พูดจบก็จะเช็ดน้ำตาอีกซูชิงลั่วตบมือของนางเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ครั้งนี้เป็นเสียงเย็นชาของลู่เหิงจือว "ข้าเอง"ซูชิงลั่วรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง "เชิญเข้ามา"เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางก็อดรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ลู่เหิงจือเข้ามาในห้อง ในมือถือกล่องข้าวไว้กล่องหนึ่งและเอาวางลงบนโต๊ะ"อาหารของวัดค่อนข้างจืดชืด พวกเจ้าก็ทนทานกันสักหน่อยเถอะ"ซูชิงลั่วกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ได้ยินเสียงพูดแกมสั่งของลู่เหิงจือ"นั่งพูดกัน"นางจึงต้องนั่งอยู่ที่เดิมและพูดว่า "ขอบคุณ…ใต้เท้า"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว "ใต้เท้า?"ความหมายนั้นดูเหมือนจะกำลังถามว่าทำไมถึงเรียกเขาแบบนี้สินะ?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ที่เรียกเช่นนี้ก็ด้วยความจนใจเขาไม่ยอมให้นางเรียกว่าท่านสาม ในสถานการณ์แบบนี้นางก็ไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่สามได้จริงๆ จึงต้องหาคำเรียกใหม่โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่สนใจเรื่องชื่อนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "ทางท่านแม่ข้าจะไปบอกเอง เจ้าไม่ต้องกังวล กินอาหารเสร็จแล้วเจ้าก็พักผ่อนซะ พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า"แน่นอนเขาคงจะถามว่าทำไมนางถึงได้มีสภาพเช่นนี้ซูชิงลั่วพยักหน้า
"อยู่ที่...ที่เจ้าหรือ?" ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉียนเหวินหลิงถึงจะตั้งสติได้ "ทำไมชิงลั่วไปอยู่ที่เจ้าได้ล่ะ?"ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดต่างๆ ผ่านเข้ามาในหัวนาง แต่ก็ไม่กล้าเชื่อสักอย่างไหนเขาบอกเองว่าไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับซูชิงลั่วไม่ใช่หรือ?แล้วตอนนี้เขากลับกักตัวนางไว้หมายความว่าอย่างไร?ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังพูดเรื่องหนึ่งที่ธรรมดามาก"เรื่องนี้ข้ามีความคิดของข้าเอง ขอให้ท่านแม่อย่าเข้ามายุ่ง ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า"เขาชินแล้วกับการควบคุมทุกอย่าง แต่ซูชิงลั่วเป็นเหมือนกับแก้วตาดวงใจของหญิงชรา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางจะอธิบายยังไงเฉียนเหวินหลิงมีสีหน้าลำบากใจ "แต่ท่านย่า…""ท่านแม่แค่สั่งการบ่าวรับใช้ให้ดีก็พอ" ลู่เหิงจือพูดขัดจังหวะ "ด้านท่านย่า ข้าจะไปพูดด้วยตัวเอง"พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เฉียนเหวินหลิงก็รู้ดีว่านางคงยุ่งเกี่ยวอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้อีกช่างเถอะ อย่างน้อยก็มีคนไปพูดกับท่านแม่แล้วนางถอนหายใจอย่างจนใจ กำลังจะกำชับอะไรอีก ลู่เหิงจือก็เดินออกไปแล้วคืนนั้นซูชิงลั่วนอนหลับไม่ค่อยสนิท ลมฝนบนภูเขาทำให้ประตูและหน้าต่างกระท่อมไม้ไผ่เกิด
ซูชิงลั่วรีบพูดทันทีว่า "เปล่าเจ้าค่ะ ชิงลั่วแค่…กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินใต้เท้า"ประโยคสุดท้ายนางแทบจะพูดออกมาโดยหลับตาด้วยซ้ำทันใดนั้นเสียงเย็นชาของชายหนุ่มก็ดังขึ้น "ล่วงเกินหรือ?"นางไม่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาเมื่อไหร่ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด กลิ่นหอมของไม้กฤษณาบนตัวเขาลอยมา นางจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว จนหลังไปชนกับประตูไม้ไผ่ที่เย็นและแข็ง จนโดนบาดแผลอย่างไม่ทันระวังซูชิงลั่วเผลอร้องออกมาเบาๆ "ซี๊ด"ลู่เหิงจือจับไหล่นางและดึงนางมาข้างหน้าเล็กน้อย"ระวังหน่อย"ฝ่ามือของเขาอุ่นมาก เมื่อสัมผัสที่ไหล่ของนางทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมานางเงยหน้ามองเขาโดยไม่รู้ตัว เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวตามมารยาท แต่ร่างสูงของเขาก็ยังคงบดบังร่างของนางไว้อยู่ยามเช้าบนภูเขาอากาศหนาวมาก ซูชิงลั่วใส่เสื้อผ้าบางๆ และยืนอยู่ข้างนอกนานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะจามออกมาต่อหน้าลู่เหิงจืออีกแล้ว…แต่การจามเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ช่างมันเถอะ นางคิดในใจ อย่างไรเขาก็เห็นเรื่องน่าอับอายของนางมาเยอะแล้ว เพิ่มอีกเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอกแต่ทันใดนั้นไหล่นางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นลู่เหิงจือถอดเสื้อคลุมกันลมออ
ลู่เหิงจือเงยหน้ามองซูชิงลั่วแว๊บหนึ่ง ก่อนก้มลงหยิบฟืนแห้งชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา ใช้ไม้จุดไฟจุดอย่างช้าๆ แล้วโยนลงไปในเตา มองไฟค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นบนมือ ถามนางว่า "มีอะไรหรือ?"การจุดไฟดูเหมือนเป็นงานหยาบ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ และดูสง่างามซูชิงลั่วตอบออกไปอย่างเผลอไผลว่า "ข้าต้องการมาต้มน้ำ"ลู่เหิงจือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "เจ้าต้มน้ำเป็นหรือ?"แม้ซูชิงลั่วจะมีตำแหน่งคุณหนู แต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้านายในจวนลู่โดยตรงจื๋อหยวนเป็นสาวใช้ที่นางพามาด้วยจากจินหลิงและติดตามนางมาตั้งแต่เด็กแม้ท่านยายจะจัดหาสาวใช้มีอายุให้หนึ่งคนและสาวรับใช้อีกสองคนให้นาง แต่เพราะกลัวคำพูดของผู้คน ปกตินางจึงไม่กล้าใช้งานพวกนางหนักเกินไป เวลาจื๋อหยวนยุ่ง นางจึงต้มน้ำชงชาเองได้ซูชิงลั่วก้มศีรษะ "เป็น" นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า "ถ้าหากก่อไฟไว้แล้วนะเจ้าคะ"เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แต่กลับต้มน้ำเป็นด้วยลู่เหิงจือขมวดคิ้ว "ทำไมเจ้ามาเอง? สาวใช้ของเจ้าไปไหน?"ซูชิงลั่วรีบตอบ "นางมีไข้ รบกวนใต้เท้าช่วยหาหมอให้นางด้วยเถิด"ลู่เหิงจือพยักหน้าและลุกขึ้นเดินออกไปข
ซูชิงลั่วทนไม่ไหวกับความยั่วยวนนี้ นางจึงประนมมือขอโทษต่อพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ในวัด จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินต้องยอมรับว่าฝีมือทำอาหารของซ่งเหวินดีมาก ลู่เหิงจือช่างเป็นคนที่มีลาภปากเหลือเกินหลังจากกินเสร็จ จื๋อหยวนก็ตื่นขึ้นมาพอดีไข้ของนางเพิ่งจะลด เหงื่อออกทั่วตัวซูชิงลั่วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นช่วยเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและลำคอของนาง ถามว่านางหิวไหมจื๋อหยวนรู้สึกหิวเล็กน้อย ร่างกายก็ฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หมอบอกว่าระหว่างกินยาต้องงดอาหารมันๆ นางจึงได้แค่ดมกลิ่นเนื้อเพื่อให้คลายความอยาก จากนั้นก็กินข้าวต้มเปล่าไปเกือบครึ่งถ้วยกับกินหัวไชเท้าดองไปเล็กน้อยหลังอาหาร ซูชิงลั่วเก็บกล่องอาหารออกไป เมื่อเปิดประตูออกก็เกือบจะชนกับอ้อมแขนของลู่เหิงจือเข้าพอดีกล่องอาหารในมือนางไหวเล็กน้อย แต่ก็ถูกมือที่มีกระดูกชัดเจนของเขาจับไว้อย่างมั่นคงลู่เหิงจือถามว่า "กินเสร็จแล้วหรือ?"บาดแผลที่แขนของซูชิงลั่วถูกกระเทือนทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย นางพยายามอดทนและพูดว่า "เจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้ากับซ่งเหวินมาก"ลู่เหิงจือไม่ตอบอะไร รับกล่องอาหารมาจากมือนางและส่งให้ซ่งเหวินที่อยู่ด้านหลัง กล่าว
จื๋อหยวนรู้สึกประหม่าอย่างฉับพลัน ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงภาพลู่เหิงจือกำลังผูกสายรัดเอวตอนที่เข้ามาในกระท่อมไม้ไผ่ครั้งแรกนางรู้สึกอย่างไรไม่รู้ คล้ายกับว่าคุณหนูของนางกำลังจะถูกเขากลืนกินอย่างนั้นจื๋อหยวนมองซูชิงลั่วด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่อยากออกไปซูชิงลั่วส่งสัญญาณปลอบโยนนางด้วยสายตาและพยักหน้าให้จื๋อหยวนจึงออกไปโดยหันกลับมามองหลายครั้ง"แอ๊ด" เสียงประตูถูกปิดลงเงาของป่าไผ่พาดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูเหมือนจะทาบบนตัวลู่เหิงจือ ทำให้เขาดูเย็นชาและลึกลับซูชิงลั่วใจเต้นเร็วขึ้นหลายจังหวะและพูดว่า "ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีเรื่องจะรับสั่งหรือ?"ลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบ "ฝนที่ตกหนักเมื่อคืนทำให้ทางภูเขาพัง ในสองสามวันนี้เจ้าก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน ทางฝั่งท่านแม่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้จัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว"ทางภูเขาพังหรือ?ซูชิงลั่วถามด้วยความประหลาดใจว่า "แล้วซ่งเหวินขึ้นมาได้อย่างไร?"ลู่เหิงจือตอบสั้นๆ ว่า "ใช้ทางเล็ก"ซูชิงลั่วเข้าใจในทันที พวกนางต้องนั่งรถม้า หากต้องเดินทางเล็กก็คงลำบากจริงๆพอดีเลย นางจะได้พักรักษาตัวอย่างสบายใจ ที่บ้านตระกูลลู่มากคนก็มากความ
ซูชิงลั่วรีบเดินไปข้างหน้าในที่สุดเฉียนเหวินหลิงก็ได้เห็นซูชิงลั่วอีกครั้ง รีบมองตรวจสอบนางทั้งตัวและจับมือนางถามด้วยความกังวลว่า "ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"แล้วมองไปที่ด้านหลังของนางอย่างไม่สบายใจอีกครั้งซูชิงลั่วยิ้มและพูดว่า "ท่านน้าใหญ่สบายใจได้ ข้าสบายดีเจ้าค่ะ"เฉียนเหวินหลิงยังคงกังวลในใจ แต่ก็ไม่กล้าถามมากจนกระทั่งขึ้นรถม้า ซูชิงลั่วรู้สึกว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงเล่าเรื่องอย่างคร่าวๆ ออกไปให้ฟังเพียงแค่บอกว่าพบโจรและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และบังเอิญได้ลู่เหิงจือช่วยเอาไว้เฉียนเหวินหลิงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง "ได้รับบาดเจ็บด้วยหรือ?"ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "ท่านน้าใหญ่สบายใจได้ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ท่านน้าอย่าบอกท่านยายทำให้ท่านยายต้องกังวลใจเลยนะเจ้าคะ"เฉียนเหวินหลิงกำลังกลัวอยู่ว่าหากซูชิงลั่วเป็นอะไรไป หญิงชราคงจะตำหนินาง จึงยินดีและเต็มใจมาก จากนั้นก็ตบมือซูชิงลั่วเบาๆ แล้วพูดว่า "ลูกของข้า เจ้าช่างรู้ความมากจริงๆ"นางถอนหายใจและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า "เจ้าและเหิงจือในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเข้ากันได้ดีหรือไม่?"ซูชิงลั่วรู้สึกเครียดในใจ แต่แสร้งทำเป็นยิ้มสบายๆ แ
คืนนั้นซูชิงลั่วนอนพลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับคำพูดของท่านยายทำให้นางนึกถึงชายที่นางเจอในกระท่อมไม้ไผ่คนนั้นที่มีความสง่างามและเสียงเบาน่าฟัง อีกทั้งปลายดาบเย็นเฉียบที่วางบนคอของนางที่จริงนางมีการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของชายคนนั้นบ้างมีความสง่างามไม่ธรรมดา สามารถใช้ทหารลับทำงานได้ และสามารถทำให้ลู่เหิงจือคบค้าสมาคมด้วยได้ คงเป็นคนในราชวงศ์น่าเสียดายนางไม่รู้จักราชวงศ์เลย คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นใครการที่ลู่เหิงจือพบกับชายคนนั้นเป็นเรื่องที่ลับสุดยอดมาก เรื่องอะไรถึงต้องลับขนาดนี้?เป็นเรื่องอันตรายอะไรหรือ?นางรู้สึกแอบเป็นห่วงเขาในใจเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญา ไม่ทันไรนางก็หลับไปและฝันถึงป่าไผ่นั้นลู่เหิงจือสวมชุดขาวยืนอยู่หน้าป่าไผ่ ดวงตาดำสนิทอันเงียบสงบคู่นั้นจ้องมองนางแล้วถามว่า "จะขอบคุณข้าอย่างไร?"เสียงนี้นางจำได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งตอนที่ตื่นแล้วซูชิงลั่วอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ สิ่งของที่ส่งไปครั้งก่อนก็ถูกส่งกลับมาหมด ครั้งนี้จะใช้อะไรขอบคุณเขาดีนะ?รู้แน่นอนแล้วว่า สิ่งของนอกกายเขาไม่สนใจแต่นอกจากเงินแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่มีอะไรให้อีกซูชิงลั่วคิดอยู่นาน แล้วความคิดหนึ่