คืนนั้นซูชิงลั่วนอนพลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับคำพูดของท่านยายทำให้นางนึกถึงชายที่นางเจอในกระท่อมไม้ไผ่คนนั้นที่มีความสง่างามและเสียงเบาน่าฟัง อีกทั้งปลายดาบเย็นเฉียบที่วางบนคอของนางที่จริงนางมีการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของชายคนนั้นบ้างมีความสง่างามไม่ธรรมดา สามารถใช้ทหารลับทำงานได้ และสามารถทำให้ลู่เหิงจือคบค้าสมาคมด้วยได้ คงเป็นคนในราชวงศ์น่าเสียดายนางไม่รู้จักราชวงศ์เลย คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นใครการที่ลู่เหิงจือพบกับชายคนนั้นเป็นเรื่องที่ลับสุดยอดมาก เรื่องอะไรถึงต้องลับขนาดนี้?เป็นเรื่องอันตรายอะไรหรือ?นางรู้สึกแอบเป็นห่วงเขาในใจเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญา ไม่ทันไรนางก็หลับไปและฝันถึงป่าไผ่นั้นลู่เหิงจือสวมชุดขาวยืนอยู่หน้าป่าไผ่ ดวงตาดำสนิทอันเงียบสงบคู่นั้นจ้องมองนางแล้วถามว่า "จะขอบคุณข้าอย่างไร?"เสียงนี้นางจำได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งตอนที่ตื่นแล้วซูชิงลั่วอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้ สิ่งของที่ส่งไปครั้งก่อนก็ถูกส่งกลับมาหมด ครั้งนี้จะใช้อะไรขอบคุณเขาดีนะ?รู้แน่นอนแล้วว่า สิ่งของนอกกายเขาไม่สนใจแต่นอกจากเงินแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่มีอะไรให้อีกซูชิงลั่วคิดอยู่นาน แล้วความคิดหนึ่
ท่านยายถามอีกครั้ง "เรื่องนี้จริงหรือ?"ซูชิงลั่วสงบสติและตอบ "จริงแท้แน่เจ้าค่ะ คุณชายเหิงที่สามเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี งานราชการก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ข้าไปขอความช่วยเหลือ เขาจะใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ"ท่านยายถึงได้พยักหน้า แต่สีหน้ายังคงเคร่งเครียดอยู่"ในเมื่อถอนหมั้นกับเหยียนเออร์แล้ว งานชมดอกไม้เดือนหน้าก็ให้ท่านน้าใหญ่พาเจ้าไปกับหมิงซือด้วยแล้วกัน"งานชมดอกไม้จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยพระสนมรุ่ยจะเชิญชนชั้นสูงในเมืองเข้าร่วม โดยใช้ชื่อว่าเป็นการชมดอกไม้และแต่งบทกวี แต่แท้จริงแล้วเป็นการให้ครอบครัวต่างๆ ได้มาดูตัวลูกสะใภ้เนื่องจากเป็นกิจกรรมเดียวในเมืองหลวงที่ทั้งชายและหญิงสามารถเข้าร่วมได้ จึงเป็นงานเลี้ยงที่หนุ่มสาวในเมืองรอคอยมากที่สุดในทุกปีเนื่องจากก่อนหน้านี้ซูชิงลั่วได้หมั้นหมายไปก่อนแล้ว จึงไม่เคยเข้าร่วมงานนี้ตอนนี้ท่านยายต้องการให้นางไป ความหมายก็ชัดเจนมาก คือต้องการหาคู่ครองที่ดีให้นางท่านยายให้เฉียนเหวินหลิงพานางไป เพราะกลัวว่านางหลิ่วจะไม่พอใจและทำให้เรื่องเสียซูชิงลั่วลังเลและพูดว่า "แต่ท่านยาย ข้าเพิ่งจะหมั้น..."ท่านยา
