“พี่เหยียน วันหน้าท่านต้องแต่งกับหนิงเอ๋อร์นะ หนิงเอ๋อร์จะรอท่าน”ถ้อยคำอันเอาแต่ใจหากแต่ไร้เดียงสาที่เอื้องเอ่ยมาจากปากของแม่นางน้อยในอาภรณ์หรูหราบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ที่ไม่ธรรมดาทำให้ผู้ที่นางเรียกว่าฟู่จื่อเหยียนต้องชะงักฝีเท้าและปล่อยมือที่จับจูงนางอยู่พลางมองมาที่นางด้วยความตระหนกแต่แล้วก็หลุดหัวเราะอย่างขบขัน“มิพูดเล่นเช่นนี้สิพะย่ะค่ะองค์หญิง” คุณชายสกุลฟู่เอ่ยอย่างนอบน้อมพร้อมกับยิ้มอ่อนโยนส่งให้ดั่งเช่นปกติ อย่างไรเสียเขาก็คิดว่าเป็นการพูดเล่นมิได้จริงจังอันใดเพราะแม่นางน้อยตรงหน้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อยห้าหนาวยังคงไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องการแต่งงาน ซ้ำยังเป็นถึงเชื้อพระวงค์หญิงพระองค์โตแห่งราชวงค์ต้าเฉิน คู่ครองในอนาคตของนางมิมีทางเป็นเพื่อนเล่นที่เป็นเพียงบุตรชายหัวหน้าหน่วยองค์รักษ์รักษาพระองค์อย่างเขาเป็นแน่...นางต้องเติบโตไปเป็นนางหงส์ต่างหากเล่า“วันหน้าองค์หญิงจะได้เป็นฮองเฮาของแคว้นที่ยิ่งใหญ่ อย่าทรงกล่าววาจาล้อเล่นเช่นนี้เลยพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะอายุสั้นเอาได้”“หนิงเอ๋อร์มิได้ล้อเล่นนะพี่เหยียน หนิงเอ๋อร์จะแต่งให้ท่าน...หนิงเอ๋อร์พูดจริง ๆ นะ!”“พะย่ะค่ะ ๆ วันหน้า
อีกฟากหนึ่งนัยน์ตาที่มักจะดุดันของเฉินเทียนหยางยามนี้เต็มไปด้วยความเห็นใจขณะที่ทอดสายตาจับไปที่ร่างของทารกน้อยที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่อึดใจ ดียิ่งที่เขาทำทีออกไปและแอบเร้นกายอยู่ มิเช่นนั้นเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์คนนี้คงมิอาจมีลมหายใจอยู่ได้โหดร้ายยิ่ง กับเด็กตัวเล็กเพียงนี้ยังทำกันได้ลงคอ“ทำเช่นไรดีหยางเอ๋อร์ แม่สงสารเด็กคนนี้” อันไท่เฟยเอ่ยขึ้น พระเนตรที่มองไปยังทารกน้อยที่คลอดมาก็เสียมารดาไปเสียแล้วอ่อนแสงลง นางให้รู้สึกเห็นใจทารกน้อยผู้นี้ยิ่ง แม้จะคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยแต่ก็มีผู้ถือดาบรออยู่แล้ว หากบุตรชายไม่กลับมา มิแคล้วเด็กน้อยคงต้องจบชีวิตตามมารดาไป เพียงเพราะอำนาจแท้ ๆ ผู้บริสุทธิ์จึงต้องสูญเสียเช่นนี้ชินอ๋องหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะเอ่ย “เห็นทีวิธีจะรักษาชีวิตเด็กผู้นี้มีเพียงต้องหลอกลวงผู้คนแล้ว”“อย่างไรเล่า”“กระจายข่าวออกไป ว่าฟู่ฮูหยินจากไประหว่างคลอด เด็กก็ไม่มีลมหายใจแล้ว เหอซิน...ลอบไปหาศพทารกมาแทนที่ หากสวรรค์ยังเมตตาเด็กคนนี้อยู่บ้าง ก็คงจะหาเจอ”“พะย่ะค่ะ” องครักษ์เบื้องหลังรับคำก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว หวังเพียงว่าสวรรค์เบื้องบนจะยังเมตตาทารกน้อยที่เพิ่งคลอดผู้นี้ให้ปลอ
ในเวลาเดียวกันภายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความแตกตื่นเพราะโอรสสวรรค์ถูกลอบปลงพระชนม์ อัครเสนาบดีหลี่และหลี่ซูเฟยตั้งตนเป็นผู้ตัดสินโทษผู้ต้องสงสัยขณะที่ตระกูลฉีก็รอคอยโอกาสช่วงชิงอำนาจและโยนความผิดทั้งหมดไปที่หลี่ซูเฟยโดยอาศัยการประหารของหัวหน้าองครักษ์ฟู่เสวียนเป็นข้ออ้าง...ทุกอย่างจะเข้าทางสกุลฉี หากฟู่เสวียนตายไปก่อนฮอ่องเต้ฟื้นขึ้นมาสกุลหลี่กวาดล้างคนสกุลฟู่ สกุลฉีลอบแฝงตัวแอบอ้างคำสั่งหลี่ซูเฟยประหารผู้นำสกุลฟู่...นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ตัดสินแต่หลี่ซูเฟยอาศัยความเป็นเฟยซ้ำมีบิดาเป็นอัครเสนาบดีสำเร็จโทษใต้เท้าฟู่เสวียนเสียแล้ว อย่างไรก็ย่อมมีความผิด ยิ่งวางอำนาจบาดใหญ่ในเวลาที่ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นมากเท่าไหร่ยามที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาความผิดก็ย่อมต้องมากขึ้นฟู่เสวียนถูกคนฝั่งสกุลฉีสังหารไปแล้ว ไม่อาจแก้ไข แต่เพื่อไม่ให้ตระกูลฉีได้โอกาสเพิ่ม ตระกูลหลี่ก็ย่อมคิดเก็บกวาดตระกูลฉี ผู้ใดไม่อยากเกี่ยวข้องก็ย่อมเก็บตัวเงียบ โดยไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่ามีผู้นั่งบนภูดูเสือกัดกันอยู่&ldqu
หลายวันผ่านไปในช่วงเวลานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เรื่องของตระกูลฉีและตระกูลหลี่ยังไม่ทันซาก็มีข่าวที่ทำให้เหล่าคุณหนูต้องปวดใจเกิดขึ้น ท่านองครักษ์เหอเหลียนประกาศถึงการมีอยู่คุณหนูเหอซูเหยา บุตรสาวของตนกับรองแม่ทัพหญิงซังซัง ไร้วี่แววผิดสังเกตจากผู้คนเพราะรองแม่ทัพซังซังไม่ปรากฏตัวมาเกือบขวบปีทุกอย่างใช่ว่าจะเป็นไปตามที่ใจคิดเสียทุกอย่าง เป็นธรรมดาของชีวิต เฉินอันหนิงที่ผ่านชีวิตมาแล้วถึงสองรอบไม่ได้รู้สึกขัดใจที่หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่นางคิดไปซะทุกเรื่องแต่นับว่าในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวในระดับที่น่าพอใจแล้วไม่ทันไรก็ผ่านพ้นเหตุการณ์ฉีหลี่ไปแล้วหนึ่งเดือนเต็ม วังหลังในตอนนี้มีประมุขปกครองอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งขุนนางฝั่งอดีตฮอองเฮาพร้อมใจกันเสนอหรงกุ้ยเฟย และฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบแต่งตั้งหรงกุ้ยเฟยเป็นหรงฮองเฮาทั้งยังยกองค์ชายสี่เฉินซีหานให้หรงฮองเฮาทรงดูแลวังหลังเป็นระเบียบมากขึ้น เหล่าองค์ชายองค์หญิงก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกันเมื่อองค์หญิงใหญ่ทำเรื่องสะท้านสะเทือนวังหลวงโดยการขอพระราชทานอนุญาตเลี้ยงดูน้อง ๆ ด้วยตนเอง แม้ว่าเป็นเรื่องที่ขุนนางไม่เห็นด้วย แต่เพราะ
ตำหนักอันหนิงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาบ่งบอกว่ากำลังให้ความสนใจ ทว่าผู้ที่ได้รับความสนใจอย่างเจ้าของตำหนักกลับไม่ได้รู้สึกเขินอายที่ถูกจับจ้อง หรือแม้แต่รู้สึกแปลก ๆ เลยสักนิด เฉินอันหนิงยิ้มอย่างมีนัยยะก่อนจะส่งเสียงขึ้น“เอาล่ะ เริ่มได้...น้องสาม มานั่งตรงนี้”ไม่ว่าเปล่านางยังดึงให้น้องชายมานั่งในพื้นที่ที่นางต้องการ หลังจากที่นางกราบทูลขอเลี้ยงน้อง ๆ เองเวลาส่วนใหญ่ของนางก็อยู่กับการหาการละเล่นและกิจกรรมมาเล่นกับบรรดาน้อง ๆนับแต่องค์หญิงเจ็ดลงไปนับว่าพูดง่าย เพราะยังไร้เดียงสา ยิ่งในทุกวันฮ่องเต้ไท่เสียนจะเสด็จมาเล่นกับลูก ๆ เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งหลายก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะมาเล่นที่ตำหนักอันหนิง เพราะจะได้ใกล้ชิดกับพระบิดาอันเนื่องมาจากก่อนนี้บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าพระบิดาเลยสักครั้ง และบางคนใช้เวลากับโอรสสวรรค์น้อยจนไม่คุ้นชินหากจะหาคำที่เหมาะสมคงจะต้องบอกว่า ไม่เพียงกับสนมที่ฝนตกไม่ทั่วฟ้ากับโอรสธิดาเองฝนก็ตกไม่ทั่วฟ้าเช่นกัน เฉินอันหนิงโชคดีที่
เสียงตบมือและเสียงเพลงไม่คุ้นหูที่ดังแว่วมาจากด้านในชวนให้ฮ่องเต้ไท่เสียนต้องขมวดคิ้ว นึกสงสัยในทุกครั้งที่มาเยือนตำหนักอันหนิงว่าธิดาองค์โตชักชวนบรรดาน้อง ๆ เล่นสิ่งใด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่คิดเปล่า โอรสสวรรค์ก้าวเข้าไปด้านในในทันทีก่อนจะได้เห็นการละเล่นแปลกประหลาดของลูก ๆ“นี่ พวกเจ้าเล่นอันใดกันอยู่”“ท่านพ่อ!” เป็นเจ้าของตำหนักที่ส่งเสียงร่าเริงส่งให้ ก่อนที่น้อง ๆ จะส่งเสียงตามด้วยความยินดีและต่างพากันลุกขึ้นพุ่งไปหาบิดา แรก ๆ ทุกคนไม่คุ้นชินแต่นานวันเข้าการวิ่งเข้าไปหาบิดากลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดอันใดสำหรับทุกคนไปแล้ว“เจ้าก้อนแป้ง เจ้าพาเจ้าลูกเจี๊ยบเล่นอันใดกัน” โอรสสวรรค์ที่ตอนนี้มีกิจวัตรประจำวันเพิ่มเข้ามาคือการมาเล่นกับลูก ๆ ตรัสถามขณะที่ถูกบุตรสาวคนโตดึงไปนั่ง“มันเรียกว่ามอญซ่อนผ้าเจ้าค่ะ ท่านพ่อมาเล่นด้วยกันสิเจ้าคะ...ตรงนี้เจ้าค่ะ”“ครู่เดียวเท่านั้นนะ”“เจ้าค่ะ”“ฮิมอญซ่อนผ้า ตุ๊กตา อยู่ข้างหลัง...” และแล้วการละเล่นก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ใช่ว่าจะมีองค์หญิงองค์ชายเท่านั้นที่มีความสุขกับการได้ละเล่นกับบิดา แต่ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็พอพระทัยเช่นกันที่ได้ทิ้งราชกิจน่าปวดหัวมา
วันเวลาผันผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วให้รู้สึกพิศวงเป็นอย่างยิ่ง กาลเวลากลืนกินหนึ่งชั่วยามก่อนหน้าใหกลายเป็นอดีต กลืนกินหนึ่งเค่อก่อนให้เป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับมาอีก แม้ว่าสวรรค์จะมอบโอกาสให้หวนคืนมาสู่อดีตแต่ก็ใช่ว่าจะย้อนกลับไปได้ทุกช่วงเวลาดั่งใจคิด...โอกาสจากสวรรค์ไม่แน่ว่าอาจจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองหิมะแรกของปีที่โปรยปรายลงมาปกคลุมพระราชวังด้วยแววตาไร้อารมณ์ วันเวลาผ่านเลยมาสิบสองปีนับจากที่นางย้อนเวลากลับมาแต่เฉินอันหนิงยังรู้สึกว่ามันช่างแสนสั้นเวลาสิบสองปีพระราชวังแปรเปลี่ยนไปหลากหลายสิ่ง นางย้ายจากตำหนักเซียนซือกลับมาอยู่ตำหนักอันหนิงตั้งแต่อายุสิบห้า นับมาก็ได้สี่ปีแล้ว เหล่าองค์ชายเติบโตขึ้นก็ต้องแยกออกไปมีตำหนักของตนเองนอกพระราชวัง องค์หญิงก็มีตำหนักเป็นของตน การพบเจอกันที่ตำหนักอันหนิงยามนี้มีเพียงองค์หญิงและองค์ชายที่ยังอายุไม่ถึงสิบห้าปีเท่านั้นที่ยังแวะเวียนมา บรรยากาศที่พี่น้องพร้อมหน้าดั่งเช่นก่อนนี้ไม่มีอีกแล้วไม่ทันไรน้อง ๆ ของนางก็เติบโตขึ้นจนแทบจะหมดแล้ว แม้แต่น้องสิบแปดและน้องสิบเก้าที่นางทูลขอเสด็จพ่อตอนนี้ก็มีชันษาได้สิบเอ็ดขวบแล้ว
“วันนี้เสด็จพ่อเรียกเจ้ามาใช้งานอันใด”คำถามที่ตรงไปตรงมาถูกเอ่ยขึ้นทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาด้านในตำหนักอันหนิง ท่าทีเอื่อยเฉื่อย นิ่มนวลขององค์หญิงลำดับที่หนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีคล้ายบุรุษไปเสียแล้วทว่าผู้น้องกลับไม่ได้แปลกใจพี่ใหญ่ของเขาและพี่น้องเป็นเช่นนี้มานานแล้ว...“ว่าอย่างไร เสด็จพ่อหาเรื่องยุ่งยากให้เจ้าอีกหรือไม่”“ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอันใดขอรับ” เมื่ออยู่ลำพังไม่มีคำว่ากระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ หรือแม้แต่เสด็จพี่ใหญ่ มีเพียงข้ากับท่าน น้องสี่กับพี่ใหญ่อย่างเช่นชาวบ้านสามัญเท่านั้น“มีรายงานว่ามีกองโจรอาละวาด ทำร้ายผู้คนช่วงชิงเสบียงที่เมืองซินอู๋ เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้านำทหารไปปราบ ท่านก็รู้ว่าข้าชื่นชอบการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก เรื่องนี้เรื่องถนัดของข้า”“จะไปเมื่อไหร่”“พรุ่งนี้ขอรับ”“ถึงเวลาแล้วสินะ” ในที่สุดเรื่องร้ายก็คืบคลานเข้ามาต่อให้ไม่เสนอตัว เฉินซีหานไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าการไปปราบโจรที่เขามั่นใจว่าจะได้แสดงฝีมือให้สมกับที่ฝึกฝนการต่อสู้มาจากยอดฝีมือจะเป็นการต่อสู้ที่ถูกลิขิตให้เขาเป็นผู้ที่ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้“เวลาอันใดหรือขอรับ”“ก็...เวลาที่เสี่ยวหานของพี่จะได้แสดงฝีมือน
