เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!
มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...
องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
นางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
บุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก
“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่น
องค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น
“สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อและเสด็จน้า”
“นางแต่งกับคนแซ่ฮุย แต่แต่งในนามคนแซ่ฟู่ เช่นนั้นให้นางอยู่สุสานตระกูลฟู่มิได้หรือ”
“เรื่องของพี่หญิงเป็นเรื่องภายใน ท่านมิใช่จะยุ่งเกี่ยวได้ ท่าน...”
“ข้าแซ่ฟู่ บิดา มารดาเป็นคนแคว้นเฉิน และนางคือภรรยาข้า” เสียงตะโกนก้องสวนกลับมาทันทีก่อนที่องค์ชายสามจะได้กล่าวจบ
“นี่ท่าน...”
“ข้าคือฟู่จื่อเหยียน แม้นางมิได้แต่งกับข้า แต่คนแซ่ฮุยก็แต่งกับนางในนามของข้า...นางคือภรรยาของข้า” บุรุษหนุ่มเปิดเผยความจริงที่เก็บซ่อนเอาไว้พร้อมกันนั้นก็หันกลับมามองร่างไร้ลมหายใจและพึมพำ “นางคือภรรยาของข้า ของข้า”
เฉินอี้หลงนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะถอนใจหนัก ๆ อย่างจำยอม “เช่นนั้น...เอาเถิด พี่หญิงเลือกท่านตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฝังนางที่สกุลฟู่เถิด”
“ขอบพระทัยองค์ชาย บุญคุณนี้ซือเยว่จะไม่มีวันลืม” บุรุษอาภรณ์ดำกล่าวเพียงเท่านั้นก็กระชับกอดองค์หญิงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างล้วงเข้าไปภายในเสื้อพลางเงยหน้าขึ้นมองว่าที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ “องค์ชาย...”
“ท่านต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีดั่งที่องค์หญิงทรงต้องการนะพะย่ะค่ะ อย่าให้เกิดเรื่องเช่นอดีตขึ้นอีกในรุ่นต่อ ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องฆ่าฟันกัน หรือเข่นฆ่าป้ายสีเพื่ออำนาจของตน”
“ข้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีตามที่พี่หญิงต้องการ”
“ดีแล้ว” คำนั้นเขาพึมพำราวกับพร่ำเพ้อก่อนจะทอดสายตามององค์หญิงผู้จากไป “องค์หญิง ชาตินี้ซือเยว่ทดแทนบุญคุณองค์หญิงไม่ทัน ซือเยว่จะตามไปทดแทนคุณในปรภพนะพะย่ะค่ะ”
“ฮึก”
มีดสั้นที่ซุกซ้อนอยู่ภายในเสื้อถูกหยิบขึ้นมาแทงตนเองในชั่วพริบตา บุรุษหนุ่มฝืนความเจ็บปวดเอาไว้และเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษอีกคนที่พุ่งเข้ามาด้วยความตื่นตกใจ
“อาเจีย ต้องไหว้วานเจ้ากล่าวลาอาจารย์และพี่น้องให้ข้าแล้ว... ชาตินี้ข้าไม่มีโอกาสกล่าวลาด้วยตนเอง ขออาจารย์และพี่น้องอย่าได้ขุ่นเคืองการตัดสินใจของข้าในครั้งนี้ ฮึก”
“ท่านประมุข เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ท่านเป็นถึงประมุขพรรคเมฆาสุริยันต์ ในทำเนียบยุทธภพถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ชีวิตท่านยิ่งใหญ่เพียงนี้ เหตุใดเลือกที่จะตายเล่า”
“ชีวิตข้า ฟู่จื่อเหยียน ติดค้างบุญคุณชีวิตผู้คนมากมายเหลือเกิน ทั้งบิดามารดาที่ล่วงลับ ศิษย์พี่และอาจารย์ที่ช่วยเหลือชุบเลี้ยง และหนึ่งในผู้มีพระคุณของข้าก็คือองค์หญิงใหญ่ หากนางไม่ช่วยไว้ ข้าก็หนีออกจากแคว้นเฉินไม่ทันและก็คงไม่ได้พบเจอกับผู้มีคุณคนอื่น หากมิมีนาง จะมีข้าที่เจ้ากล่าวว่ายิ่งใหญ่ได้อย่างไรเล่า” บุรุษหนุ่มฝืนความเจ็บปวดกัดฟันบอกเล่าพร้อมกับกดมีดลงให้ลึกกว่าเดิมและพูดต่อ “หลายปีมานี้ข้าทดแทนคุณอาจารย์และศิษย์พี่ไปแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ชำระหนี้แค้นให้แล้ว เหลือเพียงองค์หญิง ที่นางต้องจากไปก่อนที่ข้าจะได้ทดแทนคุณ...ข้า ฟู่จื่อเหยียน มิขอเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ขอเป็นซือเยว่ที่ติดตามรับใช้องค์หญิงก็พอ ฮึก”
“ท่านประมุข!!!”