ลู่หมิงซือเดินเข้าไปดูแล้วพูดว่า "งั้นเอาผ้าสีหยกพับนี้เถอะ"ผ้าสีหยกเลือกคนใส่ เมื่อใส่แล้วอาจจะดูไม่สวยเท่าผ้าสีแดงเข้มที่จะช่วบขับให้ผิวดูขาวผ่องและคนใส่ดูสดใส ซึ่งดูจะเหมาะกับลู่หมิงซือมากกว่านางหลิ่วพูดขึ้นว่า "ทำไมข้าคิดว่าสีแดงเข้มนั้นดีกว่าล่ะ"ลู่หมิงซือหันไปสบตากับนางหลิ่วแล้วพูดว่า "ข้าไม่ค่อยชอบสีนั้นเจ้าค่ะ"นางหลิ่วจึงเงียบไปไม่พูดอะไรอีกหลังจากที่สาวใช้เดินออกไปจากลานบ้านแล้ว นางหลิ่วที่รออยู่พักหนึ่งจึงทนไม่ไหว หัวเราะเย็นชาออกมาแล้วหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขว้างลงบนพื้น"ยายแก่นั่นลำเอียงเกินไปแล้ว เห็นชัดๆ ว่าเป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ถูกถอนหมั้น แต่ยังยกระดับสถานะให้นาง ซูชิงลั่วมีสิทธิ์อะไรมาเข้าร่วมงานชมดอกไม้กับเจ้า? นางก็แค่ลูกสาวพ่อค้า ส่วนเจ้าคือลูกสาวของขุนนางแห่งจวนหย่งซุ่นป๋อที่แท้จริง! หรือจะให้เจ้าต้องเลือกผู้ชายทีหลังนางอีก?"ครอบครัวที่เหมาะสมสำหรับการแต่งงานก็มีอยู่ไม่กี่ครอบครัว ทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อจะได้แต่งงาน"ยังมีนางเฉียนที่ปกติแกล้งทำตัวซื่อๆ คนนั้นอีก กล้าดียังไงไปงานชมดอกไม้แทนข้า?""แล้วก็..." นางหลิ่วพูดด้วยความโกรธ "ทำไมเจ้าถึงเลือกสีหยกล่ะ?
สายตานั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะจริงๆ แต่หลังจากนั้นอีกหลายปีลู่เหิงจือก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก นางจึงลืมเรื่องนั้นไปหลังจากลู่เหิงจือสอบได้เป็นจอหงวนและเข้าทำงานในสำนักฮั่นหลิน ลู่จือ ลูกชายคนโตของตระกูลก็ต้องการให้จดชื่อลู่เหิงจือลงไปในฐานะบุตรบุญธรรมอย่างดื้อรั้น ลู่โย่วก็สนับสนุนอย่างเต็มที่จวนหย่งซุ่นป๋อในช่วงหลายปีนี้ได้ตกต่ำลงทุกวันๆ บุตรหลานที่มีความสามารถก็มีไม่มาก ก็แค่นั่งกินสมบัติเก่าเท่านั้นทั้งหมดล้วนอาศัยร้านค้าภายใต้ชื่อของนางที่ยังทำให้คนพวกนี้ไม่ถึงกับต้องลำบากนางไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ จึงต้องปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ต้องการแต่ตอนนั้นชิงลั่วได้หมั้นหมายกับลู่เหยียนแล้ว นางจึงแทบจะลืมสายตาของลู่เหิงจือในวัยเยาว์ไปแต่...หลังจากนางป่วยหนัก จู่ๆ คนทั้งสองนี้ก็มีความเกี่ยวข้องที่สำคัญกัน จนนางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้งครู่ต่อมา นางสั่งเยว่เออร์ว่า "เอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนจดหมายไปยังจินหลิง"บ้านตระกูลลู่แห่งหย่งซุ่นป๋อมีพื้นเพอยู่ที่จินหลิงมาหลายร้อยปี บรรพบุรุษเริ่มต้นที่นั่น และยังมีบ้านเก่าและคนรับใช้ที่ดูแลบ้านอยู่ที่จินหลิงด้วย แ
