สายตานั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะจริงๆ แต่หลังจากนั้นอีกหลายปีลู่เหิงจือก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก นางจึงลืมเรื่องนั้นไปหลังจากลู่เหิงจือสอบได้เป็นจอหงวนและเข้าทำงานในสำนักฮั่นหลิน ลู่จือ ลูกชายคนโตของตระกูลก็ต้องการให้จดชื่อลู่เหิงจือลงไปในฐานะบุตรบุญธรรมอย่างดื้อรั้น ลู่โย่วก็สนับสนุนอย่างเต็มที่จวนหย่งซุ่นป๋อในช่วงหลายปีนี้ได้ตกต่ำลงทุกวันๆ บุตรหลานที่มีความสามารถก็มีไม่มาก ก็แค่นั่งกินสมบัติเก่าเท่านั้นทั้งหมดล้วนอาศัยร้านค้าภายใต้ชื่อของนางที่ยังทำให้คนพวกนี้ไม่ถึงกับต้องลำบากนางไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ จึงต้องปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ต้องการแต่ตอนนั้นชิงลั่วได้หมั้นหมายกับลู่เหยียนแล้ว นางจึงแทบจะลืมสายตาของลู่เหิงจือในวัยเยาว์ไปแต่...หลังจากนางป่วยหนัก จู่ๆ คนทั้งสองนี้ก็มีความเกี่ยวข้องที่สำคัญกัน จนนางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้งครู่ต่อมา นางสั่งเยว่เออร์ว่า "เอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะเขียนจดหมายไปยังจินหลิง"บ้านตระกูลลู่แห่งหย่งซุ่นป๋อมีพื้นเพอยู่ที่จินหลิงมาหลายร้อยปี บรรพบุรุษเริ่มต้นที่นั่น และยังมีบ้านเก่าและคนรับใช้ที่ดูแลบ้านอยู่ที่จินหลิงด้วย แ
หน้าประตูจวนรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยรถม้าและผู้คน รออยู่ครู่ใหญ่ ซูชิงลั่วและคณะจึงได้ยื่นบัตรเชิญและเข้าไปข้างในซูชิงลั่วเพิ่งเคยเข้าร่วมงานชมดอกไม้เป็นครั้งแรก จึงเดินตามติดเฉียนเหวินหลิงอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวส่วนลู่หมิงซือกลับดูสบายๆ โบกมือทักทายบรรดานายหญิงและคุณหนูจากตระกูลต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังแนะนำเฉียนเหวินหลิงไปด้วยพร้อมกัน ทำให้เฉียนเหวินหลิงเอ่ยชมไม่ขาดปากลู่หมิงซือยิ้มและมองซูชิงลั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและโอ้อวดซูชิงลั่วไม่ได้สนใจนาง แต่แค่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยปกติเพราะทุกคนที่ทักทายพวกนางต่างพากันมองนางด้วยสายตาแปลกๆ บอกไม่ถูกว่าทำไม หรือว่าชุดผ้าไหมจากเมืองซูนี้มันโดดเด่นเกินไป?ไม่น่าจะใช่นะ ลู่หมิงซือเองก็ใส่ผ้าไหมจากเมืองซูเหมือนกันหนิขณะที่นางกำลังก้มหน้าครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดว่า "คุณหนูลู่ ไม่เจอกันนานเลย"ลู่หมิงซือรีบโค้งคำนับตอบ "คุณหนูเมิ่งมาแล้วหรือ"ซูชิงลั่วตั้งสติกลับมาได้ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวหน้ารูปไข่คนหนึ่ง สวยสง่าและมีรัศมี สวมชุดสีม่วงอ่อนแต่ก็ดูสุภาพอ่อนโยน ทำให้ความสง่ากลมกลืนกันอ
