ความอบอุ่นอันคุ้นเคยปลุกให้เฉินอันหนิงรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างมึนงงก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความหนักอึ้งที่เปลือกตา นี่คือโลกหลังความตายเช่นนั้นหรือ ไยดูคุ้นเคยยิ่ง…
“เจ้าก้อนแป้งขี้เซาจะให้พ่อรออีกนานเพียงใดกัน” สุรเสียงอันคุ้นเคยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้นจากใกล้ ๆ เรียกให้นางต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
นั่นเสียงของเสด็จพ่อมิใช่หรือ…
ไม่เพียงแค่เสียงแต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่นางรักยิ่งกว่าผู้ใดยังมาอยู่ตรงหน้านางอีกด้วย ดวงตาของนางร้อนผ่าว เฉินอันหนิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าเสด็จพ่อในยามยังหนุ่มจะยิ้มอ่อนโยนอยู่เบื้องหน้านาง
“เสด็จพ่อ อะ” ความปิติยินดีที่ได้พบบิดาอีกครั้งชะงักกึกยามที่เอื้อนเอ่ยเรียกออกไปทว่าเสียงที่ได้ยินกลับแปลกประหลาด
“เป็นอันใดไปเจ้าก้อนแป้งน้อย ฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงร้องไห้เล่า” เฉินไท่เสียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเอ่ยถามพร้อมกับยื่นพระหัตถ์อบอุ่นมาลูบศีรษะเล็ก ๆ ของธิดาองค์โตเป็นการปลอบประโลมยามที่เห็นหยดน้ำตาเม็ดโตกำลังจะไหลอาบแก้ม
ยามพระหัตถ์คุ้นเคยของพระบิดายื่นมาสัมผัสเฉินอันหนิงทั้งสับสนและอบอุ่นในคราเดียวกัน นี่คือความอบอุ่นที่นางคุ้นเคยอย่างแน่นอย หากแต่เหตุใดสัมผัสนี้จึงคล้ายยามเด็กเล่า
ซ้ำเสด็จพ่อยังมิได้เรียกขานนางว่าเจ้าก้อนแป้งน้อยมาแสนนานแล้ว ไยจึงเรียกขานนางราวกับนางเป็นเด็กกันเล่า
ผู้คิดว่าตนอยู่ในโลกหลังความตายฉุกคิดก่อนจะก้มลงสำรวจเรือนกายของตน ไม่มีบาดแผลจากการถูกฮุยอี้แทง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ…แขนขานางก็ยังเล็กลงมากอีกด้วย
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
“ฝ่าบาท หรงกุ้ยเฟยเสด็จมาพะย่ะค่ะ” เสียงจากขันทีด้านนอกเรียกให้เฉินอันหนิงต้องมึนงงเพิ่มขึ้น หรงกุ้ยเฟยเช่นนั้นหรือ หรงกุ้ยเฟยถูกเสด็จพ่อลดขั้นเป็นเจาอี๋ไปแล้วมิใช่หรือ ในตอนที่พระนางจากไปก็ถูกเรียกขานเพียงหรงเจาอี๋ ในโลกหลังความตายเสด็จพ่อคืนตำแหน่งให้พระนางเช่นนั้นหรือ
“ให้นางเข้ามา”
“พะย่ะค่ะ” ขันทีด้านนอกรับคำสั่งก่อนที่ประตูตำหนักจะเปิดกว้างออก เฉินอันหนิงมองไปก่อนจะต้องอ้าปากค้างยามที่ร่างระหงเยื้องย่างเข้ามาภายในห้อง ท่วงท่าของสตรีในอาภรณ์หรูหราสมฐานันดรกุ้ยเฟยสง่างามและน่าเกรงขามมากกว่าอ่อนโยน แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความสูงศักดิ์ ทว่าท่าทีเหล่านั้นมิได้ทำให้เฉินอันหนิงตกใจได้เท่ากับใบหน้าของผู้เป็นกุ้ยเฟย
ใบหน้ายามนี้อ่อนเยาว์ยิ่งนัก ซ้ำมิได้ซูบผอม