หน้าประตูจวนรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยรถม้าและผู้คน รออยู่ครู่ใหญ่ ซูชิงลั่วและคณะจึงได้ยื่นบัตรเชิญและเข้าไปข้างในซูชิงลั่วเพิ่งเคยเข้าร่วมงานชมดอกไม้เป็นครั้งแรก จึงเดินตามติดเฉียนเหวินหลิงอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวส่วนลู่หมิงซือกลับดูสบายๆ โบกมือทักทายบรรดานายหญิงและคุณหนูจากตระกูลต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังแนะนำเฉียนเหวินหลิงไปด้วยพร้อมกัน ทำให้เฉียนเหวินหลิงเอ่ยชมไม่ขาดปากลู่หมิงซือยิ้มและมองซูชิงลั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและโอ้อวดซูชิงลั่วไม่ได้สนใจนาง แต่แค่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยปกติเพราะทุกคนที่ทักทายพวกนางต่างพากันมองนางด้วยสายตาแปลกๆ บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือว่าชุดผ้าไหมจากเมืองซูนี้มันโดดเด่นเกินไป?ไม่น่าจะใช่นะ ลู่หมิงซือเองก็ใส่ผ้าไหมจากเมืองซูเหมือนกันหนิขณะที่นางกำลังก้มหน้าครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดว่า "คุณหนูลู่ ไม่เจอกันนานเลย"ลู่หมิงซือรีบโค้งคำนับตอบ "คุณหนูเมิ่งมาแล้วหรือ"ซูชิงลั่วตั้งสติกลับมาได้ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวหน้ารูปไข่คนหนึ่ง สวยสง่าและมีรัศมี สวมชุดสีม่วงอ่อนแต่ก็ดูสุภาพอ่อนโยน ทำให้ความสง่ากลมกลืนกันอ
นางคำนับนางเฉียนก่อน จากนั้นก็พาสาวใช้สองคนจากไปลู่หมิงซือโกรธจัด แต่ก็หาข้ออ้างที่ดีกว่าเพื่อรั้งซูชิงลั่วไว้ไม่ได้ จึงได้แต่มองนางจากไปอย่างนั้นตลอดทาง เมิ่งชิงไต้ไม่ได้พูดอะไร ซูชิงลั่วก็ไม่กล้าพูดออกมาก่อน รู้สึกแค่ว่ามีหลายคนที่มองนางมาด้วยสายตาแปลกๆทันทีที่เข้าไปในห้องพัก ซูชิงลั่วก็โค้งคำนับและถามว่า "คุณหนูเมิ่ง วันนี้ข้าสวมใส่อะไรผิดไปหรือไม่?"เมิ่งชิงไต้มองนางด้วยความชื่นชม "เจ้าเองก็สังเกตเห็นแล้วสินะ"มีปัญหาจริงๆ ด้วยซูชิงลั่วรีบพูด "ขอคุณหนูเมิ่งชี้แนะด้วย"เมิ่งชิงไต้พูดเบาๆ "ไม่ถึงกับชี้แนะหรอก นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในงานชมดอกไม้รู้กันดี องค์หญิงอวี้หยางชอบสีแดงเข้มมากและเกลียดการที่มีคนใส่ชุดสีเดียวกับนางที่สุด เจ้าพึ่งมาเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก"ทันใดนั้นซูชิงลั่วก็สะท้านไปทั้งตัวที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าลู่หมิงซือถึงได้มอบผ้าไหมจากเมืองซูสีแดงเข้มผืนนี้ให้นางนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลู่หมิงซือมีความคิดโง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไรหากนางถูกองค์หญิงอวี้หยางตำหนิจนเสียหน้า เช่นนั้นบรรดาสาวๆ ของตระกูลลู่ที่รอแต่งงานจะไม่ได้รับผลกระทบหรือ?จื๋อหยวนพ
