เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้
จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตาย
เปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่
แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด
“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”
นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม
ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”
“เสด็จอายังคงนึกถึงหนิงเอ๋อร์เสมอเลย...พี่ซวงซวง นำไปเก็บไว้ หนิงเอ๋อร์จะไปเฝ้าเสด็จอากับเสด็จย่าไท่เฟยก่อน ค่อยกลับมากิน”
“เพคะ”
องค์หญิงตัวน้อยไม่รอช้าพุ่งออกนอกตำหนักมุ่งหน้าสู่ตำหนักไท่เฟยในทันที หนึ่งคืออยากจะพบเจอเสด็จอาชินอ๋องที่ในชาติที่แล้วก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ตายจากไปเพราะแผนชั่วข้าของเฉินซูเหมยอีกครั้ง และสองก็คือเรื่องเกี่ยวกับตระกูลฟู่
นางเพิ่งจะจดจำได้ว่าในฝันเมื่อชาติก่อนนางฝันเห็นชินอ๋องที่กำลังควบม้าออกจากวัดด้วยสีหน้าร้อนลน
นางเพิ่งตระหนักได้ว่าเหตุร้ายของตระกูลฟู่เกิดขึ้นในวันที่อันไท่เฟยและชินอ๋องไปไหว้พระที่อารามบนเขา โดยมีฟู่ฮูหยินที่ครรภ์แก่ใกล้คลอดติดตามไปขอพรให้คลอดลูกอย่างปลอดภัยด้วย
ในครั้งนั้นนางและพี่เหยียนก็ติดตามไปด้วยและเพราะนางอยากเที่ยวเล่นในตลาด พี่เหยียนถึงหนีทหารที่มาตามจับตัวไปสำเร็จโทษได้ ส่วนฟู่ฮูหยิน ตกเลือดและเสียชีวิตระหว่างคลอด...ทารกในครรภ์มิพ้นภัย
ยามนั้นนางกล่าวโทษชินอ๋องว่าเหตุใดเขาถึงมิห้ามปรามและรักษาชีวิตบริสุทธ์เอาไว้ เสด็จอาผู้นั้นจึงได้บอกเล่าว่าเขาถูกเรียกตัวออกไปด้วยข่าวลวง กว่าจะกลับมาทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
และการไปไหว้พระของอันไท่เฟยก็จะมาถึงในไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว...นี่คือวันที่อันไท่เฟยจะพูดเรื่องไหว้พระกับชินอ๋อง
หากยับยั้งมิให้ชินอ๋องติดกับข่าวลวง ฟู่ฮูหยินกับทารกในครรภ์ก็มีโอกาสปลอดภัย...มีหนทางเปลี่ยนชะตากรรมพี่เหยียนและตระกูลฟู่แล้ว
ตำหนักอันไท่เฟย
ชินอ๋องเฉินเทียนหยางเป็นพระอนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้ไท่เสียน ทว่าเก่งกาจการรบ อายุสิบหกหนาวก็จับดาบควบม้าทะลวงฟันกองทัพต่างแคว้นที่มารุกรานแล้ว ด้วยความสามารถที่โดดเด่นจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นชินอ๋องตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ปีนี้เพิ่งจะอายุได้สิบเก้าเท่านั้น
ผู้คนต่างเกรงกลัวและกล่าวว่าเขาคือท่านอ๋องบ้าเลือดทว่าเฉินอันหนิงกลับรักใคร่และชื่นชอบเสด็จอาผู้นี้ที่สุดในบรรดาอ๋องทั้งหลาย
เสด็จอาเล็กมิได้ต้องการช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ คนผู้นี้มิอยากจะเข้ามาในพระราชวังอันโอ่อ่าเลยด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะพระมารดายังอยู่ที่นี่ พระองค์ก็คงหายหน้าหายตาจนมิมีผู้ใดในวังได้พบเห็นเป็นแน่
เสด็จอาเล็กจะมาเฝ้าอันไท่เฟยผู้เป็นมารดา หนึ่งครั้งทุกสองสัปดาห์ ทุกครั้งที่มาก็ไม่ลืมจะนำขนมหรือของเล่นนอกวังติดไม้ติดมือมาฝากนางและน้อง ๆ และอาจจะเพราะนางเป็นองค์หญิงองค์แรก คุ้นหน้าคุ้นตาเสด็จอาผู้ไม่ใคร่อยากสนใจโลกผู้นี้มากกว่าน้อง ๆ พระองค์จึงมีของมาให้นางมากกว่าหลาน ๆ คนอื่น และให้ความเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางรักใคร่ได้อย่างไรเล่า
ทันทีที่มาถึงตำหนักอันไท่เฟยองค์หญิงตัวน้อยก็ไม่รอให้นางกำนันเข้าไปกราบทูล นางวิ่งเข้าไปเกาะท่อนขาของบุรุษผู้องอาจในทันทีอย่างไร้เดียงสา
“เสด็จอา หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จอา”
“ประจบประแจงยิ่ง” แม้คำพูดจะคล้ายตำหนิ หากแต่ในดวงตาคู่นั้นกลับมีความเอ็นดูเจือปนอยู่ บุรุษชาตินักรบอยู่ในสนามรบเกือบทั้งชีวิตย่อมแข็งกระด่าง ไหนเลยจะพูดจาอ่อนโยนได้
องค์หญิงตัวน้อยคุ้นชินกับท่าทีเช่นนี้ดี แม้ว่าลึก ๆ แล้วนางจะคิดถึงท่าทีเช่นนี้มากเพียงใดทว่าก็ยังแสดงออกอย่างไร้เดียงสา
“เสด็จย่าไท่เฟยเพคะ เสด็จอากล่าวร้ายหนิงเอ๋อร์”
“เจ้านี่ช่างฟ้องยิ่ง”
“เสด็จย่าไท่เฟย...”