ราวกับกลับไปยามที่นางยังเล็กอย่างไรอย่างนั้น
หรงซูหลาน อัครชายาตำแหน่งกุ้ยเฟยตระกูลหรงคือพระมารดาขององค์ชายสามเฉินอี้หลงที่แต่งเข้าตำหนักรัชทายาท ตั้งแต่ฮ่องเต้เฉินไท่เสียนยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท
นางเติบโตมาในตระกูลแม่ทัพซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าแท้จริงแล้วนางคือบุตรสาวอีกคนของจวนเซี่ยและยังเป็นพี่สาวต่างมารดาของเซี่ยฮองเฮา ซึ่งเป็นพระมารดาของเฉินอันหนิง
เสด็จป้าซูหลานในสายตาของเฉินอันหนิงเป็นสตรีที่งดงามไม่แพ้เสด็จแม่ และทรงสง่างามอย่างบุตรหลานตระกูลแม่ทัพหากแต่ทรงเย็นชาและเฉยชามิได้อ่อนหวานเสด็จพ่อจึงมิได้โปรดปรานนักและพระนางก็คล้ายจะมิได้รู้สึกอันใดกับกระกระทำของโอรสสวรรค์ พระนางเพียงเลี้ยงพระโอรสเงียบ ๆ โดยไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด
แต่สุดท้ายพระนางก็ถูกเฉินซูเหมยและมารดากล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายขององค์ชายใหญ่เพื่อให้โอรสได้ตำแหน่งรัชทายาทซ้ำยังมีพยานและหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุด จึงถูกลดขั้นเป็นเจาอี๋และขับไล่ไปอยู่ตำหนักเย็น ก่อนจะพระราชทานผ้าขาวในเวลาต่อมา
เฉินอันหนิงจดจำยามนั้นได้ดี ก่อนจะมีการเชิญพระราชโองการพระราชทานผ้าขาวนางคุกเข่าต่อหน้าเสด็จพ่อเพื่อไปยังตำหนักเย็นเพื่อพบผู้เป็นป้าเป็นครั้งสุดท้าย
สภาพของเสด็จป้าซูหลานที่นางได้พบเห็นซุบผอมและยังเจ็บป่วยไร้เรี่ยวแรง แตกต่างไปจากยามนี้…
ยามนี้พระนางสง่างามและเยาว์วัยมากทีเดียว
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ทรงประชวร หม่อมชั้นจึงมาเยี่ยม มิคิดว่าฝ่าบาทจะอยู่ที่นี่ด้วย” เสียงเจือความเรียบเฉยเอื้องเอ่ยหลังจากที่หยอบกายทำความเคารพผู้เป็นโอรสสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย
“เจ้าก้อนแป้งป่วยไข้ เจิ้นจะไม่มาหาได้เช่นไร”
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ประชวรเพราะพระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับสนมและพระธิดาที่ประสูตินอกวังที่เพิ่งรับเข้าวังจนลืมแม้กระทั่งสัญญาพาองค์หญิงใหญ่ไปดูงานเทศกาลนอกวังมิใช่หรือเพคะ” ประโยคที่หรงกุ้ยเฟยกล่าวมาทำเอาโอรสสวรรค์ถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เป็นประโยคที่น้ำเสียงตำหนิแต่ตัดพ้ออยู่ในทีจนพระองค์มิอาจจะโต้แย้งใด ๆ ได้
เฉินอันหนิงพยายามขบคิดด้วยใจที่สั่นระทึก นางประชวรเพราะเสด็จพ่อผิดสัญญาไปสนใจธิดาอีกคนเช่นนั้นหรือ
นี่มันเหตุการณ์ตอนที่เฉินซูเหมยและมารดาถูกรับเข้าวังมิใช่หรือ…ตอนนั้นนางเพียงเจ็ดหนาวเท่านั้น
นี่คือโลกหลังความตายจริง ๆ หรือว่านางย้อนเวลากลับมาในช่วงที่ความวุ่นวายยังมิเกินขึ้นกันนี่
นางย้อนเวลากลับมาหรือ?