ท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายจนอยากจะล้มเลิกของเฉินอันหนิงทำให้จิวหูส่ายหน้าพร้อมกับลอบยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน มากกว่านี้เกรงว่าเจ้าจะจำไม่ได้”“จะหาว่าความจำข้าไม่ดีหรือไร”“ข้ามิได้พูด” จิวหูพูดแล้วก็นิ่งไปครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “หากเปลี่ยนเป็นขลุ่ย อยากฟังหรือไม่”“เจ้ามีขลุ่ย?”“ย่อมมี” ขลุ่ยไม้ถูกดึงออกมาจากที่ใดนางไม่รู้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีขลุ่ยอยู่จริง ๆ อยู่ ๆ นางก็นึกถึงวรรณคดีเรื่องหนึ่งในชาติที่เป็นคะนิ้งขึ้นมา สมัยเรียนนางวาดรูปพระเอกผู้นั้นเหน็บปี่เอาไว้ด้านหลัง...เขาก็พกขลุ่ยไว้ด้านหลังเช่นกันหรือ?ขลุ่ยของเขาทำให้ผู้คนหลับได้หรือไม่จิวหูไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่านางคิดอันใด บุรุษหนุ่มหันมาสอบถามนางในทันทีที่ตรวจสอบว่าขลุ่ยที่พกติดตัวมีปัญหาหรือไม่ “อยากฟังหรือไม่เล่า”“ฟัง ข้าจะฟัง” นางเอ่ยล้วก็เงียบรอฟัง ไม่นานบุรุษสวมหน้ากากก็เริ่มบรรเลง
เมื่อพลบค่ำการเดินทางสู่ซินอู๋ในวันที่สองก็จบลง น่าเสียดายที่การเดินทางในวันนี้เกิดความล่าช้าทำให้ต้องค้างแรมในป่าแทนที่จะได้พักในเมืองเพราะไม่อยากให้ยุ่งยากเฉินอันหนิงจึงห้ามเอาไว้ไม่ให้เค่อซุนสั่งทหารสร้างกระโจมให้นาง ทุกคนนอนเช่นไร คืนนี้นางก็จะนอนเช่นนั้น แม้จะเป็นการนอนกลางดินกินกลางทรายก็ตามข้าวถูกหุงหาทันทีที่ก่อกองไฟเป็นที่เรียบร้อง จิวหลิงและจิวหูควบม้าเข้าไปในป่าไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายและกวางป่า“เสี่ยวหนิง วันนี้ข้าจะทำกระต่ายและกวางป่าย่างสูตรพิเศษให้เจ้ากิน”“ข้ามีเสบียงมาเยอะแยะ ไยต้องลำบาก”“แต่สูตรของข้านับว่าล้ำเลิศ เจ้าต้องได้ลิ้มรสสักครั้ง” บุรุษรูปงามยังดึงดันจะทำให้นางได้ลองลิ้มรส เขาปัดมือไล่นางให้ไปเดินเล่นส่วนตนไปจัดการกับกระต่ายและกวางป่าขณะที่ศิษย์น้องของเขาแยกไปนั่งอยู่กับม้าของเขาทำนองไม่คุ้นหูจากปี่ใบไม้ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงทำให้เฉินอันหนิงรู้สึกผ่อนคลายได้เช่นเดิม นางผละจากจุดที่ยืนอยู่ก้าวไปใกล้อย่างไม่
