ในชาติก่อน ซูชิงลั่วเป็นบุตรสาวของเศรษฐีอันดับหนึ่งในจินหลิง แต่เนื่องด้วยบิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก นางจึงจำใจต้องไปพึ่งพาครอบครัวฝั่งยายของนางที่อยู่ในเมืองหลวงและถูกให้หมั้นหมายกับลู่เหยียนที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง คิดไม่ถึงว่าลู่เหยียนจะแอบซุกเมียน้อยเอาไว้ ทำให้นางต้องตายทั้งกลม ในชาตินี้ ซูชิงลั่วตัดสินใจแน่วแน่ที่จะถอนหมั้นกับลู่เหยียน แต่กลับถูกน้าหญิงของเธอบังคับให้ต้องแต่งงานกับคนเลวอีก ในขณะที่นางกำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดี ลู่เหิงจือ อัครมหาเสนาบดีก็เสนอให้นางแต่งงานหลอกๆ กับเขา ชาวเมืองหลวงทุกคนต่างรู้ว่า ลู่เหิงจือเป็นคนเยือกเย็นและหยิ่งทะนง จิตใจโหดเหี้ยม ไม่ใกล้ชิดสตรี มีข่าวลือว่าเคยมีสาวใช้คนหนึ่งพยายามให้ท่าเขา แต่กลับถูกเขาสั่งประหารในทันที ลู่เหิงจือกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า "เราสองคนต่างก็แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า" ซูชิงลั่วหมดหนทาง ได้แต่กัดฟันยอมรับข้อเสนอ คิดไม่ถึงว่าหลังจากแต่งงานไปได้ไม่นาน ลู่เหิงจือกลับกอดนางไว้ในอ้อมแขน บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างชวนฝัน นางพูดเสียงหลง "ไหนบอกว่าแต่งกันหลอกๆ อย่างไร..." ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว "ก็แค่ทำให้เรื่องหลอกกลายเป็นเรื่องจริง จะเป็นไรไป?"
View Moreทหารเป่ยตี๋บุกเข้ามาใกล้ตัวเมืองแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลู่เหิงจืออยู่ไม่ไกลจากนางแล้วซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก นางนอนต่อไม่ได้แล้วในยามนี้ภายในใจของนางมีเพียงความคิดเดียวคือหวังว่าลู่เหิงจือจะปลอดภัยนางลูบท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเวลานี้ลูกน้อยในท้องกลับกำลังปลอบใจนางและมอบความกล้าให้กับนางอยู่ ทำให้จิตใจของนางค่อยๆ สงบลงได้หลังจากนั้นไม่นาน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนเมื่อครู่เด็กในท้องจะขยับตัวเล็กน้อยนางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่สักพัก ทว่าพลันกังวลว่าตนจะคิดไปเอง จึงลูบท้องอีกครั้งแล้วพูดเบาๆ "ลูกน้อย เมื่อครู่เจ้าขยับใช่หรือไม่ หากเป็นเจ้าจริง เช่นนั้นก็ช่วยถีบแม่อีกสักที"หน้าท้องเกิดความรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสเบาๆ อีกครั้ง ราวกับปลาตัวน้อยที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำพลิกตัวอย่างกะทันหันเรี่ยวแรงนั้นเบายิ่งนักภายในใจนางเกิดความรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งสัญชาตญาณบอกนางว่าความรู้สึกปลาบปลื้มดีใจนี้จะคงอยู่ไปแสนนาน*กองทัพเป่ยตี๋บุกเข้ามาวันแรกก็ต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่าทหารทัพใหญ่กำลังจะเข้ามาสมทบที่เมืองหลวง จึงพยายามจะรีบบุ
อวี๋ซื่อชิงยิ้มเยาะกับตัวเอง : "ท่านพูดถูก"แต่เขาพูดต่อ : "อย่างไรข้าก็อยากรู้"ดวงตาคู่นั้นของเขาสว่างชัดเจน ราวกับจะต้องรู้คำตอบให้ได้ถึงจะยอมเลิกราซูชิงลั่วสบตาเขาด้วยความสงบนิ่ง : "ไม่ ข้าไม่เคยมีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงกับใต้เท้า ต่อให้ไม่มีลู่เหิงจือ ข้าก็จะไม่แต่งกับใต้เท้า"ราวกับมีดเล่มหนึ่งกรีดลงกลางใจของเขาทั้งเจ็บปวด แต่ก็รู้สึกโล่งใจบรรยากาเงียบสงัดไปสักพักอวี๋ซื่อชิงหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้าราวกับได้รับการปลดปล่อยแล้ว : "ข้าเข้าใจแล้ว"ซูชิงลั่วตอบ : "ใต้เท้าจะต้องได้พบกับบุพเพสันนิวาสของตนเจอเป็นแน่"อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างตรงไปตรงมา : "ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน"ในเมื่อถามจนรู้เรื่องแล้ว เขาจึงไม่ได้วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก : "หลังจากนี้ ข้าจะไปเฝ้าประตูเมืองกับติ้งอ๋อง ท่านแม่ของข้าอยู่บ้านตัวคนเดียว ข้าไม่ค่อยวางใจ ไม่รู้ว่าจะรับนางมา ให้ท่านช่วยดูแลสักหน่อยได้หรือไม่"ซูชิงลั่วพยักหน้า : "ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ขอบคุณที่ใต้เท้าช่วยเหลือข้าเอาไว้ ยามนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าย่อมเต็มใจ"อวี๋ซื่อชิงเอ่ยขอบคุณ ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพียงแค่หันหลังเดินจากไป
ลู่จือเก็บถุงผ้าที่นางเฉียนโยนลงบนพื้นขึ้นมาเมื่อคาดว่าบ่าวคงออกประตูไปหมดแล้ว ลู่จือจึงอดพูดไม่ได้ว่า "เจ้าพูดบ้าอะไร พวกเราต้องมาทะเลาะกันยามนี้ทำไม?"นางเฉียนกะพริบตาให้เขาและเอ่ยเสียงเบาว่า "ชิงลั่วก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน"ลู่จือนิ่งอึ้งไป แล้วเดินเร็วไปหานาง "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?""ชิงลั่วบอกกับข้าว่าลูกในท้องของนางว่าเป็นของเหิงจือ ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่ต้องการแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น"ลู่จืองงงวย "นี่มันอะไรกันเนี่ย""แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ" นางเฉียนลดเสียงลงและเอ่ยว่า "ชิงลั่วบอกว่าเหิงจือจะกลับมาแล้ว นั่นหมายความว่า......นี่อาจจะเป็น......"นางหยุดชะงักและไม่กล้าเคาเดาไป นางเอ่ยว่า "แต่เมื่อชิงลั่วยังไม่ไปแสดงว่าในเมืองหลวงก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น คนที่นางติดต่อด้วยย่อมรู้มากกว่าที่ลู่โย่วเสียอีก"ลู่จือเอ่ยว่า "แต่ฮ่องเต้ก็......"นางเฉียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง นางจึงเอ่ยว่า "ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ต้องการจะให้ชิงลั่วแต่งออกไปที่เป่ยตี๋ เจ้าว่าเหิงจือจะ.....หรือไม่"นางหมดคำพูดลู่จือเพิ่งจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด“สิ่งที่เจ้าพูดน่ะ เป็นความ
นางเฉียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะอะไรกันเนี่ย?นางไม่ได้จะแต่งงานกับคนอื่นแล้วหรือ? ทำไมถึงยังเรียกเขาว่าเหิงจืออีกล่ะ?เหิงจือไม่อยู่เมืองเหลียวหรอกหรือ? ทำไมถึงกลับมา?แล้วก็ได้ยินซูชิงลั่วเอ่ยว่า “หากแม่จะไป ก็อย่าไปไกลนัก เประดี๋ยวจะเหนื่อยกับการเดินทางไปมา”นางยังเรียกนางว่าแม่!นางเฉียนหัวใจเต้นเร็วมาก รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก คำใบ้ของซูชิงลั่วชัดเจนเกินไปนางจึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ากับเหิงจือ.......”ยามนี้ฮ่องเต้ก็จากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้วนางพยักหน้ายิ้ม “เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา ก่อนหน้านี้ทำไปเพื่อปกป้องตนเอง”นางเฉียนเข้าใจทันที นายเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”นางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนลู่จือยังคงเก็บของอยู่ แต่เมื่อเห็นนางเฉียนก็รีบพูดขึ้นมาว่า “รีบเตรียมตัวให้พร้อม อีกหนึ่งชั่วยามเราต้องออกเดินทางแล้ว”นางเฉียนพยักหน้าด้วยความสับสน และเมื่อนึกถึงคำพูดของซูชิงลั่วชั่วครู่ ก็รู้สึกลังเลใจอยู่บ้างขณะนี้เอง บ่าวข้างกายของลู่โย่วก็เดินเข้ามาและเอ่ยว่า “ท่านรองบอกว่าจะเดินทางไปด้วยกัน และระหว่างทางก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ขอเงินจากท่านใ
เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งงานแล้ว อวี๋ซื่อชิงจงใจพูดออกมาเพื่อให้ติ้งอ๋องได้ยินเท่านั้นเซี่ยถิงอวี่ไม่ได้ตอบสิ่งใดอีกเลยแต่ก็ต้องยอมรับว่า อวี๋ซื่อชิงเป็นคนเก่งเรื่องการทำให้คนอื่นโกรธเขารู้สึกอยากเห็นลู่เหิงจือกลับมาแล้วโกรธแค้นเสียเหลือเกินชั่วครู่ เขาก็ตบไหล่อวี๋ซื่อชิงเบาๆ “ไปเตรียมตัว”อวี๋ซื่อชิงพยักหน้าแล้วหันหลังจากไปเมฆดำครึ้มลอยต่ำอยู่เหนือวังหลวงเเซี่ยถิงอวี่ยกชายผ้าขึ้นแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า รู้สึกเหมือนลมพัดโชยเย็นยะเยือกราวกับนักรบที่กำลังจะจากไปขี่ม้ากลับวังอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบพุ่งไปยังห้องของเมิ่งชิงไต้บ่าวในจวนต่างประหลาดใจ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา นอกจากวันแต่งงาน ติ้งอ๋องไม่เคยเข้ามาในห้องของเมิ่งชิงไต้เลยวันนี้เกิดอะไรขึ้น?เซี่ยถิงอวี่ผลักประตูเข้ามาเมิ่งชิงไต้กำลังถือดาบเช็ดอยู่ช้าๆ ด้ามดาบยังคงเปล่งประกายระยิบระยับนางเงยหน้าสบตาเขา"ท่านอ๋องเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว?""ใช่" เซี่ยถิงอวี่ตอบ "แต่เจ้าสามารถออกจากเมืองหลวงพร้อมกับซิ่นกั๋วกงได้ เพราะการจะใช้ทหารสองหมื่นนายป้องกันเมืองหลวงสามวัน ข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก"ในจดหมา
โฉวกว่างเอ่ยว่า “ได้ยินว่าใต้เท้านำทัพจากเซวียนเฉิงแปดหมื่นนายไปช่วยเมืองเหลียวด้วยตัวเอง”เป็นเช่นนั้นนี่เองซูชิงลั่วรู้สึกโกรธจัดจนแทบอาเจียนอาหารที่เพิ่งกินไปออกมานางคิดว่าลู่เหิงจือคงจะทั้งโกรธและเสียใจ แต่ไม่คิดว่าลู่เหิงจือจะยอมเสี่ยงขนาดนี้ และไม่ยอมให้นางแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงคำพูดที่ว่าจะใจเย็นและเด็ดขาดเป็นเพียงการแสดงล้วนๆ ใช่หรือไม่?จื๋อหยวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงรีบนำน้ำมาให้นางกลั้วปากซูชิงลั่วสงบสติอารมณ์ลง แล้วเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “โฉวกว่าง เจ้าไปหาติ้งอ๋อง แล้วบอกว่าเจ้าต้องการจะไปหาลู่เหิงจือโดยเร็ว”โฉวกว่างตกตะลึง “แต่ว่าใต้เท้าไม่ได้อยู่ที่เมืองเหลียวหรอกหรือ”น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้หรอกซูชิงลั่วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไปประเดี๋ยวนี้”โฉวกว่างไม่กล้ารอช้า รีบกลับไปยังจวนติ้งอ๋องแต่ยามนี้ติ้งอ๋องกลับอยู่ในวังหลวงฮ่องเต้เมื่อได้ยินว่ากองทัพเป่ยตี๋กำลังจะบุกถึงเมืองหลวง จึงรีบเรียกขุนนางเข้ามาหารือในวังหลวง"เป่ยตี๋ใกล้มาถึงแล้ว ใครจะนำทัพ?"ในท้องพระโรงเงียบกริบฮ่องเต้หันมองฉีอ๋อง ฉีอ๋องคุกเข่าลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ลูกไร้ความสามารถ"การอ
กลางดึกติ้งอ๋องอ่านจดหมายจากลู่เหิงจือเสร็จก็ถอนหายใจเสียงเบา"ลู่เหิงจือช่างกล้าเกินไปแล้ว"เหยาชั่วโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ "ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาต้องหลงใหลในความงามแน่นอน"เซี่ยถิงอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเคาะโต๊ะเบาๆ โดยไม่ตอบเหยาชั่วเอ่ยว่า "ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อมีท่านคอยดูแลเมืองหลวง ลู่เหิงจือจะกลัวอะไรอีก ก็แค่แต่งงานปลอมๆ ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้หย่าร้างยังไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลย แต่งงานปลอมๆ จะอะไรนักหนา องครักษ์ลับรับรองว่าอวี๋ซื่อชิงเข้าใกล้ห้องของนางซูไม่ได้แน่นอน"เหยาชั่วแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้วก็ได้ยินเซี่ยถิงอวี่กระซิบว่า "ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้"เหยาชั่ว " ? ""เจ้าบ้าไปแล้วรึ"เซี่ยถิงอวี่ยิ้ม "แผนการนี้ ประการแรกสามารถทำลายล้างเป่ยตี๋ได้ ประการที่สอง สามารถช่วยให้ข้าขึ้นครองราชย์ได้ และประการที่สาม สามารถทำให้ลู่เหิงจือรีบกลับมายังเมืองหลวงได้ เพื่อไม่ให้นางซูแต่งงานกับผู้อื่น ถือว่าคุ้มค่ามาก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว แม้ว่าจะเสี่ยงก็ตาม"*เมืองเซวียนเฉิงปกคลุมไปด้วยหิมะอีกครั้งค่ายทหารบรรยากาศแปลกๆ ทหารทุกคนรู้สึกว่าช่วงนี้บรรยากาศผิดปกติไปรา
แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น เขาก็ได้ทราบสาเหตุทั้งที่เมืองหลวงอยู่ไกล แต่ข่าวก็ค่อยๆ ลือไปถึงเซวียนเฉิง ทำให้ทุกคนมองมาที่ลู่เหิงจือด้วยสายตาเห็นใจยิ่งนักไม่เพียงเห็นใจ แต่รองแม่ทัพยังพยายามหาทางให้เขาคลายเศร้า ด้วยการส่งสาวสองคนเข้าไปในเรือนพักชั่วคราวของเขา ผลลัพธ์ก็คือถูกลู่เหิงจือไล่ออกมาอย่างไร้เยื่อใยลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าไม่คิดจะหาทางทำสงครามเอาชนะเผ่าเป่ยตี๋ แต่กลับไปคิดเรื่องนอกลู่นอกทาง ออกไปรับไม้สิบที”หากไม่ใช่เพราะเป่ยตี๋ถอยทัพไม่หมด คงไม่ใช่แค่โบยสิบทีเท่านั้นรองแม่ทัพรู้สึกเสียใจมาก เขาตั้งใจจะรับใช้ใต้เท้าด้วยใจจริง แต่ก็ต้องทนรับไม้ไป*ส่วนซูชิงลั่วที่อยู่ในเมืองหลวง ตั้งแต่ที่ซ่งเหวินจากไป อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมากประการแรกคือช่วงนี้นางได้กินอาหารหลากหลายมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่กินแค่ข้าวต้มกุ้ยกับขนมเกาลัดประการที่สองคือเมื่อนึกว่าลู่เหิงจือจะต้องทราบข่าวที่นางจะแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิง นางก็อดสะใจและเหมือนได้แก้แค้นไม่ได้ในที่สุดลู่เหิงจือก็จะได้ลิ้มลองรสชาติเช่นนี้บ้างขณะที่กินหมี่ไก่ นางหันไปถามจื๋อหยวนว่า “ช่วงนี้เจ้าเขียนจดหมายถึงซ่ง
ลู่เหิงจือแม้จะโกรธจัด แต่กลับดูสงบเยือกเย็นภายใต้ความสงบเยือกเย็นนี้ กำลังก่อตัวเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัวซ่งเหวินนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เห็นเขาสงบเยือกเย็นเช่นนี้ น่าจะเป็นยามที่บิดามารดาเสียชีวิต และน้องสาวถูกจับตัวไปเขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะลู่เหิงจือจ้องมองด้วยแววตาเคร่งขรึม “เจ้าพูดมาให้ชัดเจน”ซ่งเหวินรีบเล่าเรื่องที่ได้ยินมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเป่ยตี๋มาเจรจาสงบศึก แต่ฮ่องเต้กลับจะส่งซูชิงลั่วไปสมรสเพื่อสันติภาพ ใบหน้าของลู่เหิงจือก็เย็นชาลงทันทีมุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันเขาเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมปล่อยภรรยาที่หย่าร้างไปแล้วของเขาทว่าลู่เหิงจือก็ไม่คิดว่าอวี๋ซื่อชิงจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาเขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “กำหนดวันแต่งเมื่อไหร่?”ซ่งเหวินตอบเสียงเบา "อีกหนึ่งเดือนขอรับ"เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เหิงจือเปลี่ยนไป เขาก็รีบเสริมว่า “ฮูหยินคงกลัวว่าหากท้องแล้วแต่งงานจะไม่ค่อยเหมาะสม”ลู่เหิงจือถามเสียงเคร่งขรึม “โฉวกว่างตายแล้วหรือ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกข้า?”ซ่งเหวินครุ่นคิดในใจว่าใช่แล้ว เขากลับมาครั้งนี้ โฉ
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
Comments