นางคำนับนางเฉียนก่อน จากนั้นก็พาสาวใช้สองคนจากไปลู่หมิงซือโกรธจัด แต่ก็หาข้ออ้างที่ดีกว่าเพื่อรั้งซูชิงลั่วไว้ไม่ได้ จึงได้แต่มองนางจากไปอย่างนั้นตลอดทาง เมิ่งชิงไต้ไม่ได้พูดอะไร ซูชิงลั่วก็ไม่กล้าพูดออกมาก่อน รู้สึกแค่ว่ามีหลายคนที่มองนางมาด้วยสายตาแปลกๆทันทีที่เข้าไปในห้องพัก ซูชิงลั่วก็โค้งคำนับและถามว่า "คุณหนูเมิ่ง วันนี้ข้าสวมใส่อะไรผิดไปหรือไม่?"เมิ่งชิงไต้มองนางด้วยความชื่นชม "เจ้าเองก็สังเกตเห็นแล้วสินะ"มีปัญหาจริงๆ ด้วยซูชิงลั่วรีบพูด "ขอคุณหนูเมิ่งชี้แนะด้วย"เมิ่งชิงไต้พูดเบาๆ "ไม่ถึงกับชี้แนะหรอก นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในงานชมดอกไม้รู้กันดี องค์หญิงอวี้หยางชอบสีแดงเข้มมากและเกลียดการที่มีคนใส่ชุดสีเดียวกับนางที่สุด เจ้าพึ่งมาเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก"ทันใดนั้นซูชิงลั่วก็สะท้านไปทั้งตัวที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าลู่หมิงซือถึงได้มอบผ้าไหมจากเมืองซูสีแดงเข้มผืนนี้ให้นางนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลู่หมิงซือมีความคิดโง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไรหากนางถูกองค์หญิงอวี้หยางตำหนิจนเสียหน้า เช่นนั้นบรรดาสาวๆ ของตระกูลลู่ที่รอแต่งงานจะไม่ได้รับผลกระทบหรือ?จื๋อหยวนพ
ซูชิงลั่วกลับไปที่ลานด้านในด้วยความรู้สึกสับสน บรรดาหญิงสาวเริ่มพากันนั่งลงเมื่อนางนั่งลงข้างๆ นางเฉียน นางเฉียนก็ตกใจ "เจ้า ทำไม...เปลี่ยนชุดแล้วล่ะ?"สายตาของลู่หมิงซือจ้องมาที่นางโดยตรง ในสายตามีความโกรธแค้นชิงชัง...นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเมิ่งชิงไต้จึงได้ช่วยซูชิงลั่วไว้กะทันหัน นางคงจะไม่ได้ถูกใจลายปักดอกไม้เชยๆ นั่นของซูชิงลั่วจริงๆ หรอกมั้ง?แต่นางก็ไม่กังวลหรอก ซูชิงลั่วอยู่ในตระกูลลู่มานานแล้ว นางเป็นคนที่ไม่ชอบสร้างปัญหาคงไม่พูดมากหรอกซูชิงลั่วสบตากับนางแล้วก็ยิ้มให้ลู่หมิงซือมั่นใจในนิสัยของนาง คิดว่านางจะไม่มีทางเปิดเผยความจริงทั้งหมดแน่ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางจะพูดความจริง ลู่หมิงซือก็แค่อ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง คนอื่นก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว แถมยังอาจจะตำหนิที่ซูชิงลั่วไม่รู้เรื่องราวอีกด้วยหลายปีมานี้ นางก็อยู่มาแบบนี้ ยอมทนเรื่อยมา แต่สิ่งที่ได้กลับคือความได้ใจและการกระทำที่รุนแรงมากขึ้นจากบ้านสองรอยยิ้มแบบนี้ของนางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ลู่หมิงซือรู้สึกขนลุกน้อยๆซูชิงลั่วพูดช้าๆ "คือว่าท่านน้า เพราะคุณหนูเมิ่งบอกข้าว่า องค์หญิงอวี้หยางชอบสีแดงเข้มมากและเ
องค์หญิงอวี้หยางคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็สั่งให้คนเอาพู่กันมา "เช่นนั้นข้าเองก็ขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยบ้างแล้วกัน"ในงานชมดอกไม้ที่ผ่านมา องค์หญิงอวี้หยางไม่เคยจับพู่กันเองเลย เป็นเพียงกรรมการคอยตัดสินให้คำติชมเท่านั้นพระสนมรุ่ยรู้ดีแก่ใจว่า น่าจะเป็นเพราะลู่เหิงจือมาที่นี่ องค์หญิงอวี้หยางจึงอยากแสดงฝีมือต่อหน้าคนที่ตัวเองมีใจพระสนมรุ่ยยิ้มและพูดว่า "องค์หญิงห่วงใยประชาชน จะพูดว่าเป็นฝีมืออันต่ำต้อยได้อย่างไรเพคะ?"เถ้าธูปถูกลมพัดตกลงมาซูชิงลั่วหยิบพู่กันขึ้นมา มองไปยังกระดาษวาดรูปที่กางวางอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ รวบรวมสมาธิวาดภาพดอกโบตั๋นออกมาโดยละเอียดอย่างตั้งใจนางเรียนวาดภาพจากซางฉงหยางจิตรกรอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนานมาตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญการวาดภาพบุคคลต่อมาแม้ว่าจะมาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่ทิ้งการวาดภาพและมักส่งจดหมายกลับไปหาอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำอยู่เสมอคราวนี้มีเวลาค่อนข้างสั้น ไม่เพียงพอสำหรับการวาดภาพบุคคลซางฉงหยางเป็นคนเมืองลั่วหยาง ฝีมือการวาดดอกโบตั๋นจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นในบรรดาดอกไม้ที่นางวาดได้ดีที่สุดก็คือดอกโบตั๋นเช่นกันคราวนี้นางวาดด้วยควา
คนที่ได้รับเลือกคือเมิ่งชิงไต้?ลู่เหิงจือรู้เรื่องนี้หรือไม่?เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงเลยหรือเพราะว่าเรื่องของเมิ่งชิงไต้?หัวใจของซูชิงลั่วเหมือนถูกเข็มเล็กๆ ทิ่มแทงเข้าไปอย่างช้าๆ จนรู้สึกเจ็บแปลบจากนั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกว่า "ภาพที่จะทำการประมูลต่อไปคือ "ดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่ง"..."ซูชิงลั่วได้สติกลับมาได้ ความตื่นเต้นท่วมท้นกลัวว่าจะทำให้บ้านตระกูลลู่เสียหน้าในหัวของนางมีความคิดแว๊บเข้ามา "ไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะชอบภาพของนางหรือไม่"แต่พอคิดอีกที นางก็ส่ายหัวคงไม่หรอก เขาซื้อไปภาพหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อภาพที่สองอีก"หึหึ" และในตอนนี้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านนอกอย่างชัดเจน"ดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่ง? ชื่อนี้เข้าท่าได้อย่างไร? ช่างดูไม่แพงเลย!"ซูชิงลั่วเพิ่งเคยเข้าร่วมงานชมดอกไม้เป็นครั้งแรก และยังไม่มีชื่อเสียงใดๆ คนด้านในสอบถามไปมาอยู่นานถึงได้รู้ว่าใครเป็นคนวาดภาพดอกโบตั๋นนี้ จากนั้นก็อดที่จะมองไปที่นางด้วยสายตาดูถูกและเย้ยหยันไม่ได้ซูชิงลั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝ่ามือทั้งสองค่อยๆ กำเข้าหากัน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเมิ่งชิงไต้"ข้าคิดว่า
น่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญแม้ว่านางจะเคยเห็นลู่เหิงจือและเซี่ยถิงอวี่แอบเจอกันเป็นการส่วนตัว แต่เนื่องจากนางเป็นคนของบ้านตระกูลลู่ ลู่เหิงจือย่อมคอยดูแล นางคิดว่าเซี่ยถิงอวี่ไม่น่าจะมาหาเรื่องนางเพราะเหตุนี้อีกทั้งเขายังไม่เคยเห็นภาพวาดของนาง น่าจะยังไม่รู้ว่านี่เป็นภาพที่นางวาดพอนึกถึงตรงนี้ นางก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเงินจากการประมูลในช่วงเช้ารวมได้ทั้งหมดสามพันหกร้อยตำลึง เนื่องจากเป็นการประมูลแบบไม่ระบุชื่อ จึงมีการประกาศชื่อผู้ชนะสามอันดับแรกเท่านั้นซูชิงลั่วได้อันดับที่สาม เป็นรองเพียงองค์หญิงอวี้หยางและเมิ่งชิงไต้ส่วนผลงานการเขียนของลู่หมิงซือขายได้เพียงสิบตำลึงเท่านั้นเฉียนเหวินหลิงยิ้มและตบมือซูชิงลั่วเบาๆ "ที่แท้เจ้าก็เก่งกาจถึงเพียงนี้ มิน่าท่านแม่มักเรียกให้เจ้าไปวาดลวดลายดอกไม้เสมอ"ลู่หมิงซือโกรธจนกัดฟันกรอดหลังจากงานเลี้ยงอาหารกลางวันก็ถึงเวลาพูดคุยอย่างอิสระ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดหญิงสาวบางคนที่กล้าหาญหน่อยก็จะใช้โอกาสนี้แอบมองชายหนุ่มที่ตนชอบ ถ้ากล้ามากขึ้นอีกก็อาจจะได้พูดคุยกันหลังจากงานเลี้ยงอาหารกลางวัน เฉียนเหวินหลิงและลู่หมิงซือ
เมื่อเห็นนางเข้ามา เขารินชาและดันไปทางนาง เสียงของเขาไพเราะเหมือนหยกกระทบกันเบาๆ "คนที่ทำเรื่องไม่ดีไม่ใช่เจ้า เจ้าจะหน้าแดงทำไม?"ในน้ำเสียงของเขามีความหยอกล้ออยู่เล็กน้อยซูชิงลั่วยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของตัวเอง คงเป็นเพราะเมื่อครู่เห็นเซี่ยถิงอวี่กอดเมิ่งชิงไต้นางจึงหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวแน่นางมองไปที่ลู่เหิงจือ พูดเบาๆ "ทำไมถึงไม่ถือว่าทำเรื่องไม่ดีล่ะ?"ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในห้องเดียวกัน ช่างไม่เหมาะสมเลยคิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจือจะเลิกคิ้วเบาๆ "งั้นเจ้าบอกมาสิว่า พวกเราทำเรื่องไม่ดีอะไรกัน?""..." ซูชิงลั่วอึ้งไป นี่มันชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?ทำไมนางรู้สึกว่าลู่เหิงจือเหมือนกำลังจงใจหยอกล้อนางเลย?โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้คาดคั้นให้นางตอบ เพียงถามอีกว่า "ยังกลัวข้าอยู่หรือ?"ความรู้สึกนั้นหายไปแล้วล่ะ เขาช่วยนางไว้หลายครั้ง นางก็ไม่ใช่คนไม่รู้คุณคนสักหน่อยซูชิงลั่วรีบตอบ "เปล่า ข้าต้องขอบคุณใต้เท้าอีกครั้งที่ช่วยในวันนี้"สายตาของลู่เหิงจือมองนางเหมือนจะถามว่า ถ้าไม่กลัวแล้วทำไมยังไม่มานั่งล่ะ?ซูชิงลั่วรีบเดินมานั่งตรงข้ามเขา มองถ้วยชาที่ยังมีไอร้อนพุ่งขึ้นตรงหน้