และแล้วบุรุษหนุ่มก็สิ้นลมทั้งที่ยังกอดองค์หญิงใหญ่เอาไว้ สายตาทุกคู่มองภาพนั้นอย่างกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ความรักที่บุรุษผู้นี้มีให้กับองค์หญิงใหญ่ช่างน่าซาบซึ้งเสียจนอยากจะกราบขอความเมตตาจากฟากฟ้าให้คนทั้งคู่ได้อยู่เคียงข้างกันทั้งที่มีลมหายใจ
“ใต้เท้าซาน เป็นธุระจัดพิธีของพี่หญิงกับพี่เขยให้ข้าที...ฝังพวกเขาที่สุสานตระกูลฟู่ตามที่พี่เขยต้องการ”
“พะย่ะค่ะ”
เฉินอันหนิงยังคงล่องลอยอยู่ในความฝัน ทอดมองเหตุการณ์ทุกอย่างจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งในตอนเช้า ค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินแต่ก็เป็นความยาวนานที่ทำให้นางรู้สึกเศร้าจนมิอาจหลุดจากความเศร้านี้ได้
ที่แท้พี่เหยียนก็กลับมา...ซ้ำเขายังกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่
ประมุขพรรคเมฆาสุริยันต์...
ในนิยายกล่าวถึงพรรคเมฆาสุริยันต์เอาไว้ว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่งในยุทธภพ แม้มิทราบว่าผู้ใดคือประมุขพรรค หากแต่จอมยุทธทั้งหลายต่างก็ให้ความกริ่งเกรง...ที่แท้ประมุขผู้นั้นก็คือพี่เหยียน
ชะตากรรมของพี่เหยียนที่นางเคยคิดว่าไม่รู้ว่าหลังหนีไปแล้วเป็นเช่นไร กลับเป็นชะตากรรมของผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องก้าวผ่านเรื่องราวเพื่อเป็นบุคคลที่เลื่องลือไปเสียแล้ว เขาจะต้องเผชิญเรื่องราวเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า
นั่นคือชะตาของเขา...
มิอาจขัดขืนชะตาของเขาใช่หรือไม่...