แม้จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าจะเชื่อ และสับสนว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเฉินอันหนิงก็ยึดเอาความคิดนี้เป็นเหตุผลอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนางหวนกลับมาแล้ว… หวนกลับมาในวันวานที่ยังคงสงบสุขนอกจากเสด็จแม่ที่จากไปเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนยังคงอยู่และเกมชิงอำนาจก็ยังมิได้เริ่ม…มีเพียงการช่วงชิงความโปรดปรานเพื่อตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่เท่านั้นดีล่ะ ในเมื่อได้หวนกลับมาในวันคืนเก่า นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันเป็นเช่นเดิมอีกไม่มีวัน!!!นางขอเอาชีวิตใหม่เป็นเดิมพัน !“อะแฮ่ม” ปล่อยให้เงียบกันอยู่ไม่นานเฉินไท่เสียนฮ่องเต้ก็กระแอมขึ้นหลังจากที่เถียงไม่ออกมาครู่ใหญ่ บุรุษสูงศักดิ์กว่าคนทั้งแผ่นดินหันมาหาธิดาองค์โตก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พ่อยอมรับว่าพ่อผิด เจ้าก้อนแป้งยกโทษให้พ่อได้หรือไม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีก”เจ้าก้อนแป้งของโอรสสวรรค์ลอบสูดหายใจหนัก ๆ ทันทีที่คิดได้ว่าตนควรทำสิ่งใด นางเชิดหน้าบ่ายหนีพร้อมทั้งยกมือกอดอกอย่างเอาแต่ใจก่อนจะเอ่ยอย่างแสนงอน “หนิงเอ๋อร์ไม่ยกโทษให้เสด็จพ่อหรอกเพคะ เสด็จพ่อรักน้องคนใหม่มากกว่าหนิงเอ๋อร์”“โธ่ เจ้าก้อนแป้ง พ่อจะไปรักผู้ใดมากกว่าเจ้าได้”“แ
ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่
ฟู่จื่อเหยียนนั่งรอองค์หญิงตัวน้อยเงียบ ๆ โดนมิได้พูดจาใด ๆ โดยนิสัยใจคอแล้วคุณชายตระกูลฟู่นับว่าพูดน้อยและสุขุมกว่าเด็กชายในวัยเดียวกัน การที่คุณชายฟู่นั่งเงียบอยู่จึงมิใช่เรื่องชวนให้ประหลาดใจ ผู้ใดบ้างในตำหนักอันหนิงแห่งนี้มิทราบว่าแม้จะเป็นคุณชายที่สุขุมเช่นนี้หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงกลับอ่อนโยนและห่วงใยองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างยิ่ง“พี่เหยียน”“อย่าวิ่งสิพะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะทรงหกล้ม” เสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็แฝงความดุเล็กน้อย คล้ายกับยามที่เสด็จพ่อดุนาง องค์หญิงตัวน้อยยิ้มให้พร้อมกับบอกอย่างมั่นใจ“หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก ไม่อย่างแน่นอน”“ทรงมั่นใจเกินไป”“คิกคิก ท่านห่วงเกินไปแล้ว หนิงเอ๋อร์ไม่ล้มหรอก” ไม่ตรัสเปล่า องค์หญิงตัวน้อยยังทรงวิ่งไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างนึกสนุก“โธ่”“พี่เหยียนก็มาวิ่งด้วยกันสิ มา” นิ้วเล็ก ๆ เอื้อมมาจับแขนแข็งแรงก่อนจะออกแรงให้เขาวิ่งด้วย คล้ายกับทุก ๆ วัน ราวกับเด็กไร้เดียงสาวที่ในหัวมีเพียงเรื่องการเที่ยวเล่น กินและนอน ฟู่จื่อเหยียนแม้จะห่วงพระวรกายองค์หญิงน้อยทว่าก็มิได้ขัดใจคนเพิ่งหายไข้ ยอมวิ่งเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงโดยไม่อิดออดองค์หญิงเพิ่งหายไข้ มิควรขัดใจ..
เฉินอันหนิงล้มตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความหงุดหงิดลึก ๆ ไยความทรงจำไม่กลับมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเล่า จะให้นางสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับกี่ชาติกัน!มาตอนนี้ให้นางจำได้เพื่ออะไรกัน...องค์หญิงน้อยแต่ภายในผ่านร้อนผ่าวหนาวมาแล้วถึงสองชีวิตบ่นกับตนในใจอีกหลายคำก่อนจะหลับไปอีกครั้งนางฝันอีกแล้ว หากแต่มิใช่ฝันถึงตนเองที่เป็นคะนิ้ง หรือฝันบอกเหตุดั่งเช่นในชาติที่แล้ว หากแต่เป็นเหตุการณ์ต่อจากเนื้อหาในนิยายที่อ่านค้างไว้ก่อนจะไปประชุมในฝัน...เหตุการณ์หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วบุรุษอาภรณ์สีดำสนิทผู้หนึ่งโอบประคองร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้ ลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน หากแต่นางมิอาจรู้สึกใด ๆ ได้อีก“ท่านบอกว่าโตขึ้นจะแต่งให้ข้า เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่าองค์หญิง” น้ำเสียงเจือความเจ็บปวดเอ่ยตัดพ้อกับร่างไร้ลมหายใจพร้อมกับกอดเอาไว้แน่นองค์ชายสามเฉินอี้หลงข่มน้ำตาเอาไว้มิให้หลั่งรินออกมาพลางมองด้วยความฉงน มิรู้เลยว่าเหตุใดชายผู้นี้จึงได้ผลักเขาออกและโอบกอดร่างพี่สาวของเขาเอาไว้อย่างหวงแหนเช่นนั้น ทว่าเขาเองก็มิอาจให้เป็นเช่นนี้ได้จึงกลั้นใจเอ่ยขึ้น “สหาย ข้าขอพี่สาวข้าคืนเถิด ข้าอยากให้นางได้ไปอ
เฉินอันหนิงตระหนักได้ว่ามิควรเปลี่ยนแปลงการเรื่องราวของพี่เหยียน ในเมื่อนางเองก็หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่เจอ และหากช่วยเหลือพี่เหยียนให้อยู่ข้างกายต่อไปรังแต่จะทำให้เขาเป็นอันตราย เช่นนั้นก็ให้เขาไปพบเจอเรื่องราวข้างนอกเพื่อเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเขาก็แล้วกัน...หากแต่บทสรุปสุดท้ายนางมิอาจยินยอมให้เป็นเช่นในฝันได้จะให้พี่เหยียนผู้นั้นมาตายตามนางได้อย่างไรในเมื่อชาตินี้นางจะไม่ตายเปลี่ยนการออกจากแคว้นไปของพี่เหยียนไม่ได้ เพื่อตัวของเขาเองก็ไม่เป็นไรแต่นางปรับแก้สถานการณ์อื่นมิให้ต้องพบจุดจบเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่แก้ไขเล็กน้อย...คงมิเป็นอันใด“แล้วจะแก้เรื่องใดกัน”นางพึมพำเพียงลำพังได้ไม่นานอี้กงกงก็เข้ามาโค้งคำนับและรายงาน “องค์หญิง ฉินกงกงมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”“ให้เข้ามา”“ฉินกงกง!” องค์หญิงน้อยกระโดดมาหาคนมาใหม่ทันทีอย่างคุ้นเคย แม้ว่าจะทำให้ผู้มีอายุใจหายใจคว่ำไปไม่น้อยเพราะเกรงว่าจะหกล้มก็ตาม ฉินกงกง ขันทีอาวุโสจากตำหนักชินอ๋องโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน “วันนี้ชินอ๋องมาเฝ้าไท่เฟย จึงให้ข้าน้อยนำถังหูลู่และขนมกุ้ยฮวาจากร้านประจำมาถวายองค์หญิงพะย่ะค่ะ”“เส
“เสด็จพ่อ!!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดาฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ “นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง” “เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุ
“เสด็จพี่หญิงมาเล่นกับเสี่ยวหลงหรือพะย่ะค่ะ” เจ้าตัวน้อยร้องถามทันทีทั้งยังไม่ยอมปล่อยเชษฐาภคินีที่เสด็จแม่พร่ำบอกเสมอว่าให้รักและเชื่อฟังให้มากองค์หญิงน้อยอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบในทันที “ใช่แล้ว พี่มาเล่นกับเสี่ยวหลง”“ท่านลุงฟู่ก็มาเล่นกับเสี่ยงหลงด้วยหรือขอรับ”ในบรรดาโอรสธิดาของฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงองค์หญิงใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามเท่านั้นที่คุ้นเคยกับฟู่เสวียนจนเรียกขานว่าท่านลุงฟู่ ฟู่เสวียนที่ติดตามฮ่องเต้ไท่เสียนแวะเวียนมาหาโอรสธิดาอยู่บ่อยครั้งไม่เพียงกับโอรสมังกรแต่ยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักดุจบุตรของตน ทว่าหลัง ๆ ราชกิจฮ่องเต้รัดตัว ซ้ำวังหลังไม่มีเซี่ยฮองเฮาคอยเป็นผู้แบ่งเบาให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายแล้ว จึงไม่บ่อยนักที่ฟู่เสวียนจะได้พบกับองค์หญิงองค์ชาย โอรสธิดาองค์อื่นต่างก็ยังไม่รู้ความจึงมีเพียงแค่สามพระองค์นี้เท่านั้นที่ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงฟู่ทว่าต่อให้เสียงเรียก
หรงกุ้ยเฟยจ้องลึกเข้าไปในดวงตามุ่งมั่นของหลานสาวก่อนจะถอนใจ สองปีก่อนหลังจากที่น้องสาวของนางจากไปในวังมีสนมชายาช่วงชิงความโปรดปรานกันนับไม่ถ้วน ผู้มีบุตรก็ใช้บุตรเป็นสะพาน ผู้ใดไม่มีก็ทำทุกทางเพื่อจะได้ตั้งครรภ์มังกร ทว่านางไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้น ตำแหน่งฮองเฮาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องการฮองเฮาผู้เดียวในใจฮ่องเต้ไท่เสียนมีเพียงเซี่ยฮองเฮาเท่านั้น จะแย่งชิงกันไปก็เท่านั้น สองปีมานี้องค์หญิงใหญ่อยู่ในตำหนักอันหนิงได้รับความดูแลจากฮ่องเต้โดยตรงก็เพราะไม่ต้องการให้องค์หญิงถูกผู้ใดใช้เป็นเครื่องมือปีนขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา และตัวองค์หญิงเองก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดขึ้นมาแทนที่มารดา แม้แต่นางที่เป็นป้า แล้ววันนี้...“เด็กน้อยเช่นเจ้า เหตุใดจึงกล่าวเรื่องเช่นนี้”“เสด็จป้าหนิงเอ๋อร์รู้ความกว่าที่ท่านคิด มีแค่ท่านเป็นฮองเฮา พวกเราถึงจะปลอดภัย โดยเฉพาะเสี่ยวเซวียนกับเสี่ยวหลง...ท่านเป็นฮองเฮาเถอะ”“เด็กน้อยเอ๋ย คลื่นลมในวังหลัง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหลี่ซูเฟยคือผู้ที่เสด็จพ่อของเจ้าโปรดปรานที่สุด นางงดงามเพียงนั้น ไหนเลยจะช่วงชิงความโปรดปรานมาได้ ไหนจะเจาอี๋จากนอกวังที่เข้ามาพร้อมกับบุตรสาวนั่นอีก ได้ยินว่านาง
“เจ้ายอมเรียกข้าว่าพี่แล้ว?” ผู้ถูกเรียกขานว่าพี่จิวทั้งที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากให้เรียกก่อนเอ่ยถาม สีหน้าแสดงออกชัดเจนถึงความเอ็นดูและยินดีที่อีกฝ่ายยินยอมเรียกเฉินอันหนิงที่ไม่มีพี่ชาย ใช่ว่าจะไร้เยื่อใยกับคนตรงหน้าไปเสียทุกเรื่อง นางเองก็อยากมีพี่ชายเช่นกัน ไม่มีเหตุอันใดต้องปฏิเสธ “พี่จิวหลิง ข้ายอมเป็นน้องสาวท่าน ทั้งยังจะมอบยอดฝีมือให้ท่านอีกสิบห้าคนเพื่อช่วยเหลืองานของท่าน วันหน้าเฉินและไห่ถือเป็นพันธมิตร”“เจ้าปูทางให้น้องชายผู้ใด หานอ๋อง?” อดีตซื่อจื่อสอบถามพลางเลิกคิ้ว ไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่อีกฝ่ายยอมเป็นน้องสาวก็เพื่อเป็นพันธมิตรในอนาคต เพียงแต่เขาไม่รู้ว่านางปูทางให้น้องชายคนใด ข่าวว่าราชวงค์ต้าเฉินมีองค์ชายอยู่หลายองค์ หรือคนที่เขาเพิ่งกวนโทสะมาคือคนที่นางเลือกเป็นเช่นนั้นเขากลับไปขอโทษดีหรือไม่ อนาคตจะได้เป็นพันธมิตรอย่างราบรื่นทว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินกลับส่ายหน้า “ไม่ เขาอยากเป็นแม่ทัพ มิใช่ฮ่องเต้”“แล้วผู้ใดจะได้เป็นฮ่องเต้?&
การพูดคุยไม่อาจเนิ่นนานเมื่อเฉินอันหนิงก้าวเดินมาพร้อมกับเค่อซาน ใบหน้าขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไร้อารมณ์จนน่าประหลาด เค่อซุนหันกลับมาสนใจนายของตนในทันที“เกิดอันใดขึ้นอาซาน?”“หานอ๋องกับท่านจิวหลิงน่ะสิพี่ซุน ผู้หนึ่งกวนโทสะอีกผู้หนึ่งก็หลงกลจนเกิดโทสะ ลับฝีปากกันอยู่ด้านโน่นแหน่ะ” เค่อซานบอกเล่าเท่านั้นก็เป็นอันเข้าใจ เท่าที่สัมผัสได้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าจิวหลิงเป็นคนชอบกวนโทสะผู้อื่น แม้แต่องค์หญิงเองก็ถูกก่อกวนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอและหากจะมีผู้ใดเข้าใจถ่องแท้ที่สุดย่อมต้องเป็นจิวหูที่รู้จักพี่ใหญ่ของตนดีที่สุดบุรุษหน้ากากพรั่งพรูลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดิน ไม่ได้มีคำชักชวนหรือแม้แต่คำกล่าวใด ๆ ทว่าเฉินอันหนิงกลับก้าวเดินตามพร้อมกับส่งสัญญาณให้องครักษ์ทั้งสามเว้นระยะห่างออกไปสตรีสูงศักดิ์จับจ้องมองตามแผ่นหลังแข็งแกร่งที่คล้ายคุ้นเคยขณะที่ก้าวเดินตาม นัยน์ตาคู่หงส์เต็มไปด้วยความสงสัยที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และต้องการจะหาคำตอบนั้นให้ได้ยิ่งมอง นางก็ยิ่งคิ
“คุยเรียบร้อยแล้วหรือ” เป็นจิวหลิงที่เห็นนางเป็นผู้แรกเมื่อนางก้าวออกมา เฉินอันหนิงก้าวเข้าไปหาพวกเขาที่ยังคงยืนอยู่ด้วยกันมิได้แยกกันไปไหน แม้แต่เฉินซีหานและองครักษ์ของนางก็ยังอยู่“เรียบร้อยแล้ว”“จิวหลิง...อาจารย์ของท่านรู้เรื่องที่ผู้อื่นไม่อาจรู้หรือ?” แม้จะรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องก็ตอบยาก แต่สุดท้ายนางก็ยังสอบถามจิวหลิงออกไปตามที่ไต้ซือเหว่ยเสิ่นชี้ทาง “เขาหยั่งรู้ฟ้าดินเช่นนั้นหรือ?”“จะเรียกว่าหยั่งรู้ฟ้าดินก็คงได้ อาจารย์ของข้าเพียงแค่มองหน้าก็รู้ถึงอดีตและอนาคตของผู้คน” จิวหลิงตอบอย่างไม่ปิดบัง รู้ ที่หมายถึงรู้อดีตและอนาคตของผู้คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องและมีวาสนาต่อกันดั่งเช่นพวกเขา อาจารย์รู้เรื่องราวของผู้คน แต่ไม่อาจบอกได้เกี่ยวกับอนาคตและอดีตของพวกเขาศิษย์พี่น้องรวมถึงบิดาและมารดาของท่านเอง แต่ก็ยังเรียกว่าหยั่งรู้กระมัง“เหตุใดจึงรู้”“จะว่าอย่างไรดี...สืบทอดมาจากทางสายเลือดน่ะ ข้าเองก็ไม่อาจอธิบายได้” เขาตอบเท่านั้นก่อนจะโบ้ยไปให้ศิษ
อารามซินหนี่จากที่พักของทางการมายังอารามซินหนี่ไม่นับว่าไกล ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง นัยน์ตาคู่หวานกวาดสายตามองไปเบื้องหน้าในทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า ท่าทีของนางนับว่าสงบนิ่งทว่าภายในใจกลับมีความตื่นตระหนก ครุ่นคิดถึงความฝันที่นางเคยคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับฝันบอกเหตุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะฝันเห็นน้องชายถูกชายสวมหน้ากากปริศนาทำร้ายนางฝันถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เพราะที่แห่งนั้นคล้ายกับอารามซุยหลิงนางจึงทึกทักว่าตนฝันเห็นอารามซุยหลิงจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ทว่าในเวลาได้เห็นอารามซินหนี่แห่งนี้...นางไม่อาจไม่สนใจที่นี่คล้ายกับอารามซุยหลิงไม่มีผิด แทบจะเรียกได้ว่าฝาแฝดเลยด้วยซ้ำ เป็นไปได้อย่างไรกัน“ช่างคล้ายเสียจริง” เสียงพึมพำจากด้านหลังฉุดดึงให้เฉินอันหนิงตื่นจากภวังค์ความตกใจ นางหันกลับไปมองก่อนจะต้องขมวดคิ้ว เป็นเสียงจากบุรุษสวมหน้ากากที่ทอดสายตามองเบื้องหน้าด้วยดวงตามีประกายสั่นไหว หากดูไม่ผิดคล้ายว่าจะมีความเจ็บปวดในตาคู่นั้น“คล้ายอันใดหรือ” จิวหลิงที่ยืนอยู่ข้างกันส่งเสียงถาม คล้ายฉุดดึงสติของจิวหูให้กลับมา บุรุษหน้ากากส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะตอบปัด“ไม่มีอันใดพี่ใหญ่ ข้าเพียงพูดไปเช่นน
เพราะรับปากว่าจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ จิวหลิงจึงพยายามตีสนิทกับหานอ๋องขณะที่จิวหูนั้นหายหน้าหายตาไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวใด ๆ ราวกับว่าต้องการหลบหน้าก็ไม่ปาน ใช่ว่าเฉินอันหนิงจะมองไม่เห็นท่าทีที่ผิดปกติของบุรุษสวมหน้ากาก ทว่านางก็ไม่ได้สอบถามใด ๆไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจอ นางมิได้สนใจคนเช่นนั้นอยู่แล้ว“พี่ใหญ่” หานอ๋องส่งเสียงเรียกพี่สาวที่หลายวันมานี้ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ พี่สาวของเขามักจะมาเดินเล่นที่ลานหน้าห้องพักของบุรุษหน้ากากอยู่บ่อยครั้ง...ไม่รู้ว่าลานตรงนี้งดงามหรือต้องการรอพบผู้ใดกันแน่“มีเรื่องอันใดเสี่ยวหาน หรือจะไปปราบโจรแล้ว”“ข้าจะไปพรุ่งนี้ วันนี้จึงคิดจะพาท่านไปเดินเล่นในตลาดก่อน”“เดินเล่นในตลาดหรือ...เช่นนั้นเราไปไหว้พระด้วยดีหรือไม่ ข้าอยากไหว้พระ” นางถามออกไป ทว่าก็รู้แก่ใจดีว่าไม่มีน้องคนใดขัดใจนาง หานอ๋องก็เช่นกัน“เอาสิ ท่านอยากไปที่ใดข้าย่อมตามใจท่าน”“เด็กดีของข้า”&ld
“อยากฟังนิทานหรือไม่ ข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง” อยู่ ๆ จิวหลิงก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนต่างฝ่ายก็ต่างเงียบมาครู่ใหญ่ เขาไม่รอให้นางตอบก็รินสุราให้นางและเริ่มเล่านิทานที่ตนเตรียมเอาไว้“เด็กผู้ชายผู้หนึ่ง เติบโตมาในบ้านหลังใหญ่ ผู้เป็นพ่อคือว่าที่ประมุขคนต่อไป แต่ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะได้สืบทอดตำแหน่งก็ถูกผู้ละโมบไล่เข่นฆ่าเพื่อช่วงชิงตำแหน่ง เด็กชายได้แต่หอบความแค้นนั้นพาน้องชายหนีตาย เพื่อหวังว่าวันหน้าจะกลับมาแก้แค้นและทวงคืน”“ไม่รู้ปลายทาง ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปถึงวันนั้นหรือไม่ แต่ก็สู้อย่างเต็มที่ เขาเดินทางไกลเพื่อมาขอเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาที่โด่งดัง ได้เป็นศิษย์ที่เก่งกาจผู้หนึ่งของสำนัก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าวันหน้าจะแก้แค้นและทวงคืนได้หรือไม่ แม้ว่ามีอาจารย์ที่ล่วงรู้ฟ้าดิน แต่ชะตาของเขาอาจารย์กลับไม่อาจบอกได้”“เสี่ยวหนิง การที่เจ้ามีฝันบอกเหตุมันดียิ่ง หากเปลี่ยนกันได้ ข้าก็อยากจะแลกเปลี่ยนกับเจ้า อยากจะรู้ล่วงหน้าเพื่อช่วยเหลือบิดามารดาเอาไว้”
เพราะได้รับการรักษาจากศิษย์จากสำนักเฟยผิง เพียงชั่วข้ามคืนพิษก็ถูกขจัดออกจนหมด บาดแผลตามร่างกายแม้ว่าจะไม่ได้สมานชั่วพริบตาแต่การเคลื่อนย้ายไปรักษาในเมืองก็ทำได้โดยไม่ติดปัญหาอะไรแล้ว ประจวบเหมาะกับเค่อซินเดินทางมาถึงเมื่อกลางดึก เฉินซีหานจึงทิ้งองครักษ์คนสนิทเอาไว้คอยดูแลจนกว่าสตรีผู้นั้นจะฟื้นและออกเดินทางในเช้าวันนั้นการเดินทางสู่เมืองซินอู๋เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียเวลาไปสามวัน การเดินทางจึงต้องรีบเร่งขึ้น ทำให้กองทหารของหานอ๋องถึงเมืองซินอู๋ตามกำหนดการเดิม แม้ว่าเพื่อให้เดินทางถึงตามกำหนดทุกคนจะต้องเร่งรีบจนไม่หยุดพักเมื่อใกล้ถึงเมืองซินอู๋ก็ตามหลายวันมานี้เฉินอันหนิงแทบไม่ได้คุยกับสองสหายที่เพิ่งได้รับรู้ว่าเป็นถึงศิษย์ของสำนักศึกษาอันโด่งดัง อันเนื่องมาจากเจ้าลูกเจี๊ยบคอยตามประกบนางไม่เปิดโอกาสให้พูดจากับสหายสักเท่าไหร่ เมื่อถึงเมืองซินอู๋และนำกำลังทหารเข้าพักที่จวนรับรองของที่ว่าการเมืองเป็นที่เรียบร้อย นางจึงอาศัยจังหวะที่เฉินซีหานหารือกับนายอำเภอและผู้ว่าการเมืองหลบออกมาหาจอมยุทธทั้งสอง“พวกท่
เวลาค่ำคืนไม่นับว่าเงียบสักเท่าไหร่ เชื้อพระวงค์ทั้งสองของต้าเฉินเข้าไปพักผ่อนกันแล้ว แม้แต่เหล่าองครักษ์และทหารก็หาที่นอนพักกันแทบจะทั้งหมด ทว่าสหายชาวยุทธขององค์หญิงกลับไม่ได้พักผ่อนดั่งคนอื่น ๆ ในตอนแรกบุรุษทั้งสองจะแยกย้ายกันไปพักทว่ากลับได้กลิ่นสมุนไพรจากกระโจมคนไข้เสียก่อน จิวหลิงจึงอดไม่ได้ที่จะขอตรวจอาการของคนไข้สตรีที่หานอ๋องช่วยเหลือเอาไว้ถูกพิษที่หมอหลวงที่ติดตามมาไม่สามารถปรุงยาถอนพิษได้ ทำได้เพียงรักษาให้บรรเทา สองชาวยุทธจึงอาสาต้มยาถอนพิษให้กับแม่นางผู้เคราะห์ร้ายว่ากันว่าสำนักศึกษาเฟยผิงเป็นสำนักศึกษาที่สอนสั่งทั้งวรยุทธ กำลังภายใน วิชาการปกครอง วิชาการทหาร วิชาแพทย์ และวิชาพิษ นับเป็นสำนักศึกษาที่สิบแคว้นต่างปรารถนาให้ลูกหลานได้เข้าเรียนที่นั่น เพียงแค่แนะนำตัวว่าตนเป็นศิษย์จากสำนักเฟยผิง แม้แต่ราชสำนักยังต้องไว้หน้า และพวกเขาทั้งสองก็เป็นศิษย์จากสำนักแห่งนั้นที่น้อยคนนักจะได้เข้าร่ำเรียนไม่ใช่เพียงแค่เฉินอันหนิงที่ปิดบังสถานะของตน บุรุษทั้งสองเองก็ไม่ได้เปิดเผยทั้งหมดเช่นกัน พวกเขาเป็นศิษย์
เมื่อเค่อซานมาถึงก็เริ่มการเดินทางต่อ ออกจากตัวอำเภอไม่ใกล้ไม่ไกลก็ถึงจุดที่เฉินซีหานตั้งค่ายทหาร น้องชายผู้นั้นไม่รู้ตกใจที่เห็นนาง หรือตกใจที่นางนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับบุรุษถึงได้อ้าปากค้างไป และไม่ทันที่เขาจะได้พูดอันใดนางก็ยื่นม้วนคำสั่งสีทองให้เขา“ข้าไม่ได้ตามเจ้ามานะ ข้าจะไปหาเสด็จอา” องค์หญิงอันหนิงเอ่ยคล้ายบอกเป็นนัย ๆ ว่านางไม่ได้ดื้อดึงตามเขามานะ นางมีสิ่งที่ต้องทำจึงได้มา และแค่บังเอิญเป็นเส้นทางเดียวกันเท่านั้น ม้วนสีทองที่นางไม่ได้เรียกว่าราชโองการแต่เป็นข้ออ้างถูกรับไปอ่านเป็นที่เรียบร้อย แล้วมีหรือเฉินซีหานจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงข้ออ้างผู้ใดสามารถข่มขู่ทำให้ฮ่องเต้ออกราชโองการได้...ก็คือองค์หญิงใหญ่อย่างไรเล่า“มันคือข้ออ้าง ท่านให้เสด็จพ่อหาข้ออ้างให้ท่าน”“เจ้าจะรู้มากไปแล้วเสี่ยวหาน” ถูกน้องชายรู้ทันใช่ว่านางจะสลด นางเพียงบ่นให้ก่อนจะรับม้วนคำสั่งกลับมาเก็บเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงข้ออ้าง แต่คนทั่วไปก็เห็นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จะวางทิ้งวางขว้างก