เงียบนิ่ง สุขุม คือสิ่งที่ผู้คนมักกล่าวถึงเขา ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป จิวหูรายล้อมไปด้วยคนหลายประเภท อาจารย์ที่มีบุคลิกนิ่งสงบแต่ก็มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งลูกศิษย์ ศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดมาก ทะเล้นและมากรัก แต่ภายในใจกลับมีแผนการมากมาย ล้วนแต่เป็นแผนการที่จริงจัง ศิษย์พี่รองที่ช่างพูดช่างเจรจาสมกับเป็นพ่อค้า แต่ก็มีความโหดเหี้ยมแฝงอยู่ ศิษย์น้องสี่ที่คล้ายจะซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้แต่กลับไม่คิดสิ่งใดให้มากมาย ศิษย์น้องเล็กที่เป็นเหมือนปีศาจน้อยที่แสนซนที่คอยแต่จะวางยาพิษผู้คน เขาที่อยู่กับคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนที่ท่าทีภายนอกและภายในเหมือนกันไปหมดแม้ภายนอกจะเงียบนิ่งตลอดการเดินทางโดยมีหญิงสาววัยพร้อมออกเรือนอยู่ในอ้อมแขน ทว่าภายในเขากลับพยายามควบคุมหัวใจของตน รวมถึงสายตาที่หันมองนางอยู่บ่อย ๆกลิ่นหอมจากเรือนผมยาวสลวยช่วยให้เขาผ่อนคลายลงได้มาก ทั้งที่ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามายังต้าเฉินจิตใจเขาไม่สงบเลยแม้แต่น้อย...ไม่สิ เขาไม่สามารถสงบใจได้เลยตั้งแต่เริ่มออกติดตามหาศิษย์พี่ใหญ่ ยิ่งมาถึงต้าเฉิน ก็ยิ่งสงบใจได้ยาก
จิวหูในเวลานี้แม้ใบหน้าจะยังสงบนิ่งทว่าในใจกลับไร้ความสงบ เขารีบลงจากหลังม้าก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ม้าหนุ่มที่ตื่นตกใจ เฉินอันหนิงเองก็ลงจากหลังม้าเช่นกัน ทว่าไม่ทันได้ทำอันใดม้าของจิวหลิงก็ตามมา“เสี่ยวหนิง ปลอดภัยดีใช่หรือไม่”“ข้าปลอดภัยดี”“ข้าจัดการกลุ่มโจรกลุ่มนั้นแล้ว คนของเจ้ากลับไปตามทางการแล้ว” จิวหลิงบอกเล่า ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ที่มาลอบโจมตีเป็นเพียงโจรกระจอกที่ดักซุ่มโจมตีเท่านั้น ไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร“ม้าตัวนี้โดนลูกดอก มันบาดเจ็บแล้ว คงเดินทางไม่ได้” เสียงของจิวหูดังขึ้นเป็นประโยคยาว ๆ เป็นครั้งแรกทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง ตาคู่หงส์มีประกายความเจ็บปวดพาดผ่านเมื่อเห็นเลือดที่ไหล่อาบของม้าตัวโปรด เสี่ยวจื้อถูกลูกดอกจริง ๆ และเลือดก็ออกมากเสียจนน่ากลัว เจ้าเด็กพยศของนางจะต้องเจ็บปวดมากจึงได้วิ่งพล่านเช่นนี้“เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวจื้อ ไม่เป็นไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว” คำพูดปลอบประโลมและการลูบไล้สัมผัสใบหน้าทำให
การเดินทางไกลไม่อาจหลีกเลี่ยงเส้นทางป่าเขา เมื่อเข้าเขตป่าย่อมต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่ ห่างออกมาจากเมืองเสียนจิ้งหลายร้อยลี้คณะเดินทางของเฉินอันหนิงเข้าสู่เขตป่าที่เป็นเขตรอยต่อกับอำเภอถางซิน เมืองหนานเว่ย บุรุษสวมหน้ากากที่ขี่ม้าออกหน้าไปกับเค่อซินเพื่อระวังภัยให้ผู้เป็นทั้งศิษย์พี่และผู้มีคุณอย่างจิวหลิงวนม้ากลับมาหลังจากกวาดสายตามองความเงียบของเส้นทางเบื้องหน้าที่เขารู้สึกถึงความไม่ปกติ “เส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย มีผู้ซุ่มโจมตี”“คงได้ยินว่าข้าจะเอาของขวัญไปส่งมอบ และปรามาสว่าข้าเป็นเพียงสตรี จึงคิดว่าชิงทรัพย์ข้าจะง่ายดายกระมัง” องค์หญิงลำดับหนึ่งผู้ได้รับหน้าที่นำของขวัญล้ำค่าไปมอบให้ชินอ๋องพึมพำอย่างขุ่นเคือง เจตนาของผู้ซุ่มโจมตีใช่ว่าจะคาดเดายาก ข่าวคราวการเดินทางของนางก็ใช่ว่าจะเป็นความลับ คนเหล่านี้รอโอกาสปล้นของขวัญพระราชทานน่ะสิแม้จะรู้ แต่ก็ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ มีแต่ต้องป้องกันเท่านั้น ทว่าไม่ทันได้สั่งการใด ๆ บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งมาทำให้ม้าของนางตื่นตกใจจนวิ่งเตลิดซะก่อน พวกมันคิดจะล
เฉินอันหนิงเก็บซ่อนความคิดหันกลับมามองสหายใหม่ทั้งสองคนอีกครั้งพร้อมกับความตงิดใจ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นชาวเสียนจิ้ง และมองอย่างไรจิวหลิงก็ไม่ใช่ชาวต้าเฉินแล้วเหตุใดศิษย์ผู้น้องของเขาถึงได้รู้จักสุราสงบใจ และรู้ว่าองค์หญิงใหญ่ถูกเรียกว่าหนิงเอ๋อร์“ท่านไม่ใช่ชาวต้าเฉิน”“ข้ากับน้องชายมาจากลั่วหยาง”“แต่เขากลับรู้จักสุราที่ผู้คนลืมเลือนไป” สายตาของนางมองไปยังเขาที่เอ่ยถึง บ่งบอกว่าเรื่องนี้นางสงสัยจริง ๆ ทว่าบุรุษสวมหน้ากากกลับไม่ได้ให้ความสนใจ เขาทำเพียงหยิบทวนขึ้นมาและราดสุราลงบนปลายแหลมของทวนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยหันมาหาจิวหลิงแทน ศิษย์พี่ใหญ่ของบุรุษสวมหน้ากากยักไหล่ก่อนจะบอกเล่า “เพราะทวนของเขาต้องดื่มสุรา เขาจึงต้องรู้จักสุราชั้นดีมากมาย”“ทวนต้องดื่มสุรา?”“ทวนของเขาเป็นอาวุธที่เป็นมากกว่าอาวุธ หากลงมือแล้วต้องได้ดื่มเลือด ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวเขา แต่คนของเจ้าไม่ได้เป็นเหยื่อ เขาจึงต้องให้มันด
สิ้นคำพูดของจิวหลิงผู้เป็นแขกประจำของหอสุราเทียนหลินก็ต้องเลิกคิ้วและหันไปสอบถามเสี่ยวเอ้อ ว่าบุรุษผู้นี้ผายลมหรือไม่“เป็นเช่นนั้นหรือเสี่ยวเอ้อ”“ใช่แล้วขอรับ หอเทียนหลินในเมืองหลวงกับโรงเตี๊ยมเซียนจื่อโหยว รวมถึงหอสุราหว่านซินในเมืองเป่ยหนานล้วนเป็นกิจการของนายท่านของข้าน้อยทั้งสิ้น”“ดูท่านายของเจ้าจะร่ำรวยมากทีเดียว”“ที่เจ้าได้ยินเป็นเพียงกิจการในต้าเฉินเท่านั้นเสี่ยวหนิง น้องรองของข้ายังมีกิจการในลั่วหยาง ต้าฉี ต้าฉิน ต้าไห่ ต้าเฉียน และต้าเหว่ย เขาร่ำรวยมาก” จิวหลิงยังคงอวดอ้างถึงความร่ำรวยของศิษย์น้องรองที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวจื่อโหยวแห่งนี้ และ...“แล้วข้าจะบอกความลับหนึ่งให้เจ้าฟัง”“อันใด” ความลับของผู้อื่นย่อมน่าสนใจ แม้นางจะไม่อยากเป็นคนที่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ก็มีบ้างที่อยากจะรู้ ทว่านางก็คล้ายปลาที่ติดเบ็ด เมื่อนางให้ความสนใจ คนวางเหยื่อล่อก็รีบตะครุบ“เรียกข้าว่าพี่จิวก่อนสิ แล้วข้าจะบอก&r
