ในเวลาเดียวกันภายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความแตกตื่นเพราะโอรสสวรรค์ถูกลอบปลงพระชนม์ อัครเสนาบดีหลี่และหลี่ซูเฟยตั้งตนเป็นผู้ตัดสินโทษผู้ต้องสงสัยขณะที่ตระกูลฉีก็รอคอยโอกาสช่วงชิงอำนาจและโยนความผิดทั้งหมดไปที่หลี่ซูเฟยโดยอาศัยการประหารของหัวหน้าองครักษ์ฟู่เสวียนเป็นข้ออ้าง...ทุกอย่างจะเข้าทางสกุลฉี หากฟู่เสวียนตายไปก่อนฮอ่องเต้ฟื้นขึ้นมา
สกุลหลี่กวาดล้างคนสกุลฟู่ สกุลฉีลอบแฝงตัวแอบอ้างคำสั่งหลี่ซูเฟยประหารผู้นำสกุลฟู่...นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ตัดสินแต่หลี่ซูเฟยอาศัยความเป็นเฟยซ้ำมีบิดาเป็นอัครเสนาบดีสำเร็จโทษใต้เท้าฟู่เสวียนเสียแล้ว อย่างไรก็ย่อมมีความผิด ยิ่งวางอำนาจบาดใหญ่ในเวลาที่ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นมากเท่าไหร่ยามที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาความผิดก็ย่อมต้องมากขึ้น
ฟู่เสวียนถูกคนฝั่งสกุลฉีสังหารไปแล้ว ไม่อาจแก้ไข แต่เพื่อไม่ให้ตระกูลฉีได้โอกาสเพิ่ม ตระกูลหลี่ก็ย่อมคิดเก็บกวาดตระกูลฉี ผู้ใดไม่อยากเกี่ยวข้องก็ย่อมเก็บตัวเงียบ โดยไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่ามีผู้นั่งบนภูดูเสือกัดกันอยู่
&ldqu
หลายวันผ่านไปในช่วงเวลานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เรื่องของตระกูลฉีและตระกูลหลี่ยังไม่ทันซาก็มีข่าวที่ทำให้เหล่าคุณหนูต้องปวดใจเกิดขึ้น ท่านองครักษ์เหอเหลียนประกาศถึงการมีอยู่คุณหนูเหอซูเหยา บุตรสาวของตนกับรองแม่ทัพหญิงซังซัง ไร้วี่แววผิดสังเกตจากผู้คนเพราะรองแม่ทัพซังซังไม่ปรากฏตัวมาเกือบขวบปีทุกอย่างใช่ว่าจะเป็นไปตามที่ใจคิดเสียทุกอย่าง เป็นธรรมดาของชีวิต เฉินอันหนิงที่ผ่านชีวิตมาแล้วถึงสองรอบไม่ได้รู้สึกขัดใจที่หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่นางคิดไปซะทุกเรื่องแต่นับว่าในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวในระดับที่น่าพอใจแล้วไม่ทันไรก็ผ่านพ้นเหตุการณ์ฉีหลี่ไปแล้วหนึ่งเดือนเต็ม วังหลังในตอนนี้มีประมุขปกครองอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งขุนนางฝั่งอดีตฮอองเฮาพร้อมใจกันเสนอหรงกุ้ยเฟย และฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบแต่งตั้งหรงกุ้ยเฟยเป็นหรงฮองเฮาทั้งยังยกองค์ชายสี่เฉินซีหานให้หรงฮองเฮาทรงดูแลวังหลังเป็นระเบียบมากขึ้น เหล่าองค์ชายองค์หญิงก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกันเมื่อองค์หญิงใหญ่ทำเรื่องสะท้านสะเทือนวังหลวงโดยการขอพระราชทานอนุญาตเลี้ยงดูน้อง ๆ ด้วยตนเอง แม้ว่าเป็นเรื่องที่ขุนนางไม่เห็นด้วย แต่เพราะ
ตำหนักอันหนิงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาบ่งบอกว่ากำลังให้ความสนใจ ทว่าผู้ที่ได้รับความสนใจอย่างเจ้าของตำหนักกลับไม่ได้รู้สึกเขินอายที่ถูกจับจ้อง หรือแม้แต่รู้สึกแปลก ๆ เลยสักนิด เฉินอันหนิงยิ้มอย่างมีนัยยะก่อนจะส่งเสียงขึ้น“เอาล่ะ เริ่มได้...