนของนาง...
องค์หญิงน้อยพุ่งเข้าไปกอดฟู่จื่อเหยียนในทันทีด้วยความดีพระทัย ราวกับตอนนี้นางเป็นเด็กเล็กไปแล้วจริง ๆ ที่ยินดีกับการพบเจอกับเพื่อนเล่น
พี่เหยียนคือผู้ที่นางอยากปกป้องไว้ไม่แพ้เสด็จพ่อและพี่น้อง ในชาตินี้นางก็ปรารถนาให้เขาปลอดภัย
“พี่เหยียน หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน”
“องค์หญิง...กระหม่อมมิได้มาเข้าเฝ้าเพียงสามวันเท่านั้น ใยคล้ายกระหม่อมมิได้มาเฝ้าเป็นแรมปีเช่นนี้เล่า”
“เพราะ...” อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าเพราะมิได้พบกันนานจริง ๆ ทว่าคิดได้เสียก่อนว่าคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นคนตรงหน้าก็คงคิดว่านางเพ้อเพราะพิษไข้ไปเท่านั้น องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินนิ่งไปเพียงครู่ก่อนจะตอบออกไปด้วยคำตอบที่สมเหตุสมผลมากที่สุด “เพราะป่วยไข้ครั้งนี้ หนิงเอ๋อร์คล้ายได้ไปยืนตรงหน้ายายเมิ่ง หนิงเอ๋อร์จึงดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง พี่เหยียนไม่ยินดีหรือที่หนิงเอ๋อร์ ไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ยินดีสิพะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมยินดีที่องค์หญิงหายประชวรและทรงปลอดภัยดี”
“หนิงเอ๋อร์ก็ยินดีที่พี่เหยียนปลอดภัย” คำพูดนั้นมิใช่นางประจบ แต่นางยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอพี่เหยียนของนางอีกครั้ง และยินดีที่เขายังปลอดภัยดี และปรารถนาให้ปลอดภัยตลอดไป
ฟู่จื่อเหยียนมิได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน เขาเข้าใจเพียงว่านางเลียนแบบคำพูดของเขาเท่านั้น นายน้อยสกุลฟู่ที่โตกว่าองค์หญิงเจ้าของตำหนักเพียงไม่เท่าไหร่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับกล่าวในสิ่งที่เขาควรจะกล่าว “เช่นนั้น...องค์หญิงต้องรีบไปสวมใส่ฉลองพระองค์หนา ๆ แล้วพะย่ะค่ะ จะได้มิป่วยไข้อีก เราจะได้พบเจอกันทุกวันได้อย่างไรเล่า”
“อื้อ หนิงเอ๋อร์จะไปใส่เดี๋ยวนี้” องค์หญิงตัวน้อยตอบรับก่อนจะกลับเข้าไปในตำหนัก ทว่าไม่ลืมที่จะจูงมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฟู่เข้าไปด้วย นางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเสแสร้งไร้เดียงสาต่อหน้าเขา มิอยากแสดงท่าทีเศร้าใจให้ได้เห็น
พบเจอทุกวัน...หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดีน่ะสิ
หากว่านางสามารถมองเห็นทุกการเติบโตไปเป็นบุรุษผู้องอาจของพี่เหยียนได้ก็คงเป็นสิ่งที่ดียิ่ง
แต่โชคชะตาในชาติก่อนช่างเลวร้าย ตระกูลฟู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์มากเกินไป และมีน้ำหนักในพระทัยฮ่องเต้เกินหน้าเกินตาผู้คน ในวังวนการแย่งชิงจึงมีผู้คนไม่น้อยชิงชังและปรารถนาให้ตระกูลฟู่ล่มสลายไป
ชะตากรรมของฟู่จื่อเหยียนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บิดาถูกกล่าวหาเป็นกบฏ มารดาและน้องในครรภ์รวมถึงบ่าวรับใช้ก็ถูกกวาดล้างมิเหลือซาก ตัวเขาเองก็ต้องระหกระเหินออกจากแคว้นไปโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าเป็นตายร้ายดี ตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว...และชะตากรรมนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
เวลานี้นางจะมีกำลังใดไปหยุดยั้งเรื่องเหล่านั้นเล่า
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน