เมื่อเห็นนางเข้ามา เขารินชาและดันไปทางนาง เสียงของเขาไพเราะเหมือนหยกกระทบกันเบาๆ "คนที่ทำเรื่องไม่ดีไม่ใช่เจ้า เจ้าจะหน้าแดงทำไม?"ในน้ำเสียงของเขามีความหยอกล้ออยู่เล็กน้อยซูชิงลั่วยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของตัวเอง คงเป็นเพราะเมื่อครู่เห็นเซี่ยถิงอวี่กอดเมิ่งชิงไต้นางจึงหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวแน่นางมองไปที่ลู่เหิงจือ พูดเบาๆ "ทำไมถึงไม่ถือว่าทำเรื่องไม่ดีล่ะ?"ชายหญิงอยู่กันตามลำพังในห้องเดียวกัน ช่างไม่เหมาะสมเลยคิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจือจะเลิกคิ้วเบาๆ "งั้นเจ้าบอกมาสิว่า พวกเราทำเรื่องไม่ดีอะไรกัน?""..." ซูชิงลั่วอึ้งไป นี่มันชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?ทำไมนางรู้สึกว่าลู่เหิงจือเหมือนกำลังจงใจหยอกล้อนางเลย?โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้คาดคั้นให้นางตอบ เพียงถามอีกว่า "ยังกลัวข้าอยู่หรือ?"ความรู้สึกนั้นหายไปแล้วล่ะ เขาช่วยนางไว้หลายครั้ง นางก็ไม่ใช่คนไม่รู้คุณคนสักหน่อยซูชิงลั่วรีบตอบ "เปล่า ข้าต้องขอบคุณใต้เท้าอีกครั้งที่ช่วยในวันนี้"สายตาของลู่เหิงจือมองนางเหมือนจะถามว่า ถ้าไม่กลัวแล้วทำไมยังไม่มานั่งล่ะ?ซูชิงลั่วรีบเดินมานั่งตรงข้ามเขา มองถ้วยชาที่ยังมีไอร้อนพุ่งขึ้นตรงหน้
น้ำชาร้อนสีเหลืองอ่อนกระเด็นลงบนหลังมือขาวผ่อง จนทำให้ผิวบริเวณนั้นแดงขึ้นทันทีซูชิงลั่วรีบวางถ้วยชาลง ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกวางลงบนหลังมือของนางทันที เช็ดคราบน้ำชาร้อนออกไปลู่เหิงจือหน้าเครียด ลุกขึ้นจับมือนางไปที่หน้าต่างเพื่อดูแสงสว่าง "เจ็บไหม?"ผิวของนางทั้งบางทั้งนุ่ม เพียงแค่เวลาสั้นๆ ก็เกิดตุ่มน้ำพองเล็กๆ ขึ้นแล้วซูชิงลั่วรู้สึกเพียงปลายนิ้วของเขาค่อนข้างเย็น แต่เมื่อแตะลงที่ฝ่ามือของนางแลับทำให้รู้สึกร้อนมากกว่าบริเวณที่เกิดตุ่มน้ำพองอีกนางหดมือกลับโดยไม่รู้ตัว "ไม่เป็นไร"ลู่เหิงจือมองดูอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรแล้วจึงปล่อยและนั่งกลับลงไปนั่งที่เดิม "ต่อไประวังหน่อย"ซูชิงลั่วพยักหน้า กำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมจากผ้าเช็ดหน้าลอยเข้าจมูก ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นที่สุดนางไม่ใช่คนที่ไม่ระวัง เพียงแต่นึกถึงการที่ตัวเองต้องบอกลู่เหิงจือว่าที่มาร่วมงานชมดอกไม้เพื่อการแต่งงานนางจึงรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยนางรวบรวมสติ พูดเบาๆ ว่า "เป็นความต้องการของท่านยาย ท่านต้องการให้ข้ามาร่วมงานชมดอกไม้เพื่อผ่อนคลาย และถือโอกาสวางแผนเรื่องการแต่งงานด้วย"เม
สายคาดเอวสีเขียวพันรอบเอวที่ทั้งบางและอ่อนนุ่มของนางไว้ ดูแล้วแทบจะใช้มือกำได้รอบเสื้อผ้าที่เขาเลือกอย่างเร่งรีบ กลับมีขนาดที่พอดีกับนางอย่างยิ่งเขาพยักหน้า "ข้ารู้แล้ว"เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วก็โล่งใจ แล้วก็ได้ยินเขาถามอีกว่า "ข้าช่วยเจ้าไว้หลายครั้ง เจ้าเตรียมจะขอบคุณข้าอย่างไร?"ทำไมจู่ๆ จะเอาของขวัญขอบคุณอีกล่ะซูชิงลั่วรู้สึกประหม่าเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ข้าเคยให้คนส่งของให้ใต้เท้า แต่ใต้เท้าไม่รับ"ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ดังนั้นเจ้าก็เลยไม่ส่งอีกเหรอ? เจ้ามีความจริงใจแค่นี้เองเหรอ?"แม้จะเป็นคำตำหนิ แต่ก็ไม่ได้มีน้ำเสียงตำหนิจริงๆซูชิงลั่วรีบพูด "เปล่านะ ข้ากำลังเตรียมอยู่"นางแอบมองลู่เหิงจือแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างระมัดระวัง "ไม่ทราบว่าใต้เท้าชอบอะไร พอจะบอกข้าหน่อยได้หรือไม่?"ลู่เหิงจือจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ "อืม" เบาๆ "เย็บถุงหอมให้ข้าสักใบแล้วกัน"ซูชิงลั่วตกใจ "ถุงหอม?"ถุงหอมเป็นของใช้ส่วนตัว ถ้าส่งให้ใครก็มักจะมีความหมายในเชิงหมั้นหมายลู่เหิงจือยกเปลือกตาขึ้น "ไม่ได้หรือ?""ไม่ใช่เจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วรีบตอบ "ได้แน่นอน ไม่ทราบว่าใต้เท้าชอบ