“หยุดฟ้องได้แล้วเจ้าก้อนแป้ง มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้นเสด็จอาจะฟ้องเสด็จพ่อของหนิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ฟ้องได้เลย หนิงเอ๋อร์ไม่กลัวหรอก” ไม่ปล่อยให้ชินอ๋องบ้าเลือดได้กล่าว นางก็ชิงพูดก่อนด้วยท่าทีเป็นต่อ ท่านอ๋องหนุ่มได้แต่ส่งสีหน้าหมั่นไส้มาให้ก่อนจะโต้แย้ง
“หึ หากฟ้องบิดาเจ้า เกรงว่าอาของเจ้าผู้นี้จะถูกส่งไปประจำชายแดนเสียน่ะสิ”
“คิกคิก”
“พวกเจ้าอาหลานพอเถิด...เด็ก ๆ ตั้งเครื่องเสวยได้แล้ว แล้วก็นำขนมกุ้ยฮวาออกมาด้วย” อันไท่เฟยผู้เป็นมารดาของชินอ๋องกล่าวแทรกขึ้นก่อนจะสั่งนางกำนันและหันกลับมาชักชวนองค์หญิงตัวน้อย “เสวยมื้อเช้ากับขนมด้วยกันนะเพคะองค์หญิงน้อย”
“เพคะเสด็จย่าไท่เฟย”
“ข้าให้ฉินกงกงนำไปให้แล้วมิใช่หรือ กลับไปกินที่ตำหนักสิ” ผู้เป็นเสด็จอามิวายทำทีขับไล่หลานสาว หากแต่เฉินอันหนิงกลับยังคงลอยหน้าลอยตา
“ไม่ไปเพคะ หนิงเอ๋อร์อยากอยู่กับเสด็จอา กับเสด็จย่าไท่เฟย”
“หึ”
อันไท่เฟยมองท่าทีแข็งกระด้างและปากร้ายของบุตรชายก่อนจะลอยถอนใจ ความจริงก็อยากให้องค์หญิงตัวน้อยอยู่ด้วยแท้ ๆ แต่ท่าทีที่แสดงออกกลับคล้ายรำคาญเสียทุกครั้ง
ช่างเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจเสียจริง ๆ
เช่นนี้อย่างไรเล่าถึงได้ยังมิมีสตรีที่ต้องใจเสียที
“ได้ยินว่าป่วยไข้เพิ่งหาย เช่นนั้นองค์หญิงน้อยเสวยเยอะ ๆ นะเพคะ จะได้มีพระวรกายแข็งแรง” อันไท่เฟยไม่เพียงแค่ชักชวนให้องค์หญิงตัวน้อยเสวยแต่ยังคีบเนื้อให้ด้วยความเอ็นดู
กล่าวตามความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทเฮา หรือสนมอื่นในอดีตฮ่องเต้ที่ยังอาศัยอยู่ในวังต่างก็ให้ความเอื้อเอ็นดูองค์หญิงผู้นี้ เพราะนางช่างออดอ้อนและมักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนพวกนางอยู่บ่อย ๆ ร้องเรียกเสด็จย่าอย่างนั้น เสด็จย่าอย่างนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่เอ็นดู
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่มารดาจากไปเร็วพวกนางก็ยิ่งเอ็นดูองค์หญิงผู้นี้มากกว่าโอรสธิดาองค์อื่น ๆ
“เสวยนี่ด้วยสิเพคะ”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่าไท่เฟย”
“เสด็จแม่อย่าคีบแต่เนื้อให้นางซิพะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวนางก็อ้วนเป็นหมูกันพอดี” ชินอ๋องที่ควรได้รับการเอาอกเอาใจจากมารดาที่ไม่ได้พบเจอกันบ่อยแทรกขึ้นก่อนจะคีบผักไปใส่ในจานของหลานสาว “เอ้านี่...กินผักเสียบ้าง จะได้ไม่ป่วยไข้อีก”
“เสด็จอา หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบ”
“ไม่ชอบเจ้าก็ต้องกิน กินแต่เนื้อจนอ้วนกลมเช่นนี้อย่างไรเล่าจึงได้เจ็บไข้ง่าย ๆ”
“แต่...” นางอยากจะแย้ง หากแต่มิทันได้แย้งชินอ๋องก็คีบผักมาใส่ให้เพิ่มและข่มขู่
“หากเจ้าไม่กินผักด้วย คราวหน้าข้าจะไม่เอาขนมกุ้ยฮวาและถังหูลู่มาฝากอีก”