น้องสาม มานั่งตรงนี้”ไม่ว่าเปล่านางยังดึงให้น้องชายมานั่งในพื้นที่ที่นางต้องการ หลังจากที่นางกราบทูลขอเลี้ยงน้อง ๆ เองเวลาส่วนใหญ่ของนางก็อยู่กับการหาการละเล่นและกิจกรรมมาเล่นกับบรรดาน้อง ๆนับแต่องค์หญิงเจ็ดลงไปนับว่าพูดง่าย เพราะยังไร้เดียงสา ยิ่งในทุกวันฮ่องเต้ไท่เสียนจะเสด็จมาเล่นกับลูก ๆ เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งหลายก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะมาเล่นที่ตำหนักอันหนิง เพราะจะได้ใกล้ชิดกับพระบิดาอันเนื่องมาจากก่อนนี้บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าพระบิดาเลยสักครั้ง และบางคนใช้เวลากับโอรสสวรรค์น้อยจนไม่คุ้นชินหากจะหาคำที่เหมาะสมคงจะต้องบอกว่า ไม่เพียงกับสนมที่ฝนตกไม่ทั่วฟ้ากับโอรสธิดาเองฝนก็ตกไม่ทั่วฟ้าเช่นกัน เฉินอันหนิงโชคดีที่
เสียงตบมือและเสียงเพลงไม่คุ้นหูที่ดังแว่วมาจากด้านในชวนให้ฮ่องเต้ไท่เสียนต้องขมวดคิ้ว นึกสงสัยในทุกครั้งที่มาเยือนตำหนักอันหนิงว่าธิดาองค์โตชักชวนบรรดาน้อง ๆ เล่นสิ่งใด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่คิดเปล่า โอรสสวรรค์ก้าวเข้าไปด้านในในทันทีก่อนจะได้เห็นการละเล่นแปลกประหลาดของลูก ๆ“นี่ พวกเจ้าเล่นอันใดกันอยู่”“ท่านพ่อ!” เป็นเจ้าของตำหนักที่ส่งเสียงร่าเริงส่งให้ ก่อนที่น้อง ๆ จะส่งเสียงตามด้วยความยินดีและต่างพากันลุกขึ้นพุ่งไปหาบิดา แรก ๆ ทุกคนไม่คุ้นชินแต่นานวันเข้าการวิ่งเข้าไปหาบิดากลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดอันใดสำหรับทุกคนไปแล้ว“เจ้าก้อนแป้ง เจ้าพาเจ้าลูกเจี๊ยบเล่นอันใดกัน” โอรสสวรรค์ที่ตอนนี้มีกิจวัตรประจำวันเพิ่มเข้ามาคือการมาเล่นกับลูก ๆ ตรัสถามขณะที่ถูกบุตรสาวคนโตดึงไปนั่ง“มันเรียกว่ามอญซ่อนผ้าเจ้าค่ะ ท่านพ่อมาเล่นด้วยกันสิเจ้าคะ...ตรงนี้เจ้าค่ะ”“ครู่เดียวเท่านั้นนะ”“เจ้าค่ะ”“ฮิมอญซ่อนผ้า ตุ๊กตา อยู่ข้างหลัง...” และแล้วการละเล่นก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ใช่ว่าจะมีองค์หญิงองค์ชายเท่านั้นที่มีความสุขกับการได้ละเล่นกับบิดา แต่ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็พอพระทัยเช่นกันที่ได้ทิ้งราชกิจน่าปวดหัวมา
วันเวลาผันผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วให้รู้สึกพิศวงเป็นอย่างยิ่ง กาลเวลากลืนกินหนึ่งชั่วยามก่อนหน้าใหกลายเป็นอดีต กลืนกินหนึ่งเค่อก่อนให้เป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับมาอีก แม้ว่าสวรรค์จะมอบโอกาสให้หวนคืนมาสู่อดีตแต่ก็ใช่ว่าจะย้อนกลับไปได้ทุกช่วงเวลาดั่งใจคิด...โอกาสจากสวรรค์ไม่แน่ว่าอาจจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองหิมะแรกของปีที่โปรยปรายลงมาปกคลุมพระราชวังด้วยแววตาไร้อารมณ์ วันเวลาผ่านเลยมาสิบสองปีนับจากที่นางย้อนเวลากลับมาแต่เฉินอันหนิงยังรู้สึกว่ามันช่างแสนสั้นเวลาสิบสองปีพระราชวังแปรเปลี่ยนไปหลากหลายสิ่ง นางย้ายจากตำหนักเซียนซือกลับมาอยู่ตำหนักอันหนิงตั้งแต่อายุสิบห้า นับมาก็ได้สี่ปีแล้ว เหล่าองค์ชายเติบโตขึ้นก็ต้องแยกออกไปมีตำหนักของตนเองนอกพระราชวัง องค์หญิงก็มีตำหนักเป็นของตน การพบเจอกันที่ตำหนักอันหนิงยามนี้มีเพียงองค์หญิงและองค์ชายที่ยังอายุไม่ถึงสิบห้าปีเท่านั้นที่ยังแวะเวียนมา บรรยากาศที่พี่น้องพร้อมหน้าดั่งเช่นก่อนนี้ไม่มีอีกแล้วไม่ทันไรน้อง ๆ ของนางก็เติบโตขึ้นจนแทบจะหมดแล้ว แม้แต่น้องสิบแปดและน้องสิบเก้าที่นางทูลขอเสด็จพ่อตอนนี้ก็มีชันษาได้สิบเอ็ดขวบแล้ว