ซูชิงลั่วกลับไปที่ลานด้านในด้วยความรู้สึกสับสน บรรดาหญิงสาวเริ่มพากันนั่งลงเมื่อนางนั่งลงข้างๆ นางเฉียน นางเฉียนก็ตกใจ "เจ้า ทำไม...เปลี่ยนชุดแล้วล่ะ?"สายตาของลู่หมิงซือจ้องมาที่นางโดยตรง ในสายตามีความโกรธแค้นชิงชัง...นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเมิ่งชิงไต้จึงได้ช่วยซูชิงลั่วไว้กะทันหัน นางคงจะไม่ได้ถูกใจลายปักดอกไม้เชยๆ นั่นของซูชิงลั่วจริงๆ หรอกมั้ง?แต่นางก็ไม่กังวลหรอก ซูชิงลั่วอยู่ในตระกูลลู่มานานแล้ว นางเป็นคนที่ไม่ชอบสร้างปัญหาคงไม่พูดมากหรอกซูชิงลั่วสบตากับนางแล้วก็ยิ้มให้ลู่หมิงซือมั่นใจในนิสัยของนาง คิดว่านางจะไม่มีทางเปิดเผยความจริงทั้งหมดแน่ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางจะพูดความจริง ลู่หมิงซือก็แค่อ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง คนอื่นก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว แถมยังอาจจะตำหนิที่ซูชิงลั่วไม่รู้เรื่องราวอีกด้วยหลายปีมานี้ นางก็อยู่มาแบบนี้ ยอมทนเรื่อยมา แต่สิ่งที่ได้กลับคือความได้ใจและการกระทำที่รุนแรงมากขึ้นจากบ้านสองรอยยิ้มแบบนี้ของนางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ลู่หมิงซือรู้สึกขนลุกน้อยๆซูชิงลั่วพูดช้าๆ "คือว่าท่านน้า เพราะคุณหนูเมิ่งบอกข้าว่า องค์หญิงอวี้หยางชอบสีแดงเข้มมากและเ
องค์หญิงอวี้หยางคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็สั่งให้คนเอาพู่กันมา "เช่นนั้นข้าเองก็ขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยบ้างแล้วกัน"ในงานชมดอกไม้ที่ผ่านมา องค์หญิงอวี้หยางไม่เคยจับพู่กันเองเลย เป็นเพียงกรรมการคอยตัดสินให้คำติชมเท่านั้นพระสนมรุ่ยรู้ดีแก่ใจว่า น่าจะเป็นเพราะลู่เหิงจือมาที่นี่ องค์หญิงอวี้หยางจึงอยากแสดงฝีมือต่อหน้าคนที่ตัวเองมีใจพระสนมรุ่ยยิ้มและพูดว่า "องค์หญิงห่วงใยประชาชน จะพูดว่าเป็นฝีมืออันต่ำต้อยได้อย่างไรเพคะ?"เถ้าธูปถูกลมพัดตกลงมาซูชิงลั่วหยิบพู่กันขึ้นมา มองไปยังกระดาษวาดรูปที่กางวางอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ รวบรวมสมาธิวาดภาพดอกโบตั๋นออกมาโดยละเอียดอย่างตั้งใจนางเรียนวาดภาพจากซางฉงหยางจิตรกรอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนานมาตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญการวาดภาพบุคคลต่อมาแม้ว่าจะมาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่ทิ้งการวาดภาพและมักส่งจดหมายกลับไปหาอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำอยู่เสมอคราวนี้มีเวลาค่อนข้างสั้น ไม่เพียงพอสำหรับการวาดภาพบุคคลซางฉงหยางเป็นคนเมืองลั่วหยาง ฝีมือการวาดดอกโบตั๋นจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นในบรรดาดอกไม้ที่นางวาดได้ดีที่สุดก็คือดอกโบตั๋นเช่นกันคราวนี้นางวาดด้วยควา
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป