Share

บทที่ 8

ซูชิงลั่วตกใจมากกว่าคนอื่นๆ อีก เพราะนางไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถพิสูจน์ได้จากมุมนี้ว่านางหลิ่วโลภในสินเดิมของนาง

ตอนที่นางมาถึงเมืองหลวงก็เพิ่งจะอายุได้สิบขวบ ในทีแรกร้านค้าเหล่านี้เป็นท่านยายที่ช่วยนางดูแล และทุกเดือนท่านยายก็จะเรียกให้นางไปตรวจสอบบัญชี

ต่อมาเนื่องจากท่านยายไม่มีเรี่ยวแรง นางหลิ่วจึงอาสารับช่วงต่อ

ในช่วงครึ่งปีแรกนางหลิ่วก็ยังคงให้นางตรวจสอบบัญชี แต่ต่อมาก็อ้างว่าไม่ว่าง สามเดือนจึงให้ตรวจสอบดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าน้าสาวไม่มีทางทำร้ายนาง จึงไม่ให้นางได้ตรวจสอบบัญชีอีกเลย

นางเป็นคนหน้าบาง คิดว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย อีกทั้งนางหลิ่วก็เป็นญาติ และยังปฏิบัติกับนางไม่เลว ดังนั้นนางจึงไม่เคยพูดอะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สีหน้าของนางหลิ่วแดงและซีดสลับกัน ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดอ้ำอึ้งออกมา "อย่างไรชิงลั่วก็ยังเด็ก ข้าเป็นห่วงนาง กลัวว่านางจะถูกคนข้างล่างหลอกลวงจึงรับช่วงช่วยดูแลร้านค้าให้..."

ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คำโกหกของนางดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นอีก

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "คุณหนูซูตอนนี้ก็อายุสิบหกแล้ว การหมั้นก็ยกเลิกไปแล้ว ร้านค้าก็คงคืนได้แล้วไหม?"

น้ำเสียงที่พูดกึ่งบังคับ

นางหลิ่วถูกบารมีของเขาข่มขวัญ พูดอ้อมแอ้มว่า "แน่นอน..."

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ส่งมอบให้เรียบร้อยภายในหนึ่งเดือน"

เขากวาดสายตามองไปที่ทุกคน "เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของผู้หญิง ห้ามใครเอาไปพูดต่อ มิฉะนั้นจะถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลลู่"

เสียงพูดเต็มไปด้วยอำนาจ

ทุกคนตอบรับพร้อมกัน

ลู่เหิงจือพูดต่อ "เฝ้าไข้กันมาทั้งคืน ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว แยกย้ายกันเถอะ"

นางหลิ่วถลึงตาใส่ซูชิงลั่วด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป

ผู้คนค่อยๆ สลายตัวไป แต่ซูชิงลั่วยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองไปที่ลู่เหิงจือผ่านฉากกั้นลม

นางคิดว่าการถอนหมั้นเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว คิดว่าร้านค้าที่เป็นสินเดิมคงต้องรอจนนางแต่งงานนางหลิ่วถึงจะยอมคืนให้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยนางเอากลับมาได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้ง สังคมนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงมาก เรื่องในวันนี้แม้นางจะเป็นฝ่ายถูก แต่ถ้าเรื่องแพร่กระจายไป ก็อาจเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหายได้

ลู่เหิงจือยังระมัดระวังกำชับไม่ให้ใครพูดเรื่องนี้ออกไปอีก

นางไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไรดีแล้ว

ลู่เหิงจือเองก็ยังยืนนิ่งอยู่เช่นกัน

ทั้งสองมองกันผ่านฉากกั้นลมอยู่ครู่หนึ่ง จนลู่เหิงจือเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน "ยังมีอะไรอีกหรือ?"

น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่ ราวกับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและห่วงใย

ตอนนี้ผู้ชายคนอื่นออกไปกันหมดแล้ว เขาเพิ่งช่วยเรื่องใหญ่หลวงกับนาง หากยังยืนคุยหลังฉากกั้นลมก็ดูจะห่างเหินไปหน่อย

ซูชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากหลังฉากกั้น แล้วแสดงความเคารพเขาอย่างจริงจัง "ขอบคุณพี่สามมาก"

นางสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน เอวบางราวกับจะขาดจากกันให้ได้ ท่าทางตอนก้มศีรษะคำนับอย่างช้าๆ ทำให้ดูน่ารักอย่างมาก

ลู่เหิงจือมองนางครู่หนึ่งแล้วพูด "ในเมื่อเรียกข้าว่าพี่สาม ยังจะมากพิธีอะไรอีก?"

เสียงของเขาเบามาก แต่เมื่อได้ยินกลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล

นางสงสัยว่านี่เป็นความรู้สึกที่ผิดพลาดคิดไปเองหรือไม่ ที่นางรู้สึกว่ายมทูตหน้าเหล็กคนนี้ดูอบอุ่น

นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ โดยไม่รู้ตัว อยากจะดูว่าลู่เหิงจือในตอนนี้มีท่าทางเป็นอย่างไร

ชายคนนั้นยังคงสวมชุดสีน้ำเงินตามปกติ รัดเอวด้วยเข็มขัดหยก ดูสง่างามและสูงส่ง ยืนอยู่ในสวนเหมือนต้นไม้สูงใหญ่ที่สง่างาม

ฉับพลันซูชิงลั่วก็เกิดความรู้สึกประหลาดในใจขึ้นมา จังหวะหัวใจก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นางก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนหลายภาพตรงหน้า ร่างกายโอนเอนจวนจะล้ม

มือที่แข็งแรงข้างหนึ่งคว้าจับแขนของนางไว้ทันที

ลู่เหิงจือพยุงนางไปที่เก้าอี้ในห้องโถง พูดเสียงเข้มว่า "ไปเอาน้ำตาลแดงมาให้ข้าชามหนึ่ง"

ซูชิงลั่วรู้สึกเวียนหัว หายใจไม่เป็นจังหวะ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยออกมาจากตัวชายหนุ่ม ผสมกับกลิ่นเหล้าหอมอ่อนๆ ช่างน่าดมเหลือเกิน

ปลายนิ้วเย็นๆ บีบคางของนางเบาๆ น้ำตาลแดงอุ่นๆ ถูกส่งเข้าไปในปาก ทำให้นางเริ่มรู้สึกมีสติขึ้นมา

เมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นว่าหลู่เหิงจือใช้มือข้างหนึ่งจับแขนนางเอาไว้แน่น

เขาก้มลงมองนางครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เป็นอะไรหรือเปล่า?"

"ไม่เป็นไร คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน เช้านี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยถึงเป็นแบบนี้ พักผ่อนสักหน่อยก็คงดีขึ้น" ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ

ที่นางเห็นในตอนนี้คือปลายนิ้วเรียวยาวที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนของเขา น่ามองมากเลย

ตรงแขนที่ถูกสัมผัสก็รู้สึกร้อน ขนาดมีเสื้อผ้ากั้นขวางก็ยังร้อนราวกับไฟจะไหม้

นางอยากจะดึงแขนกลับมาโดยไม่รู้ตัว แต่ลู่เหิงจือก็แรงเยอะมาก ทำให้นางดึงออกมาไม่ได้

ซูชิงลั่วมองไปรอบๆ กลัวว่าจะมีคนเห็น จึงอดเรียกออกมาเบาๆ ไม่ได้ว่า "พี่สาม..."

ลู่เหิงจือได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ คลายมือออก

เขาพูดเสียงเรียบว่า "เดี๋ยวให้หมอหลวงซ่งมาดูอาการเจ้าหน่อย"

ซูชิงลั่วพูดอย่างลนลานว่า "ไม่ต้องหรอก แน่นอนว่าอาการท่านยายสำคัญกว่า ข้าไม่เป็นไรจริงๆ"

นางรีบลุกขึ้นทันที "ข้าจะไปดูท่านยายก่อน"

ลู่เหิงจือพูด "ไปด้วยกัน"

เขาถูกบันทึกเป็นหลานของบ้านใหญ่ ปกติก็ไม่ค่อยได้พบปะกับคุณย่าลู่สักเท่าไร นอกจากจะไปทักทายบ้างในช่วงเทศกาลเท่านั้น

แต่ครั้งนี้คุณย่าลู่บังเอิญป่วยตรงกับงานเลี้ยงวันเกิดของเขาพอดี หากจัดการไม่ดีอาจถูกคนใจสกปรกใช้เป็นข้ออ้างเล่นงานได้ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคนที่นางห่วงที่สุดในตอนนี้

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปยังลานหลังบ้าน

ลู่เหิงจือรูปร่างสูงใหญ่ ดูมีบารมีและท่าทางเย็นชา ซ่งเหวินมักคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเหมาะสมกับคุณชายของเขา

แต่ตอนนี้เมื่อมองเห็นคุณหนูซูที่ยืนเคียงข้างนายท่าน ทั้งคู่สูงต่างกันเพียงแค่ศีรษะเดียว เมื่อเดินเคียงคู่กันไปข้างหน้าช่างดูสง่างาม น่าชื่นชมและเหมาะสมอย่างยิ่ง

ตลอดทางเข้าลานด้านใน เจอเด็กรับใช้มากมาย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความประหลาดใจและสงสัย...ไม่เคยเห็นคุณชายเหิงที่สามอยู่กับผู้หญิงมาก่อนเลย

ด้วยความกลัวในบารมีของลู่เหิงจือ จึงไม่มีใครกล้ามองนาน แค่เหลือบๆ มองเท่านั้น

ซูชิงลั่วใจจดจ่อกับท่านยายลู่ ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สังเกตสายตาเหล่านั้นเลย

ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงเรือนของท่านยาย

นอกจากลู่โย่ว ผู้ชายบ้านตระกูลลู่ฝั่งบ้านใหญ่และบ้านสามต่างก็รออยู่ในลานบ้าน

ลู่เหิงจือเองก็หยุดเดินเพราะข้างในมีแต่ผู้หญิง เขาไม่สะดวกที่จะเข้าไป

พอก้มลงก็สบเข้ากับดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของซูชิงลั่ว สายตานางเต็มไปด้วยความกังวลดูน่ารักน่าสงสารมาก

ราวกับจะรู้ว่านางต้องการจะพูดอะไร ลู่เหิงจือจึงพยักหน้าให้นาง "เจ้าเข้าไปเถอะ"

ซูชิงลั่วคำนับเขาและคนอื่นๆ ก่อนจะรีบเข้าไปข้างใน

หลังจากเรื่องเมื่อกี้ นางหลิ่วย่อมไม่มีหน้ามาที่นี่อีก เฉียนเหวินหลิง นายหญิงใหญ่อีกทั้งเหล่าลูกสาวลูกสะใภ้คนอื่นๆ ยืนรอกันอยู่ที่นอกห้อง ส่วนหมอหลวงซ่งกำลังตรวจอาการอยู่ด้านใน

ซิ่นฟางสาวใช้ของเฉียนเหวินหลิงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของนาง ทำให้นางตกใจอย่างมากแล้วมองไปที่ซูชิงลั่ว แต่ซูชิงลั่วกลับไม่รู้เรื่อง ใจจดจ่ออยู่กับคนด้านใน

ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน ในที่สุดหมอหลวงซ่งก็เดินออกมา

พวกผู้หญิงก็รีบเข้าไปถามอาการในทันที

หมอหลวงซ่งลูบเครายาวสีดอกเลาแล้วพูดว่า "โชคดีที่ผ่านช่วงที่อันตรายที่สุดไปแล้ว อีกวันสองวันก็น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด"

ซูชิงลั่วถอนหายใจยาว ร่างกายเหมือนจะทรุดลงแทบจะเป็นลม โชคดีที่จื๋อหยวนช่วยประคองนางไว้

เฉียนเหวินหลิงรีบมาประคองนางทันที พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "เด็กดี เมื่อคืนก็น่าจะเหนื่อยมากแล้ว ไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อนเถอะ ที่นี่มีน้าใหญ่ดูแลอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงเลย"

ร่างกายของซูชิงลั่วไม่ค่อยจะไหวจริงๆ และคิดว่าอยากจะมาดูแลท่านยายอีกในคืนนี้ จึงไม่ปฏิเสธ เข้าไปดูท่านยายสักครู่ โค้งคำนับแล้วจึงออกมา

ข้างนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดเริ่มแยงตา

ซูชิงลั่วยกมือขึ้นบังตาโดยสัญชาติญาณ แต่ก็เห็นลู่เหิงจือยืนสนทนากับหมอหลวงซ่งอยู่ในลาน

เขายืนตรงตระหง่าน ร่างกายเหมือนมีแสงรัศมีสีทองล้อมรอบ ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์

ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของนาง เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับนางช้าๆ

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status