องครักษ์หนุ่มลดกระบี่ลงแล้วแต่ปลายทวนยังคงไม่ลดลง จิวหลิงที่เงียบมาตลอดกระแอมขึ้นในที่สุด “อย่าเคร่งเครียดนักเลย น้องสาม ลดทวนสงบใจของเจ้าลงเถิด คนกันเองทั้งนั้น...แม่นางน้อย นั่งด้วยกันเถิด พบกันครั้งแรกไม่นับเป็นวาสนา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน คบหาเป็นสหายกันไว้วันหน้าย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”ทวนที่มีชื่อว่าทวนสงบใจลดห่างจากลำคอของเค่อซินเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของทวนนั้นก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ บุรุษน่าตายแล้วเช่นกัน ทว่าเฉินอันหนิงกลับยังคงชั่งใจ นางยังอยากกินข้าวด้านล่างแต่จะให้นั่งกับสองคนตรงหน้าก็ดูจะอย่างไรอยู่เมื่อครู่ยังจ่อคอกันอยู่ จะมานั่งกินข้าวร่วมกัน มันจะได้หรือ“มีที่ว่างอื่นอีกหรือไม่” นางหันกลับไปสอบถามเสี่ยวเอ้อก่อนจะได้รับคำตอบที่คาดเดาไว้แล้ว...ไม่มีที่ว่างอื่น“นายท่าน เรา...”“ไม่เป็นไร เจ้าของที่ชวนแล้ว นั่งตรงนี้จะเป็นไรไป” ไม่ทันที่เค่อซินจะได้ออกความคิดเห็นที่นางเข้าใจได้ว่าเขาจะเสนออย่างไร นางก็พูด
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามตามที่นัดหมายกับเค่อซินเอาไว้ องค์หญิงใหญ่และองครักษ์คนสนิทก็ลงมาจากห้องเพื่อกินอาหารค่ำ ความจริงแล้วเค่อซินอยากจะสั่งขึ้นมาให้นายเหนือหัวเสวยที่ห้องหากแต่ผู้เป็นนายกลับต้องการที่จะลงมาด้านล่างเพื่อซึมซับกับบรรยากาศ องค์หญิงที่ในเมืองหลวงกล่าวกันว่าเป็นองค์หญิงเจ้าสำราญย่อมชื่นชอบที่จะใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับชาวบ้านดั่งที่ผ่าน ๆ มาด้านล่างของโรงเตี๊ยมเซียนจื่อโหยวยังคงมีจอมยุทธและคาราวานพ่อค้านั่งดื่มกินสังสรรค์กันพลุกพล่านไม่ต่างกันตอนแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาค่ำคืนแล้วก็ตาม ยังดีว่าพอจะมีที่ว่างเหลืออยู่...หนึ่งโต๊ะเฉินอันหนิงก้าวเข้าไปนั่งยังที่ว่างในทันที ทว่าเสี่ยวเอ้อหนุ่มกลับวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีหวั่นเกรง“เอ่อ..ขออภัยขอรับคุณชาย โต๊ะนี้มีผู้จองเอาไว้แล้ว รบกวนท่านรอสักครู่”เฉินอันหนิงมองท่าทีของเสี่ยวเอ้ออย่างจับสังเกต นางต้องการรู้ว่าอีกฝ่ายหวาดเกรงคนที่จองที่เอาไว้หรือว่าต้องการเล่นตัวเพื่อให้นางจ่ายมากกว่าหลังมองพิจารณาอยู่นาน ในที