งานเลี้ยงชมดอกไม้อนุญาตให้เฉพาะนายหญิงของตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงนำบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาเข้าร่วมเท่านั้นก่อนหน้านี้มีคนที่หมั้นหมายแล้วมาร่วมงานเลี้ยง ถูกพระสนมรุ่ยได้ทำการเชิญออกไปอย่างไม่ไว้หน้า หลังจากนั้นคุณหนูของตระกูลนั้นก็ไม่มีสิทธิ์มาเข้าร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้อีกเลยแล้วทำไมถึงมีคนเรียกซูชิงลั่วว่าพี่สะใภ้ได้ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ซูชิงลั่วในวลานี้ลู่หมิงซือใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก แสร้งทำเป็นพูดตำหนิตัวเอง "เป็นความผิดของข้าเอง ปกติข้ามักเรียกพี่หญิงอย่างนั้น จนเผลอลืมเปลี่ยนคำเรียก พี่หญิงโปรดอย่าใส่ใจเลย ก็แค่เรียกเล่นๆ เท่านั้นเอง"ซูชิงลั่วมองนางเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและพูดว่า "ในเมื่อเรียกเล่นๆ ข้าก็ย่อมไม่ถือสา เพียงแต่เจ้าอย่าได้เรียกพี่สะใภ้ผิดคน ไม่เช่นนั้นจะทำให้หลิ่วเยียนหราน พี่หญิงอีกคนของเจ้าไม่พอใจได้"สีหน้าของลู่หมิงซือซีดไปคำขู่ของซูชิงลั่วชัดเจนมาก หากนางกล้าพูดซี้ซั้ว ซูชิงลั่วก็กล้าจะเปิดโปงเรื่องของหลิ่วเยียนหรานออกมาลู่หมิงซือฝืนยิ้ม "พี่หญิงอย่าโกรธเลย เป็นความผิดของข้าเอง พี่ชายของข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย พวกเราก็โตๆ กันแล้ว
เพื่อที่จะรักษาชื่อเสียงของนาง ท่านย่าจึงบอกคนภายนอกว่าเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกในวัยเด็ก การหมั้นเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นเฉิงซิ่วทนไม่ไหวแล้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า "ไม่น่าแปลกใจที่ตั้งชื่อภาพว่าดอกโบตั๋นแห่งความมั่งคั่งอะไรนั่น กลิ่นอายเงินทองชัดขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นแค่ลูกสาวพ่อค้า"ลู่หมิงซือกระแอมเบาๆ สองที "นางเป็นถึงพ่อค้าของหลวงเชียวนะ""พ่อค้าของหลวงก็แค่พ่อค้านั่นแหละ" เฉิงซิ่วกล่าวด้วยความโกรธ "ได้หมั้นหมายกับบัณฑิตอย่างพี่ชายเจ้าแล้วยังไม่พอใจอีก ช่างเป็นคนที่ใฝ่สูงเหลือเกิน ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าในเมืองหลวงนี้จะมีครอบครัวไหนกล้ารับนางเป็นสะใภ้?"หญิงสาวคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มซุบซิบกัน"ใช่ ข้าได้ยินว่าแม่นางซูถูกเลี้ยงมาภายใต้การดูแลของแม่เจ้าใช่หรือไม่? แล้วทำไมถึงเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนเนรคุณได้?""เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้สำหรับพี่ชายเจ้าแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี รอดูเถอะ ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่คนที่อยากจะส่งไม่สื่อไปคุยกับพี่ชายเจ้า""แม่ของเจ้าก็ช่างใจดีเหลือเกิน ถ้าเป็นแม่ข้าล่ะก็ ไม่มีทางยอมแน่นอน"ลู่หมิงซือถอนหายใจ "ทำอย่างไรได้ ในเมื่อท่านย่าเป็นคนตัดสินใจ ปกติอย่าว่า