“เพคะ หนิงเอ๋อร์กินก็ได้”
“หึ” ชินอ๋องส่งเสียงอย่างพอใจก่อนจะคีบเนื้อเอาใจมารดา อันไท่เฟยมองค้อนอย่างหมั่นไส้ ท่าทีกลั่นแกล้งไปเช่นนั้นที่แท้ก็ห่วงใยหลานสาวนั่นล่ะ
“เอ้อ หยางเอ๋อร์ ปีนี้เจ้าไปอารามซุยหลิงกับแม่หรือไม่ หรือจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวัง” และแล้วอันไท่เฟยก็พูดถึงการไปอารามซุยหลิง ในทุกปีเพื่อกราบไหว้บิดามารดาผู้ล่วงลับอันไท่เฟยจะเดินทางไปอารามซุยหลิงและอยู่ถือศีลที่อารามเป็นเวลาสามวัน หลายปีมานี้ชินอ๋องก็ติดตามไปดูแลเสมอมา หากแต่ปีนี้ช่วงเวลาที่นางจะไปอารามซุยหลิงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ภายในวังมีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต มิทราบชินอ๋องจะได้ไปด้วยหรือไม่
องค์หญิงน้อยมิได้แทรกอันใดหากแต่นางรู้แก่ใจอยู่แล้วว่าปีนี้เสด็จอาเองก็ต้องไปกับพระมารดาอย่างแน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นเมื่อชินอ๋องตอบพระมารดา “งานเลี้ยงน่าเบื่อหน่ายเช่นนั้นลูกมิเข้าร่วมหรอกพะย่ะค่ะ และเสด็จพี่ก็ทรงเมตตาให้ลูกนำกำลังทหารอารักขาเสด็จแม่ไปการามซุยหลิงด้วยพะย่ะค่ะ”
“ดี ดีแล้ว”
บทสนทนาที่ไม่ได้แตกต่างไปจากในอดีตตกอยู่ในการรับรู้ขององค์หญิงตัวน้อยทั้งหมด นางวางตะเกียบลงก่อนจะเกาะแขนอันไท่เฟยผู้เมตตา “เสด็จย่าไท่เฟยเพคะ...หนิงเอ๋อร์ไปด้วยได้หรือไม่ หนิงเอ๋อร์อยากไปไหว้พระ”
“เจ้าจะไปเที่ยวเล่นแต่อาศัยเสด็จแม่เป็นข้ออ้างสินะ” เป็นชินอ๋องที่แทรกมา ไม่ต่างจากกาลก่อน และเฉินอันหนิงก็ไม่ได้ทำให้บทสนทนานั้นแตกต่างไปจากอดีต
“เสด็จอากล่าวร้ายหนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์เพียงอยากไหว้พระ”
“หึ ข้าหรือจะรู้ไม่ทันเจ้า”
“เสด็จย่าไท่เฟยเพคะ เสด็จอากล่าวร้ายหนิงเอ๋อร์อีกแล้ว”
“เจ้าตัวขี้ฟ้อง อย่าเอานางไปเป็นภาระนะพะย่ะค่ะเสด็จแม่”
“แต่หนิงเอ๋อร์อยากไปด้วย” สายตาออดอ้อนถูกส่งให้ ไหนเลยอันไท่เฟยจะใจแข็งได้ พระนางทอดถอนใจหากแต่ยังสอบถาม
“องค์หญิงมิอยู่ร่วมงานเลี้ยงหรือเพคะ”
“ไม่สนุกเพคะ งานเลี้ยงน่าเบื่อมาก ๆ เลยเพคะ หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบ” ไม่ชอบที่มีความหมายว่าไม่ชอบจริง ๆ ในอดีตนางก็ขอติดตามไปก็เพราะเบื่อหน่ายงานเลี้ยง แต่คำตอบของนางกลับถูกใจผู้เป็นอาเป็นอย่างมาก
“เจ้าอ้าปากพูดจ้อมาหลายคำ พูดได้ดีก็ประโยคเมื่อครู่นี้เอง งานเลี้ยงน่าเบื่อหน่ายยิ่ง”
“เฮ้อ ทั้งอาทั้งหลาน เหตุใดจึงได้มองว่างานเลี้ยงน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ไปได้เล่า”
“ก็มันไม่สนุกจริง ๆ นี่เพคะ สนมทั้งหลายเอาแต่ช่วงชิงความโปรดปราน องค์หญิงองค์ชายจะขยับตัวสักนิดก็ถูกจับตา เล่นงานมารดามิได้ ก็มาลงกับโอรสธิดา น่าเบื่อหน่ายเพคะ ให้หนิงเอ๋อร์เดินทางไปอารามซุยหลิงกับไท่เฟยยังจะสนุกยิ่งกว่า”
“แต่ฝ่าบาท...”
