องค์หญิงอวี้หยางจะกล้าหาญเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ถามต่อหน้าว่าเมิ่งชิงไต้ไม่ให้ความสำคัญกับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทหรือไม่ แถมยังถามว่าเมิ่งชิงไต้กับลู่เหิงจือมีความสัมพันธ์ลับกันหรือไม่อีก แสดงออกถึงความหึงหวงชัดเจนไปแล้วพระสนมรุ่ยได้แต่ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมิ่งชิงไต้กล่าวอย่างสงบ "ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทสูงส่งมาก ชิงไต้ไม่กล้าคิดไปเองหรอกเพคะ ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปกันใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงพูดเช่นนี้เพราะเหตุใดเพคะ?"องค์หญิงอวี้หยางเอนตัวพิงเก้าอี้ยาว ใช้มือประคองศีรษะ จ้องมองนาง "ข้าเห็นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ประมูลภาพของคุณหนูเมิ่งไป จึงคิดว่าคุณหนูเมิ่งมีความสัมพันธ์อะไรกับท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ กล่าวเช่นนี้ เป็นข้าเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ?"นางจงใจพูดลากเสียงยาว เหมือนกำลังลองเชิงเมิ่งชิงไต้แน่นอนว่าภาพนั้นเซี่ยถิงอวี่เป็นคนที่สั่งให้ลู่เหิงจือประมูลไป แต่ถ้าให้พูดถึง เมิ่งชิงไต้ก็รู้สึกประหม่า ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ใสกระจ่างของซูชิงลั่ว ราวกับเสียงนกขมิ้นที่ไพเราะ"องค์หญิงคงเ
หนิงไห่ลู่อาศัยที่ตัวเองเป็นหลานชายของกุ้ยเฟย ทำเรื่องเลวร้ายในเมืองหลวงมาตลอดหลายปี ไม่เพียงแต่ทะเลาะวิวาท ยังเคยฉุดคร่าผู้หญิงชาวบ้านจนเกิดเรื่องถึงชีวิตอีกด้วยแต่เพราะกุ้ยเฟยกำลังเป็นที่โปรดปรานมาก จนแทบจะเทียบเท่ากับฮองเฮา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดก็ถูกปกปิดไว้ได้นอกประตูจวนรุ่ยอ๋อง เฉียนเหวินหลิงไม่ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ บ้านตระกูลลู่ก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ จึงได้แต่ระงับความโกรธสั่งให้คนรับใช้เปิดทางคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกรีบหลีกทางให้ทันทีหนิงไห่ลู่ทุบรถม้าอย่างแรงอีกครั้ง "นี่เป็นรถม้าของตระกูลไหน รู้จักหลีกทางก็ถือว่าฉลาดแล้ว..."สายลมพัดผ่านทำให้ผ้าม่านรถม้าเปิดขึ้นเล็กน้อยหนิงไห่ลู่ใช้ดวงตาที่เมามายเหลือบมองขึ้นไปเห็นดวงตาคู่งามดั่งน้ำใส ทำให้ทั้งร่างรู้สึกอ่อนระทวยความรู้สึกหื่นกระหายที่รุนแรงเกิดขึ้นในดวงตาของเขาฉับพลัน ซูชิงลั่วตกใจจนรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ซูชิงลั่วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหนิงไห่ลู่ถูกใครบางคนจับขึ้นมาเหมือนแมวเหมือนหมา แล้วโยนทิ้งไปที่ข้างถนนเขาตะโกนขึ้นเสียงดัง "ใครกล้ามาทำร้า
ซูชิงลั่วเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ซ่งเหวินก็เอายามาส่งให้ด้วยตัวเอง"นี่เป็นยาที่หมอหลวงปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ใต้เท้าของข้ากำชับว่า ผิวของคุณหนูบอบบาง ไม่ควรให้บาดแผลก่อนหน้านี้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้"น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าแค่โดนน้ำชาลวกมือนิดหน่อยก็แดงแล้ว คาดว่าบาดแผลก่อนหน้านี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้เขาช่างเป็นคนละเอียดจริงๆซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนรับยาทาแผลมาพร้อมกล่าวเบาๆ ว่า "ฝากกลับไปบอกขอบคุณใต้เท้าของเจ้าด้วย อีกอย่าง...ของที่เขาต้องการ ข้าจะรีบทำให้เร็วที่สุด"ซ่งเหวินรับคำแล้วจากไป ราวกับไม่สนใจเลยว่าใต้เท้าของเขาต้องการอะไรกลับเป็นอวี้จู๋ที่อดถามขึ้นด้วยดวงตาที่ใคร่รู้ไม่ได้ "ของอะไรหรือเจ้าคะ?"