“มิอาจขัดขืนชะตา มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของพี่เหยียน มิอาจทำได้”
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
หรงกุ้ยเฟยจ้องลึกเข้าไปในดวงตามุ่งมั่นของหลานสาวก่อนจะถอนใจ สองปีก่อนหลังจากที่น้องสาวของนางจากไปในวังมีสนมชายาช่วงชิงความโปรดปรานกันนับไม่ถ้วน ผู้มีบุตรก็ใช้บุตรเป็นสะพาน ผู้ใดไม่มีก็ทำทุกทางเพื่อจะได้ตั้งครรภ์มังกร ทว่านางไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้น ตำแหน่งฮองเฮาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องการฮองเฮาผู้เดียวในใจฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงเซี่ยฮองเฮาเท่านั้น จะแย่งชิงกันไปก็เท่านั้น สองปีมานี้องค์หญิงใหญ่อยู่ในตำหนักอันหนิงได้รับความดูแลจากฮ่องเต้โดยตรงก็เพราะไม่ต้องการให้องค์หญิงถูกผู้ใดใช้เป็นเครื่องมือปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา และตัวองค์หญิงเองก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดขึ้นมาแทนที่มารดา แม้แต่นางที่เป็นป้า แล้ววันนี้...“เด็กน้อยเช่นเจ้า เหตุใดจึงกล่าวเรื่องเช่นนี้”“เสด็จป้าหนิงเอ๋อร์รู้ความกว่าที่ท่านคิด มีแค่ท่านเป็นฮองเฮา พวกเราถึงจะปลอดภัย โดยเฉพาะเสี่ยวเซวียนกับเสี่ยวหลง...ท่านเป็นฮองเฮาเถอะ”“เด็กน้อยเอ๋ย คลื่นลมในวังหลัง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหลี่ซูเฟยคือผู้ที่เสด็จพ่อของเจ้าโปรดปรานที่สุด นางงดงามเพียงนั้น ไหนเลยจะช่วงชิงความโปรดปรานมาได้ ไหนจะเจาอี๋จากนอกวังที่เข้ามาพร้อมกับบุตรสาวนั่นอีก ได้ยินว่านาง
ในตำหนักเซียนซือเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนซึ้งทว่าที่ตำหนักใหญ่โอรสสวรรค์กลับเลิกคิ้วมององครักษ์คนสนิทที่มารายงานตามรับสั่งของพระธิดาด้วยความสงสัยแล้วก็เปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นใจ“เจ้าว่าเจ้าก้อนแป้งโกรธอะไรเจิ้นอีกหรือไม่”“น่าชังเช่นฝ่าบาททำให้องค์หญิงขุ่นเคืองย่อมไม่แปลก” องค์รักษ์ฟู่เสวียนเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวก่อนจะลอยหน้าลอยตาเมื่อนายเหนือหัวส่งสายตาดุมาให้ ฟู่เสวียนที่อยู่กับองค์หญิงองค์ชายและครอบครัวคือบุรุษอบอุ่น ฟู่เสวียนที่อยู่ต่อหน้าขุนนางคือองค์รักษ์ผู้สุขุมเลือดเย็น แต่ฟู่เสวียนที่อยู่ตามลำพังกับนายเหนือหัวคือ….สหายน่าตายคนผู้นี้มีหลายหน้ายิ่งนัก เรื่องนี้มีเพียงฮ่องเต้ไท่เสียนที่รู้ดีที่สุด ไอ้เจ้านี่หน้าหนาและปากจัดยิ่ง ทั้งยังไม่เกรงกลัวเขาอีกต่างหาก“เจ้านี่ช่าง…”“ฝ่าบาท ได้เวลาพลิกแผ่นป้ายแล้วพะย่ะค่ะ” ไม่ทันจะต่อว่าสหายผู้กล้าหาญกล่าวตรง ๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ เหรินฉิน ขันทีคนสนิทก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับถาดแผ่นป้าย...ได้เวลาต้องพลิกแผ่นป้ายแล้วแม้ว่าความจริงเหร