“เสด็จพ่อตามใจหนิงเอ๋อร์อยู่แล้วเพคะ” องค์หญิงผู้ได้รับการตามใจจากพระบิดาเหนือกว่าผู้ใดกล่าวอย่างมุ่งมั่น
อันไท่เฟยแม้จะใจอ่อนไปแล้วแต่ก็ยังกังวล ฮ่องเต้หวงแหนองค์หญิงตัวน้อยเป็นอย่างยิ่ง หากการไปวัดซุยหลิงครั้งนี้เกิดสิ่งใดขึ้น นางและบุตรชายจะชดใช้เช่นไรหมดเล่า
พระนางหันไปมองชินอ๋องอย่างขอความเห็น ชินอ๋องยักไหล่ก่อนจะกล่าว “ให้นางติดตามไปเถิดเสด็จแม่ ฟู่ฮูหยินและบุตรชายก็จะติดตามไปด้วย นางคงอยากเที่ยวเล่นกับคุณชายฟู่แทนที่จะอยู่ในวังนั่งมองสนมตบตีกัน”
“เช่นนั้น...หากฝ่าบาทอนุญาต ก็ไปด้วยกันได้เพคะ”
“ขอบพระทับเพคะเสด็จย่าไท่เฟย...หนิงเอ๋อร์จะไปทูลขอเสด็จพ่อหลังจากกินเสร็จเพคะ” นางแสดงออกอย่างยินดีก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักเข้าปากเคี้ยวตุ๊บ ๆ ต่อ เรื่องต่อจากนี้ย่อมราบรื่น เสด็จพ่อย่อมไม่ขัดขวาง แม้ว่าจะห่วงใยนางมากก็ตาม...จากนี้ก็เหลือเพียงเปลี่ยนแปลงเรื่องของฟู่ฮูหยินและบุตรในครรภ์
หากช่วยเหลือให้รอดได้ทั้งมารดาและบุตรก็คงจะดี...
และหากช่วยเหลือท่านลุงฟู่ได้ด้วยก็ยิ่งดี...
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งนั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้มยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย ห
นัยน์ตาโศกทอดมองประตูตำหนักที่เปิดกว้างออกหลังจากที่ถูกปิดตายมานานนับเดือนก่อนจะเบือนหน้าหนียามที่บุรุษในชุดสีเหลืองอร่ามลายมังกรก้าวผ่านประตูนั้นมาพร้อมกับสตรีอาภรณ์สีแดงชาดประดับลายมังกร คนทั้งคู่ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นเฉินทว่าสำหรับเฉินอันหนิงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินแล้วคนทั้งคู่เป็นเพียงแค่ชายโฉด หญิงชั่วที่ปล้นบัลลังก์ของผู้อื่นเท่านั้น“ยังจองหองได้อีกเช่นนั้นหรือพี่หญิงของข้า” น้ำเสียงเย้ยหยันมากกว่าจะเป็นมิตรส่งมาก่อนที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์อย่างเฉินซูเหมยจะกรีดกรายเข้ามาใกล้พี่สาวต่างมารดาที่สถานะยามนี้คืออดีตองค์หญิงแห่งราชวงค์ก่อนสายตาวาวโรจน์จ้องเขม็งไม่ปกปิดความอาฆาตแค้นพร้อม ๆ กับร้องตวาดเสียงดังลั่น “ออกไปให้ห่างจากข้า นังอสรพิษ”ยามที่น้องสาวต่างมารดาเข้ามาใกล้เฉินอันหนิงให้รู้สึกสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียน ยิ่งภาพเหตุการณ์นองเลือดที่ผ่านพ้นมาไม่นานผุดขึ้นมาในหัวนางก็ยิ่งเคียดแค้นคนตรงหน้านังงูพิษผู้นี้กับสามีชั่วข้าของมันร่วมมือกันสังหารได้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน วางยาสังหารได้กระทั่งบิดา ฆ่าล้างตระกูลขุนนางไปนับสิบโดยไม่รู้สึกรู้สา นางมิใช่คน