จื๋อหยวนพูดเสียงเบา "อย่าพูดมาก"อวี้จู๋แลบลิ้นออกมาอย่างขบขัน ไม่พูดอะไรอีกซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำกระดาษและพู่กันมา นางรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ ภาพลักษณ์ที่ดูภูมิฐานของลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ที่วัดในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของนาง จึงเริ่มใช้พู่กันวาดภาพต้นไผ่ขึ้นมาเมื่อวาดลายดอกไม้เสร็จแล้ว นางก็เลือกเส้นด้ายสีเขียวเข้ม สีขาว และสีทองดำ ตั้งใจว่าจะใช้ด้ายสีทองดำในการเย็บโครงก
ลู่หมิงซือเคยถูกตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มาก่อนที่ไหน น้ำตานองหน้า ทนความอับอายไม่ไหว รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันทีนางหลิ่วเป็นห่วงนาง จึงรีบตามออกไปด้วยซูชิงลั่วมองท่านยายด้วยความซาบซึ้งใจ คาดไม่ถึงว่าท่านยายจะทำเพื่อนางขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นหลานหญิงชราหันไปบอกกับนางเฉียนว่า "เจ้าลำบากมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิด"นางเฉียนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว จึงเดินจากไปด้วยความพึงพอใจหญิงชราจับมือซูชิงลั่วไว้แล้วพูดด้วยท่าทีจริงจัง "ชิงลั่ว เจ้าต้องทนทุกข์มามากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ามาเรียนรู้วิธีจัดการร้านกับข้าที่นี่ ต้องยืนหยัดให้ได้โดยเร็ว จะได้ไม่มีใครมารังแกเจ้าได้อีก"ซูชิงลั่วเอนตัวไปซบอก "เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ"จากนั้น ซูชิงลั่วก็ไปตรวจสอบบัญชีที่เรือนของหญิงชราในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนก็รีบกลับมาสาละวนกับการเย็บโครง เมื่อเย็บโครงเสร็จ นางก็เริ่มลงมือปักลวดลายบนถุงหอม หวังว่าจะทำเสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้มอบให้กับลู่เหิงจือในเร็ววัน...ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มีถุงหอมเลยสักใบวันนี้ซูชิงลั่วก็ไปคารวะหญิงชราแต่เช้าตามปกติแต่
พอได้ยินเรื่องกระโปรงที่ทำตกไว้ ซูชิงลั่วก็ตกใจขึ้นมาทันที...กระโปรงตัวนั้นที่นางโยนทิ้งไป นางลืมเอากลับมาจริงๆหากมีคนเก็บไปได้จริง ไม่รู้เลยว่าจะถูกนำไปขยายความอย่างไรบ้างอวี้จู๋พูดอย่างโกรธเคือง "พวกคนข้างนอกพวกนั้นมันเป็นใครกันแน่ กล้าปั้นเรื่องใส่ร้ายคุณหนูของพวกเราแบบนี้"แต่จื๋อหยวนกลับมองซูชิงลั่วอย่างเป็นกังวล ภาพในหัวของนางย้อนกลับไปในวันที่ลู่เหิงจือค่อยๆ ผูกสายคาดเอวอย่างใจเย็น นางอดคิดไม่ได้ว่าคนในข่าวลือจะเป็น...ลู่เหิงจือหรือไม่ซูชิงลั่ววางบัญชีในมือลง กำมือแน่น...คนที่ทำร้ายนางที่วัดเซิ่งอันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้วนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วสั่งจื๋อหยวนเสียงเบา "เจ้าไปหาซ่งเหวินที่เรือนหน้า บอกว่าข้าอยากพบกับใต้เท้าลู่"จื๋อหยวนอึ้งไปชั่วครู่ "ตะ...ตอนนี้หรือเจ้าคะ?"ในช่วงเวลานี้ ยังจะนัดพบกับคุณชายเหิงที่สามอีกหรือ คุณหนูของนางชักจะกล้ามากขึ้นทุกทีแล้ว?ซูชิงลั่วผลักนางเบาๆ "รีบไปเร็ว"ตอนนี้นอกจากลู่เหิงจือแล้ว นางไม่มีใครให้พึ่งพาได้อีกเรื่องกระโปรง นางต้องรีบไปขอให้ลู่เหิงจือช่วยจื๋อหยวนพยักหน้า แล้วรีบออกไปทันทีข่าวลือนี้ย่อมทำให้หญิงชราตกใจ หญิง