“วันนี้เสด็จพ่อเรียกเจ้ามาใช้งานอันใด”คำถามที่ตรงไปตรงมาถูกเอ่ยขึ้นทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาด้านในตำหนักอันหนิง ท่าทีเอื่อยเฉื่อย นิ่มนวลขององค์หญิงลำดับที่หนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีคล้ายบุรุษไปเสียแล้วทว่าผู้น้องกลับไม่ได้แปลกใจพี่ใหญ่ของเขาและพี่น้องเป็นเช่นนี้มานานแล้ว...“ว่าอย่างไร เสด็จพ่อหาเรื่องยุ่งยากให้เจ้าอีกหรือไม่”“ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอันใดขอรับ” เมื่ออยู่ลำพังไม่มีคำว่ากระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ หรือแม้แต่เสด็จพี่ใหญ่ มีเพียงข้ากับท่าน น้องสี่กับพี่ใหญ่อย่างเช่นชาวบ้านสามัญเท่านั้น“มีรายงานว่ามีกองโจรอาละวาด ทำร้ายผู้คนช่วงชิงเสบียงที่เมืองซินอู๋ เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้านำทหารไปปราบ ท่านก็รู้ว่าข้าชื่นชอบการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก เรื่องนี้เรื่องถนัดของข้า”“จะไปเมื่อไหร่”“พรุ่งนี้ขอรับ”“ถึงเวลาแล้วสินะ” ในที่สุดเรื่องร้ายก็คืบคลานเข้ามาต่อให้ไม่เสนอตัว เฉินซีหานไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าการไปปราบโจรที่เขามั่นใจว่าจะได้แสดงฝีมือให้สมกับที่ฝึกฝนการต่อสู้มาจากยอดฝีมือจะเป็นการต่อสู้ที่ถูกลิขิตให้เขาเป็นผู้ที่ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้“เวลาอันใดหรือขอรับ”“ก็...เวลาที่เสี่ยวหานของพี่จะได้แสดงฝีมือน
“ฝ่าบาท องค์หญิงอันหนิงมาขอเข้าเฝ้าพะ...” เสียงรายงานของเหรินกงกงไม่ทันจะจบประโยคผู้มาขอเข้าเฝ้าก็ก้าวเข้ามาภายในห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่มิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด องค์หญิงอันหนิงทรงทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำและฮ่องเต้เองก็มิได้ว่ากล่าวอันใด“อันหนิงถวายพระพรเสด็จพ่อเพคะ”“มานี่เร็ว” ฮ่องเต้ไท่เสียนกวักพระหัตเรียกพระธิดาองค์โตทันทีก่อนจะสะบัดมือให้เหรินกงกงและข้ารับใช้ออกไปด้านนอก เจ้าก้อนแป้งที่เวลานี้เติบโตเป็นสตรีงามพร้อมสมสถานะองค์หญิงลำดับที่หนึ่งไม่รอช้ารีบกรีดกรายเข้ามาหาพระบิดาในทันที“ท่านพ่อ มีอะไรให้หนิงเอ๋อร์ดูหรือเจ้าคะ”“ภาพวาดจากอาของเจ้า” ฮ่องเต้ไท่เสียนไม่พูดเปล่ายังยื่นม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือส่งให้ เป็นม้วนภาพวาดที่ชินอ๋องให้ฉินกงกงนำมาถวาย ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพวาดทัศนียภาพของสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกวาดออกมาได้อย่างงดงามราวกับภาพฝันสำหรับผู้ชื่นชอบภาพวาดจะต้องบอกว่าเป็นภาพที่งดงามน่าเก็บสะสม สำหรับผู้ที่มิได้มีศิลปะในใจก็คงจะกล่าวว่าเป็นเพียงภาพธรรมดาไม่ได้น่าสนใจ แต่ภาพนี้ไม่ใช่ภาพธรรมดาอย่างแน่นอนเฉินอันหนิงตาเป็นประกายวาววับเมื่อทราบว่าเป็นภาพวาดจากเส
สองวันต่อมาสองวันจากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทาง มีประกาศให้ทราบทั่วไปว่าองค์หญิงอันหนิงได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปยังเมืองเป่ยหนานเพื่อเป็นตัวแทนมอบของขวัญพระราชทานเนื่องในวันประสูติของชินอ๋องที่จะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เพื่อไม่ให้ผู้คนคิดไปว่าฮ่องเต้หมางเมินยอดนักรบจนเกินไปผู้คนต่างรับรู้เช่นนั้น โดยไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเมืองที่อยู่ก่อนจะถึงเมื่อเป่ยหนานอย่างเมืองซินอู๋ต่างหากคือเป้าหมายของพระธิดาองค์โตในครั้งนี้เรือนกายแบบบางชวนให้รู้สึกอยากทะนุถนอมทว่ากลับคล่องแคล่วดั่งคนฝึกยุทธในอาภรณ์ที่คล้ายบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังม้าคือภาพลักษณ์ที่ผู้คนได้เห็นในตอนที่ขบวนเสด็จขององค์หญิงอันหนิงเคลื่อนผ่าน ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็คุ้นเคยกับองค์หญิงพระองค์โตเป็นอย่างดีนอกจากจะทักทายและอวยพรให้องค์หญิงเดินทางปลอดภัยแล้ว ยังมอบสุราชั้นเลิศ และผลไม้ตากแห้งให้องค์หญิงอย่างไม่เกรงกลัวจะถูกทหารจับกุมอีกด้วยเพราะนางออกมาเที่ยวเล่นบ่อยครั้งจนผู้คนคุ้นเคยไปเสียแล้ว อีกทั้งยังสนิทสนมกับคหบดีในเมืองหลวงแทบจะทุกร้าน โดยเ
การเดินทางของเฉินอันหนิงช้ากว่าเฉินซีหานและกำลังทหารที่ไปปราบกองโจรหนึ่งวันแต่นางก็ไม่ได้เร่งเดินทางให้ทันน้องชายแม้จะห่วงน้องชายอยู่มากแต่ก็วางใจได้ครึ่งหนึ่งเพราะสาร์นลับจากชินอ๋องที่บอกว่าว่าได้จัดการตามที่นางต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือการส่งกองกำลังของตนแฝงตัวมารอดูสถานการณ์ที่ซินอู๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทุกอย่างยังดูปกติดี หากมีอันใดไม่ปกติเหยี่ยวของเสด็จอาจะส่งข่าวมาให้นางในทันทีและนางคิดเอาไว้แล้วว่าช่วงแรกจะตามหลังไปก่อน เมื่อใกล้ถึงเมืองซินอู๋จึงค่อยเร่งเดินทางให้ทันน้องชายการเดินทางจากเมืองเฉินซีซึ่งเป็นเมืองหลวงไปยังเมืองเป่ยหนานต้องผ่านเมืองเสียนจิ้ง เมืองหนานเว่ย เมืองตวนซี เมืองเซียงโหยว และเมืองซินอู๋ กะคร่าว ๆ จะใช้เวลาที่เมืองละสองถึงสามวัน หากไม่มีเหตุการณ์ใด และเร่งเดินทางในตอนที่ถึงเมืองตวนซีเพื่อเข้าเมืองเซียงโหยวก่อนที่เฉินซีหานและกองทหารจะเข้าเมืองซินอู๋ ก็จะทันอย่างแน่นอนการเดินทางในวันแรกเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อพลบค่ำก็เข้าเขตเมืองเสียนจิ้งพอดิบพอดี เมืองเสียนจิ้งเป็นเมืองติดเมืองหลวง ผู้คนจากทางใต้และคนจากเมืองหลวงนับได้ว่าพ
“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉินเฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
สองเดือนต่อมาการเดินทางจากต้าเฉินถึงต้าไห่ใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบห้าวัน เป็นหกสิบห้าวันที่จะกล่าวว่าราบรื่นก็ราบรื่น แต่จะกล่าวว่าทุลักทุเลเล็กน้อยก็ว่าได้เช่นกันสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...“แม่นางเสียน” น้ำเสียงหยาดเยิ้มที่เอ่ยเรียกฉุดให้เฉินอันหนิงที่เผลอขบคิดถึงการเดินทางนับสองเดือนที่ผ่านมาได้สติและหันสายตาไปมองนี่อย่างไรเล่าผู้ที่ทำให้การเดินทางของพวกนางทุลักทุเลมาเล็กน้อยแทนที่จะราบรื่นน่ะ“แม่นางหลัน มีอันใดหรือ” นางสอบถามอีกฝ่ายพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย หลันซิ่วอิงคือสตรีที่นางพบเจอระหว่างทางจากแคว้นลั่วหยางมายังแคว้นไห่ ในตอนที่เจออีกฝ่าย หลันซิ่งอิงกำลังประสบปัญหาเพราะถูกกลุ่มนักฆ่าตามไล่ล่าเพราะไม่อาจเมินเฉยต่อคนต้องการความช่วยเหลือ นางจึงให้เฉินซีหานเข้าไปช่วยเหลือสตรีตรงหน้าเองไว้ ทั้งยังให้นางร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อได้รู้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นแคว้นไห่เช่นกันลำพังหลันซิ่วอิง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของนางและคณะมีปัญหา
ได้เห็นดรุณีน้อยชอบใจ เฉินอันหนิงก็พลอยยิ้มไปด้วย สำหรับนางฟู่จื่อเหยาเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง อาจจะตั้งแต่ตอนที่อุ้มครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกนั่นล่ะ ที่นางเห็นเด็กน้อยอาภัพมารดาผู้นี้เป็นน้องสาวและปรารถนาให้ยิ้มอยู่เสมอ แต่บางครั้งน้องสาวผู้นี้ก็ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอยู่เช่นกัน...“พี่สาว...พี่สาวจะไปหาพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ดั่งเช่นตอนนี้ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังที่คอกม้าจนสามารถพูดคำสามัญได้ น้องสาวผู้นี้ ถึงนางจะมองเป็นน้องสาวอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นน้องสาวของคนผู้นั้นอยู่ดี“ไม่ เหตุใดข้าต้องไปหาคนอย่างเขา” นางตอบโดยไม่หันกลับไปมองน้องสาวบุญธรรมผ่านมาสองปี ความขุ่นเคืองในใจมิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกอื่นก็เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า แม้บุปผามีใจ หากสายน้ำไร้รัก ก็ย่อมต้องปล่อยให้ผ่านไป...นางมิใช่คนที่จะไปบังคับข่มเหงผู้ใดและเมื่อพูดไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ย่อมไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจอีกป่านนี้บุรุษผู้นั้นคงมีฮูหยินไปแล้วกระมัง นางจะไปหาเขาทำไมกั
นางใช้เวลาไม่นานก็มาปรากฏตัวหน้าห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้างามล่มเมืองปั้นให้ดูปกติที่สุดก่อนจะเผยยิ้มส่งให้บิดาในทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง“เสด็จพ่อ”“แคว้นไห่ส่งราชสาร์นเชิญมา” ไม่รอให้พระธิดาองค์โตสอบถามใด ๆ ฮ่องเต้ไท่เสียนก็บอกเล่าสาเหตุที่เรียกให้มาหาในทันทีพร้อมกับยื่นพระราชสาร์นให้ “ต้าไห่เปลี่ยนฮ่องเต้แล้ว”คำบอกเล่ามิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็มิได้แปลกใจใด ๆ อันเนื่องมาจากบุตรสาวได้บอกเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วเฉินอันหนิงกวาดสายตาอ่านตัวอักษรในราชสาร์นที่แสนคุ้นเคยก่อนจะระบายยิ้ม จิวหลิงเขียนราชสาร์นฉบับนี้ด้วยตัวเองไม่ผิดแน่และในราชสาร์นก็บอกเล่าว่าตนได้จัดการอดีตฮ่องเต้ทรราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงส่งสาร์นฉบับนี้มาเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ เชื้อพระวงค์และคณะทูตจากต้าเฉินมาร่วมในงานพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกทั้งยังทิ้งข้อความลับไว้ในพระราชสาร์น กำชับให
เฉินอันหนิงมองท่าทีของสหายด้วยรอยยิ้ม ย้อนคิดไปถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ตอนที่ผู้คนได้รู้ว่าเหลยเซียนหนิงถอนหมั้นกับเสียนฟู่ถังแล้วก็เป็นวันที่มีงานมงคลของเสียนฟู่ถังกับฟ่านซูเซียน โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพเหลยได้รับราชโองการให้ไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองถงอันทางตอนใต้ เหล่าแม่สื่อจึงยังไม่มีโอกาสเข้ามาพูดคุยทว่าหนึ่งปีก่อนแม่ทัพเหลยจิ้งเสร็จสิ้นภารกิจกลับมายังจวนในเมืองหลวง นับจากนั้นเหล่าแม่สื่อก็มายังจวนแม่ทัพบูรพาไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่หรงฮองเฮาก็มีท่าทีอยากจะได้สหายของบุตรสาวมาเป็นพระชายารัชทายาท ด้วยไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์ และไม่อยากเกี่ยวดองกับขุนนางที่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของผู้เป็นพี่ชาย เหลยเซียนหนิงจึงต้องสร้างเรื่อง...และเรื่องที่เหลยเซียนหนิงสร้างก็คือการจัดฉากเล่นงานองครักษ์ของสหายเช่นนาง ไม่รู้ว่าสหายผู้นี้ไปทำเช่นไรเค่อซินจึงได้ยอมให้ท่านลุงฟู่ส่งแม่สื่อไปพูดคุย ทว่าท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเหลยเซียนหนิงบอกกับนางและเว่ยหนิงว่าการแต่งงานครั้งนี้นางได้ตกลงกับเค่อซินแล้ว
สองปีต่อมาสิ่งที่ผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ก็คือวันเวลา เผลอเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม หนึ่งวัน หนึ่งเดือน จนกระทั่งล่วงเลยไปหนึ่งปี สองปีอย่างรวดเร็วและแสนสั้นสองปี...หากจะกล่าวว่ายาวนาน มันก็ยาวนานแต่หากจะบอกว่าช่างแสนสั้น มันก็ผ่านไปรวดเร็วระยะเวลาสองปีมานี้สำหรับเฉินอันหนิงแล้วทั้งมิได้เนิ่นนาน และมิได้รวดเร็ว อาจจะเพราะนางมิได้เฝ้ารอผู้ใดจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันทั้งยาวนานและเนิ่นนาน และอาจจะเพราะนางใช้เวลาไปกับการพัฒนาแคว้นและทำการค้า วันเวลาของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที...รอบข้างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วแคว้นต้าเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวย ราษฏรมีกินมีใช้ นักเดินทางและพ่อค้าคหบดีต่างแคว้นก็พลุกพล่านทำให้การใช้จ่ายภายในแคว้นเป็นไปได้ด้วยดีกิจการของนางที่ร่วมกับเว่ยหนิงและนายท่านแห่งหอเทียนหลินก็เป็นไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดย่านการค้าที่นางกว้านซื้อที่ดินมาสร้างให้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในยุคอนาคต ที่เป็นแหล
งานสถาปนาแคว้นนับเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ ชาวบ้านต่างประดับประดาบ้านช่องและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประโคมดนตรีเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ภายในพระราชวังก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน แต่ก็จัดเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ส่วนในวันที่เหลือหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อท่องเที่ยวก็สามารถพักยังที่รับรองที่จัดเอาไว้ให้ได้ต่อเมื่อเทศกาลการเฉลิมฉลองจบลงผู้คนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ภายในพระราชวังเองก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสงบสุข ผู้คนต่างให้คามสนใจท่าทีของจวนสกุลเจียง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวังที่เล็ดลอดออกมาสกุลมู่ไม่นับว่าตกต่ำ แม่ทัพฟ่านรุ่งเรืองเช่นไร รองแม่ทัพและเหล่านายกองก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย สกุลเจียงคิดจะทำเช่นไรย่อมต้องดูสีหน้าสกุลมู่ให้มากเหล่าขุนนางย่อมรับรู้สถานการณ์ของสกุลเจียงมากกว่าชาวบ้าน ใต้เท้าเจียงผู้เป็นบิดาของเจียงเหิงอยู่ใต้บารมีของสกุลเถียน สนับสนุนเถียนเจาอี๋มาโดยตลอด เมื่อเถียนเจาอี๋ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นสกุลเจียงก็พลอยต
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้