องค์หญิงอวี้หยางจะกล้าหาญเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ถามต่อหน้าว่าเมิ่งชิงไต้ไม่ให้ความสำคัญกับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทหรือไม่ แถมยังถามว่าเมิ่งชิงไต้กับลู่เหิงจือมีความสัมพันธ์ลับกันหรือไม่อีก แสดงออกถึงความหึงหวงชัดเจนไปแล้วพระสนมรุ่ยได้แต่ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมิ่งชิงไต้กล่าวอย่างสงบ "ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทสูงส่งมาก ชิงไต้ไม่กล้าคิดไปเองหรอกเพคะ ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปกันใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงพูดเช่นนี้เพราะเหตุใดเพคะ?"องค์หญิงอวี้หยางเอนตัวพิงเก้าอี้ยาว ใช้มือประคองศีรษะ จ้องมองนาง "ข้าเห็นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ประมูลภาพของคุณหนูเมิ่งไป จึงคิดว่าคุณหนูเมิ่งมีความสัมพันธ์อะไรกับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ กล่าวเช่นนี้ เป็นข้าเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ?"นางจงใจพูดลากเสียงยาว เหมือนกำลังลองเชิงเมิ่งชิงไต้แน่นอนว่าภาพนั้นเซี่ยถิงอวี่เป็นคนที่สั่งให้ลู่เหิงจือประมูลไป แต่ถ้าให้พูดถึง เมิ่งชิงไต้ก็รู้สึกประหม่า ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ใสกระจ่างของซูชิงลั่ว ราวกับเสียงนกขมิ้นที่ไพเราะ"องค์หญิงคงเ
หนิงไห่ลู่อาศัยที่ตัวเองเป็นหลานชายของกุ้ยเฟย ทำเรื่องเลวร้ายในเมืองหลวงมาตลอดหลายปี ไม่เพียงแต่ทะเลาะวิวาท ยังเคยฉุดคร่าผู้หญิงชาวบ้านจนเกิดเรื่องถึงชีวิตอีกด้วยแต่เพราะกุ้ยเฟยกำลังเป็นที่โปรดปรานมาก จนแทบจะเทียบเท่ากับฮองเฮา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดก็ถูกปกปิดไว้ได้นอกประตูจวนรุ่ยอ๋อง เฉียนเหวินหลิงไม่ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ บ้านตระกูลลู่ก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ จึงได้แต่ระงับความโกรธสั่งให้คนรับใช้เปิดทางคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกรีบหลีกทางให้ทันทีหนิงไห่ลู่ทุบรถม้าอย่างแรงอีกครั้ง "นี่เป็นรถม้าของตระกูลไหน รู้จักหลีกทางก็ถือว่าฉลาดแล้ว..."สายลมพัดผ่านทำให้ผ้าม่านรถม้าเปิดขึ้นเล็กน้อยหนิงไห่ลู่ใช้ดวงตาที่เมามายเหลือบมองขึ้นไปเห็นดวงตาคู่งามดั่งน้ำใส ทำให้ทั้งร่างรู้สึกอ่อนระทวยความรู้สึกหื่นกระหายที่รุนแรงเกิดขึ้นในดวงตาของเขาฉับพลัน ซูชิงลั่วตกใจจนรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ซูชิงลั่วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหนิงไห่ลู่ถูกใครบางคนจับขึ้นมาเหมือนแมวเหมือนหมา แล้วโยนทิ้งไปที่ข้างถนนเขาตะโกนขึ้นเสียงดัง "ใครกล้ามาทำร้า
ซูชิงลั่วเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ซ่งเหวินก็เอายามาส่งให้ด้วยตัวเอง"นี่เป็นยาที่หมอหลวงปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ใต้เท้าของข้ากำชับว่า ผิวของคุณหนูบอบบาง ไม่ควรให้บาดแผลก่อนหน้านี้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้"น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าแค่โดนน้ำชาลวกมือนิดหน่อยก็แดงแล้ว คาดว่าบาดแผลก่อนหน้านี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้เขาช่างเป็นคนละเอียดจริงๆซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนรับยาทาแผลมาพร้อมกล่าวเบาๆ ว่า "ฝากกลับไปบอกขอบคุณใต้เท้าของเจ้าด้วย อีกอย่าง...ของที่เขาต้องการ ข้าจะรีบทำให้เร็วที่สุด"ซ่งเหวินรับคำแล้วจากไป ราวกับไม่สนใจเลยว่าใต้เท้าของเขาต้องการอะไรกลับเป็นอวี้จู๋ที่อดถามขึ้นด้วยดวงตาที่ใคร่รู้ไม่ได้ "ของอะไรหรือเจ้าคะ?"จื๋อหยวนพูดเสียงเบา "อย่าพูดมาก"อวี้จู๋แลบลิ้นออกมาอย่างขบขัน ไม่พูดอะไรอีกซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำกระดาษและพู่กันมา นางรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ ภาพลักษณ์ที่ดูภูมิฐานของลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ที่วัดในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของนาง จึงเริ่มใช้พู่กันวาดภาพต้นไผ่ขึ้นมาเมื่อวาดลายดอกไม้เสร็จแล้ว นางก็เลือกเส้นด้ายสีเขียวเข้ม สีขาว และสีทองดำ ตั้งใจว่าจะใช้ด้ายสีทองดำในการเย็บโครงก