นางยังพูดไม่จบ แต่เชื่อว่าลู่เหิงจือน่าจะเข้าใจความหมายของนางแน่นอนนางมองลู่เหิงจือด้วยความไม่สบายใจ รู้สึกใจหวิวๆลู่เหิงจือหรี่ตามองนาง น้ำเสียงของเขาดูมั่นใจเต็มเปี่ยม "เขาไม่ทำเช่นนั้นหรอก""ทำไมล่ะ?""เพราะกระโปรงตัวนั้นอยู่กับข้าอย่างไร"น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับเหมือนสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมากลางหัวของซูชิงลั่ว"อยู่...กับท่าน?"ลู่เหิงจือพยักหน้าตอบเบาๆ "หลังจากที่เจ้าพูดจบวันนั้น ข้าก็สั่งให้ทหารลับไปเอามันกลับมาแล้ว"หัวใจของซูชิงลั่วแทบจะหลุดออกมาทีเดียว นางบิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ ใบหน้าแดงร้อน "แล้ว...แล้วทำไมท่านไม่คืนมันให้ข้า?"นั่นมันกระโปรงของนาง เขาจะเก็บสิ่งที่เป็นของส่วนตัวของนางเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร?หรือว่าเขาคิดอะไรเกินเลยกับนางจริงๆ?ภายในห้องเงียบสงัดจนเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นลู่เหิงจือก้าวขาไปหานางก้าวหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?"เสียงของเขาดังอยู่เหนือศีรษะของนาง ราวกับสายน้ำใสไหลเอื่อย แต่ก็เหมือนแฝงไปด้วยความยั่วยวนบางอย่างซูชิงลั่วถึงกับหายใจช้าลง นางกำผ้าเช็ดมือแน่นไม่ขยับคำพูดนี้แสดงความนัยอย่างชัดเจน แต่เขา
ที่หน้าประตูจวนลู่ ชาวบ้านที่มามุงดูความวุ่นวายมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆชายคนหนึ่งที่ชื่อถังฉวง มีปานดำอยู่ที่คอ เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงในแถบชานเมือง เขาพาลูกน้องสี่ห้าคนมายืนที่หน้าประตูจวนลู่ ในมือถือกระโปรงสีเหลืองอ่อนแกว่งไปมา เอาแต่พูดว่าจะแต่งงานกับซูชิงลั่วคนพวกนี้กล้าหาญมาก แม้แต่คนรับใช้ก็ไล่ไม่ไปหญิงชราเรียกสะใภ้ทั้งหลายมาหารือว่าควรทำอย่างไรนางหลิ่วพูดขึ้นก่อนว่า "ข้าขอถามหน่อย กระโปรงตัวนั้นไม่ใช่ของชิงลั่วจริงๆ หรือเจ้าคะ? แล้วช่วงที่อยู่ที่วัดเซิ่งอันนั้น มันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ใช่ไหม?"สีหน้าของนางเฉียนมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยนางหลิ่วเหลือบมองไปที่นางเฉียนแล้วหัวเราะ "พี่สะใภ้ ชิงลั่ว หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ควรพูดมันออกมาซะ พวกเราจะได้ช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข ไม่เช่นนั้นอาจจะสายเกินไปนะ"ซูชิงลั่วมองที่นางหลิ่วด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง "กระโปรงตัวนั้นไม่มีทางเป็นของข้า ท่านน้ารอง ดูเหมือนว่าท่านจะหวังให้ข้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันมากเลยนะเจ้าคะ"นางหลิ่วหัวเราะ "จะเป็นไปได้อย่างไร น้าก็แค่ห่วงเจ้าหรอก"แต่สีห
นางเหอพูดว่า "นี่…"คนที่มามุงดูมีมากมาย เกรงว่าตอนบ่ายนี้ข่าวคงจะกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วนางหลิ่วพูดเสียงเย็น "ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ดีกว่าการปล่อยให้เขาพูดจาสกปรกอยู่ข้างนอกนั่น"ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นว่า "เขาก็เป็นแค่นักเลงหัวไม้ เขาพูดอะไรมาข้าซูชิงลั่วก็ต้องยอมรับด้วยหรือ? มันมีเหตุผลอย่างนี้ที่ไหนกัน?"นางลุกขึ้นแล้วคารวะ "ท่านยาย ชิงลั่วอยากออกไปเผชิญหน้ากับเขาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ"หญิงชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรซูชิงลั่วพูดว่า "ท่านยาย มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่สู้พูดคุยกันอย่างเปิดเผยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางกำจัดเรื่องสกปรกที่เขาใส่ร้ายชิงลั่วออกได้แน่"หญิงชราครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องทำอย่างนั้น"แววตาของซูชิงลั่วแสดงความเยือกเย็นออกมา "ขอให้ท่านยายส่งคนไปแจ้งทางจวนท่านเจ้าเมืองหลวงในทันทีด้วย คนผู้นี้เตรียมตัวมาอย่างดี เกรงว่าคงจะไม่ยอมจากไปโดยง่าย"ซูชิงลั่วหมุนตัวไปและเดินไปยังลานด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมประตูใหญ่ถูกปิดอยู่ แต่ก็ยังคงได้ยินคำพูดไร้ยางอายของถังฉ่วงดังข้ามมาว่า "ทั้งๆ ที่คุณหนูซูบ้านตระกูลลู่ของ