เพลี่ยง!เสียงข้าวของที่แตกกระจายจากด้านในตำหนักไม่ได้ส่งผลให้เฉินซูเหมยในวัยเพียงหกขวบตัวสั่นระริก หรือมีอาการหวาดกลัวใด ๆ กลับกันนางกลับมีเพียงความไม่พอใจและกรุ่นโกรธไม่ต่างจากมารดาที่ขว้างปาสิ่งของผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงลำดับที่สองของราชวงค์ และเป็นธิดาลำดับที่ห้าของฮ่องเต้ไม่สนใจมารดาที่ระบายโทสะด้วยการขว้างปาสิ่งของก่อนจะก้าวเข้าไปยังแท่นบรรทมด้วยท่าทีที่เงียบสงบเกินวัยถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะเป็นเด็กหกขวบ แต่ผู้ใดเล่าจะรับรู้เท่านาง ว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้อายุเพียงหกขวบ...นางตายเพราะเฉินอี้หลง และได้หวนกลับมายังอดีตเฉินซูเหมยกำหมัดแน่น ในอดีตมารดานางกระทำต่ำช้าอาศัยโอกาสที่ฮ่องเต้ปลอมตัวออกไปเยี่ยมราษฏรวางยาปลุกกำหนัดในเหล้าจนทำให้มีนาง ทว่าเพราะเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างทำให้นางได้เติบโตนอกวังโดยที่เสด็จพ่อไม่รู้ถึงหกปีเต็ม การได้เข้ามาในวังที่เต็มไปด้วยความแก่งแย่งช่วงชิงใช่ว่าจะมีความสุข มารดานางได้ตำแหน่งแค่เพียงเจาอี๋ ไร้อำนาจซ้ำยังรังแกได้ง่าย นางจึงเกลียดทุกคนที่มีอำนาจ เฝ้าใฝ่ฝันจะเ
ตำหนักเซียนซือเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคยสำหรับฮ่องเต้ไท่เสียน แต่กับโอรสทั้งสองพระองค์ทรงคุ้นเคยไม่ต่างจากองค์หญิงใหญ่ แม้ว่าภายนอกผู้คนจะรับรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ใคร่สนใจใยดีองค์ชายรองและองค์ชายสามเพราะผู้หนึ่งมารดาจากไปตอนคลอด อีกผู้หนึ่งมารดาไม่เป็นที่โปรนปราน และให้ความสนใจไปที่องค์ชายสี่ซึ่งประสูตรจากหลี่ซูเฟยมากกว่า แต่ความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงลอบพาองค์ชายทั้งสองเข้าไปหาที่ตำหนักใหญ่อยู่บ่อยครั้งโอรสที่ไม่มีมารดาปกป้อง หากโปรดปรานเกินหน้าเกินตาย่อมเป็นอันตราย พระองค์ไม่อาจดูแลได้ตลอดจึงต้องให้เฉินชิงเซวียนอยู่ในมุมมืดไม่โดดเด่นเกินผู้ใดเช่นนี้ ส่วนเฉินอี้หลง เพราะมารดาไม่ปรารถนาความโปรดปราน อำนาจย่อมไม่มี หากให้ความใส่ใจโอรสเป็นพิเศษ ก็ย่อมนำภัยมาให้องค์ชายทั้งสองจึงจำต้องกลายเป็นผู้ไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอมา เฉินอันหนิงเข้าใจข้อนี้มาโดยตลอด และนางก็เข้าใจที่เสด็จพ่อไม่ได้ซ่อนนางเอาไว้ในมุมมืดเช่นน้อง ๆ แต่ให้ความโปรดปรานเหนือโอรสธิดาทั่วไป ใช่ว่าเสด็จพ่อต้องการให้นางเป็นหนังหน้าไฟ หากแต่นางเป็นสตรี ไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะเป็นภัยต่อตำแหน่งรัชทายาทหรือตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัดไป ซ้ำนางยังมีสก
สองวันต่อมาในวังหลวงในเช้าวันนี้แม้จะครึกครื่นเพราะมีงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตในวังแต่ก็ไม่อาจจะทำให้บิดาและมารดาที่ต้องห่างจากบุตรรู้สึกสนุกได้แม้แต่น้อย ฮ่องเต้ไท่เสียนและหรงกุ้ยเฟยออกมาส่งองค์หญิงอันหนิงด้วยตนเองขณะที่องค์ชายรองและองค์ชายสามนั้นนอนร้องไห้อยู่ที่ตำหนักเพราะพี่สาวห้ามไม่ให้ติดตามไปด้วย“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ รักษาตัวด้วยเพคะ หนิงเอ๋อร์จะรีบกลับมา”“ไปดีมาดีนะลูกพ่อ” ฮ่องเต้ไท่เสียนผู้ไม่เคยให้องค์หญิงใหญ่อยู่ไกลหูไกลตาตรัสทั้งที่ไม่อาจทำใจปล่อยบุตรสาวออกไปนอกวังได้ ทว่าสุดท้ายก็ยอมปล่อยและเฝ้ามองขบวนของอันไท่เฟยออกจากวังหลวงไปจนลับตาองค์หญิงใหญ่แหวกม่านมองกลับไปยังผู้สูงศักดิ์เบื้องหลังเนิ่นนานก่อนจะเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อคุณชายใหญ่สกุลฟู่ขึ้นมานั่งบนรถม้าพร้อมกับฟู่ฮูหยินที่อุ้มท้องอุ้ยอ้าย“พี่เหยียน ท่านป้าฟู่ค่อย ๆ นั่ง ระวังเจ้าก้อนแป้งด้วยเจ้าค่ะ” ไม่ว่าเปล่าองค์หญิงตัวน้อยยังยื่นมือมาประคองผู้ที่นางเรียกว่าท่านอาหญิงด้วยมือคู่เล็กให้นั่งลงข้าง ๆ“ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง” สายตาที่มององค์หญิงตัวน้อยเต็มไปด้วยความเอ็นดู ใจก็ครุ่นคิดว่าหากลูกในครรภ์เป็นหญิงและน่าเ
“เค่อซุน ถวายพระพรกู้หลุนอันหนิงกงจู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พัน ๆ ปี” น้ำเสียงนอบน้อมแฝงไปด้วยความเคารพและหนักแน่นดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าของกู้หลุนกงจู่แห่งแคว้นะเฉินเฉินอันหนิงมองใบหน้าคุ้มเคยที่ไม่ได้พบเจอถึงสองปีเต็มของเค่อซุนที่มาเข้าเฝ้าทันทีที่คณะทูตจากแคว้นเฉินถูกพามายังที่พำนักรับรองอาคันตุกะก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ลุกขึ้นเถิด...ฟู่จื่อหลิง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เค่อซุนหรือที่ตอนนี้จะต้องเป็นฟู่จื่อหลิง คุณชายสามแห่งสกุลฟู่ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสอบถามน้องชาย “พี่รองไม่ได้มาหรือเจ้าสี่”“พี่สะใภ้ใกล้คลอดแล้ว องค์หญิงจึงไม่ให้เขาตามเสด็จ ตอนนี้คงคลอดแล้วกระมัง”“เช่นนี้กลับไป ข้าก็ได้อุ้มก้อนน้อยเลยนะสิ” ผู้ได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือที่ถูกส่งมาให้แก่จิวหลิงที่ต้องห่างจากพี่น้องมานับสองปียกยิ้มทันทีเมื่อคิดถึงหลานคนแรกของบ้าน เสร็จภารกิจก็ได้เวลาที่เขาจะได้กลับบ้าน มิคาดกลับไปหนนี้เขาจะได้อุ้มหลานโดยไม่ต้องรอ...พี่
สองเดือนต่อมาการเดินทางจากต้าเฉินถึงต้าไห่ใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบห้าวัน เป็นหกสิบห้าวันที่จะกล่าวว่าราบรื่นก็ราบรื่น แต่จะกล่าวว่าทุลักทุเลเล็กน้อยก็ว่าได้เช่นกันสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...“แม่นางเสียน” น้ำเสียงหยาดเยิ้มที่เอ่ยเรียกฉุดให้เฉินอันหนิงที่เผลอขบคิดถึงการเดินทางนับสองเดือนที่ผ่านมาได้สติและหันสายตาไปมองนี่อย่างไรเล่าผู้ที่ทำให้การเดินทางของพวกนางทุลักทุเลมาเล็กน้อยแทนที่จะราบรื่นน่ะ“แม่นางหลัน มีอันใดหรือ” นางสอบถามอีกฝ่ายพร้อมกับลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย หลันซิ่วอิงคือสตรีที่นางพบเจอระหว่างทางจากแคว้นลั่วหยางมายังแคว้นไห่ ในตอนที่เจออีกฝ่าย หลันซิ่งอิงกำลังประสบปัญหาเพราะถูกกลุ่มนักฆ่าตามไล่ล่าเพราะไม่อาจเมินเฉยต่อคนต้องการความช่วยเหลือ นางจึงให้เฉินซีหานเข้าไปช่วยเหลือสตรีตรงหน้าเองไว้ ทั้งยังให้นางร่วมเดินทางมาด้วยเมื่อได้รู้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นแคว้นไห่เช่นกันลำพังหลันซิ่วอิง ไม่ได้ทำให้การเดินทางของนางและคณะมีปัญหา
ได้เห็นดรุณีน้อยชอบใจ เฉินอันหนิงก็พลอยยิ้มไปด้วย สำหรับนางฟู่จื่อเหยาเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง อาจจะตั้งแต่ตอนที่อุ้มครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทารกนั่นล่ะ ที่นางเห็นเด็กน้อยอาภัพมารดาผู้นี้เป็นน้องสาวและปรารถนาให้ยิ้มอยู่เสมอ แต่บางครั้งน้องสาวผู้นี้ก็ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอยู่เช่นกัน...“พี่สาว...พี่สาวจะไปหาพี่ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ดั่งเช่นตอนนี้ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังที่คอกม้าจนสามารถพูดคำสามัญได้ น้องสาวผู้นี้ ถึงนางจะมองเป็นน้องสาวอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นน้องสาวของคนผู้นั้นอยู่ดี“ไม่ เหตุใดข้าต้องไปหาคนอย่างเขา” นางตอบโดยไม่หันกลับไปมองน้องสาวบุญธรรมผ่านมาสองปี ความขุ่นเคืองในใจมิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกอื่นก็เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า แม้บุปผามีใจ หากสายน้ำไร้รัก ก็ย่อมต้องปล่อยให้ผ่านไป...นางมิใช่คนที่จะไปบังคับข่มเหงผู้ใดและเมื่อพูดไปแล้วว่าไม่สนใจ ก็ย่อมไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจอีกป่านนี้บุรุษผู้นั้นคงมีฮูหยินไปแล้วกระมัง นางจะไปหาเขาทำไมกั
นางใช้เวลาไม่นานก็มาปรากฏตัวหน้าห้องทรงพระอักษรเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้างามล่มเมืองปั้นให้ดูปกติที่สุดก่อนจะเผยยิ้มส่งให้บิดาในทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง“เสด็จพ่อ”“แคว้นไห่ส่งราชสาร์นเชิญมา” ไม่รอให้พระธิดาองค์โตสอบถามใด ๆ ฮ่องเต้ไท่เสียนก็บอกเล่าสาเหตุที่เรียกให้มาหาในทันทีพร้อมกับยื่นพระราชสาร์นให้ “ต้าไห่เปลี่ยนฮ่องเต้แล้ว”คำบอกเล่ามิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ฮ่องเต้ไท่เสียนเองก็มิได้แปลกใจใด ๆ อันเนื่องมาจากบุตรสาวได้บอกเล่าให้ฟังมาก่อนแล้วเฉินอันหนิงกวาดสายตาอ่านตัวอักษรในราชสาร์นที่แสนคุ้นเคยก่อนจะระบายยิ้ม จิวหลิงเขียนราชสาร์นฉบับนี้ด้วยตัวเองไม่ผิดแน่และในราชสาร์นก็บอกเล่าว่าตนได้จัดการอดีตฮ่องเต้ทรราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จึงส่งสาร์นฉบับนี้มาเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ เชื้อพระวงค์และคณะทูตจากต้าเฉินมาร่วมในงานพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกทั้งยังทิ้งข้อความลับไว้ในพระราชสาร์น กำชับให
เฉินอันหนิงมองท่าทีของสหายด้วยรอยยิ้ม ย้อนคิดไปถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ตอนที่ผู้คนได้รู้ว่าเหลยเซียนหนิงถอนหมั้นกับเสียนฟู่ถังแล้วก็เป็นวันที่มีงานมงคลของเสียนฟู่ถังกับฟ่านซูเซียน โชคดีที่ตอนนั้นแม่ทัพเหลยได้รับราชโองการให้ไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองถงอันทางตอนใต้ เหล่าแม่สื่อจึงยังไม่มีโอกาสเข้ามาพูดคุยทว่าหนึ่งปีก่อนแม่ทัพเหลยจิ้งเสร็จสิ้นภารกิจกลับมายังจวนในเมืองหลวง นับจากนั้นเหล่าแม่สื่อก็มายังจวนแม่ทัพบูรพาไม่หวาดไม่ไหว แม้แต่หรงฮองเฮาก็มีท่าทีอยากจะได้สหายของบุตรสาวมาเป็นพระชายารัชทายาท ด้วยไม่อยากแต่งเข้าราชวงค์ และไม่อยากเกี่ยวดองกับขุนนางที่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของผู้เป็นพี่ชาย เหลยเซียนหนิงจึงต้องสร้างเรื่อง...และเรื่องที่เหลยเซียนหนิงสร้างก็คือการจัดฉากเล่นงานองครักษ์ของสหายเช่นนาง ไม่รู้ว่าสหายผู้นี้ไปทำเช่นไรเค่อซินจึงได้ยอมให้ท่านลุงฟู่ส่งแม่สื่อไปพูดคุย ทว่าท่าทีของทั้งคู่ไม่ได้มีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเหลยเซียนหนิงบอกกับนางและเว่ยหนิงว่าการแต่งงานครั้งนี้นางได้ตกลงกับเค่อซินแล้ว
สองปีต่อมาสิ่งที่ผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ก็คือวันเวลา เผลอเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม หนึ่งวัน หนึ่งเดือน จนกระทั่งล่วงเลยไปหนึ่งปี สองปีอย่างรวดเร็วและแสนสั้นสองปี...หากจะกล่าวว่ายาวนาน มันก็ยาวนานแต่หากจะบอกว่าช่างแสนสั้น มันก็ผ่านไปรวดเร็วระยะเวลาสองปีมานี้สำหรับเฉินอันหนิงแล้วทั้งมิได้เนิ่นนาน และมิได้รวดเร็ว อาจจะเพราะนางมิได้เฝ้ารอผู้ใดจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันทั้งยาวนานและเนิ่นนาน และอาจจะเพราะนางใช้เวลาไปกับการพัฒนาแคว้นและทำการค้า วันเวลาของนางจึงเป็นเช่นนี้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที...รอบข้างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วแคว้นต้าเฉินในตอนนี้นับได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวย ราษฏรมีกินมีใช้ นักเดินทางและพ่อค้าคหบดีต่างแคว้นก็พลุกพล่านทำให้การใช้จ่ายภายในแคว้นเป็นไปได้ด้วยดีกิจการของนางที่ร่วมกับเว่ยหนิงและนายท่านแห่งหอเทียนหลินก็เป็นไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดย่านการค้าที่นางกว้านซื้อที่ดินมาสร้างให้เหมือนกับห้างสรรพสินค้าในยุคอนาคต ที่เป็นแหล
งานสถาปนาแคว้นนับเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ ชาวบ้านต่างประดับประดาบ้านช่องและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ประโคมดนตรีเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ภายในพระราชวังก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน แต่ก็จัดเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ส่วนในวันที่เหลือหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นประสงค์จะอยู่ต่อเพื่อท่องเที่ยวก็สามารถพักยังที่รับรองที่จัดเอาไว้ให้ได้ต่อเมื่อเทศกาลการเฉลิมฉลองจบลงผู้คนก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ภายในพระราชวังเองก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสงบสุข ผู้คนต่างให้คามสนใจท่าทีของจวนสกุลเจียง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในวังที่เล็ดลอดออกมาสกุลมู่ไม่นับว่าตกต่ำ แม่ทัพฟ่านรุ่งเรืองเช่นไร รองแม่ทัพและเหล่านายกองก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย สกุลเจียงคิดจะทำเช่นไรย่อมต้องดูสีหน้าสกุลมู่ให้มากเหล่าขุนนางย่อมรับรู้สถานการณ์ของสกุลเจียงมากกว่าชาวบ้าน ใต้เท้าเจียงผู้เป็นบิดาของเจียงเหิงอยู่ใต้บารมีของสกุลเถียน สนับสนุนเถียนเจาอี๋มาโดยตลอด เมื่อเถียนเจาอี๋ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นสกุลเจียงก็พลอยต
ทั้งที่ค่ำคืนนี้ภายในพระราชวังมีการแสดงแต่ผู้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงขั้นหนึ่งกลับไม่ได้อยู่ภายในพระราชวัง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับผู้คน จึงได้แอบหนีออกมานัยน์ตาหงส์ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกทอดมองสองฟากฝั่งของตลาดสายหลักในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยการประดับประดาโคมไฟก่อนจะเหลือบมองใครอีกคนที่ปกปิดใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากเสือที่ยืนอยู่ข้าง ๆคนผู้นี้นี่อย่างไร ทั้งที่ไม่ยอมรับและหาข้ออ้างใด ๆ มาพูดกับนาง แต่กลับยินยอมเดินตามนางมาเที่ยวเล่นในตลาด และในตอนนี้ยังมาเดินข้าง ๆ แทนการเดินตามหลัง...มิคิดว่าตนต่ำต้อยแล้วหรือ?“จะกลับไปหาพี่จิวหลินอีกหรือ” ทั้งที่ไม่อยากจะสอบถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็อยากจะลองถามอีกสักครั้ง เผื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเปลี่ยนใจขึ้นมาแต่ก็...ไม่เลย“กลับพะย่ะค่ะ” จิวหูตอบอย่างฉะฉาน ไร้วี่แววลังเล ต่อให้ใจห่วงทางนี้เช่นไร ทว่าก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความตั้งใจของตนได้ อย่างไรเขาก็จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะได้หวนคืนกลับสู่ที่ที่ควรอ
เฉินอันหนิงรีบก้าวไปรั้งเอาไว้ไม่ให้แม่ทัพผู้กล้าหาญคุกเข่าให้ ไม่ว่าจะเรื่องที่นี่ หรือเรื่องอีกเรือนก็เกี่ยวข้องกับเฉินซูเหมยและนาง นางหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ นางส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้แท้จริงแล้ว เกี่ยวข้องกับข้าโดยตรง ข้าไม่ควรได้รับคำขอบคุณเลย”“บอกพวกท่านตามตรง ในห้องนี้มีธูปราคะ มีคนวางแผนเอาไว้ และผู้ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริง...คือท่านแม่ทัพเหลย กับคุณหนูสักคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้”“เรื่องมันเป็นเช่นใดกันแน่อาหนิง เหยื่อจริง ๆ คือพี่ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?” เป็นเหลยเซียนหนิงที่สอบถามขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้เช่นกันเฉินอันหนิงถอนใจอีกครั้งก่อนจะบอกเล่า “เรื่องเป็นเช่นนี้...ตั้งแต่เรื่องของซูเหมยเปิดเผย สถานะของนางก็ตกต่ำลง นางจึงแค้นข้า ก่อนนี้มีข่าวลือข้ากับท่านแม่ทัพเหลย นางคิดว่าข้ามีใจให้ท่านแม่ทัพ จึงคิดทำลายวาสนา”“นางวางแผนให้ข้าพลาดท่าให้บุตรชายใต้เท้าเยี่ยซึ่งมีอนุเต็มบ้าน ขณะเดียวกันนางก็วางแผนทำให้