ที่หน้าประตูจวนลู่ ชาวบ้านที่มามุงดูความวุ่นวายมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆชายคนหนึ่งที่ชื่อถังฉวง มีปานดำอยู่ที่คอ เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงในแถบชานเมือง เขาพาลูกน้องสี่ห้าคนมายืนที่หน้าประตูจวนลู่ ในมือถือกระโปรงสีเหลืองอ่อนแกว่งไปมา เอาแต่พูดว่าจะแต่งงานกับซูชิงลั่วคนพวกนี้กล้าหาญมาก แม้แต่คนรับใช้ก็ไล่ไม่ไปหญิงชราเรียกสะใภ้ทั้งหลายมาหารือว่าควรทำอย่างไรนางหลิ่วพูดขึ้นก่อนว่า "ข้าขอถามหน่อย กระโปรงตัวนั้นไม่ใช่ของชิงลั่วจริงๆ หรือเจ้าคะ? แล้วช่วงที่อยู่ที่วัดเซิ่งอันนั้น มันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ใช่ไหม?"สีหน้าของนางเฉียนมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยนางหลิ่วเหลือบมองไปที่นางเฉียนแล้วหัวเราะ "พี่สะใภ้ ชิงลั่ว หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ควรพูดมันออกมาซะ พวกเราจะได้ช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข ไม่เช่นนั้นอาจจะสายเกินไปนะ"ซูชิงลั่วมองที่นางหลิ่วด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง "กระโปรงตัวนั้นไม่มีทางเป็นของข้า ท่านน้ารอง ดูเหมือนว่าท่านจะหวังให้ข้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่วัดเซิ่งอันมากเลยนะเจ้าคะ"นางหลิ่วหัวเราะ "จะเป็นไปได้อย่างไร น้าก็แค่ห่วงเจ้าหรอก"แต่สีห
นางเหอพูดว่า "นี่…"คนที่มามุงดูมีมากมาย เกรงว่าตอนบ่ายนี้ข่าวคงจะกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วนางหลิ่วพูดเสียงเย็น "ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ดีกว่าการปล่อยให้เขาพูดจาสกปรกอยู่ข้างนอกนั่น"ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นว่า "เขาก็เป็นแค่นักเลงหัวไม้ เขาพูดอะไรมาข้าซูชิงลั่วก็ต้องยอมรับด้วยหรือ? มันมีเหตุผลอย่างนี้ที่ไหนกัน?"นางลุกขึ้นแล้วคารวะ "ท่านยาย ชิงลั่วอยากออกไปเผชิญหน้ากับเขาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ"หญิงชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรซูชิงลั่วพูดว่า "ท่านยาย มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่สู้พูดคุยกันอย่างเปิดเผยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางกำจัดเรื่องสกปรกที่เขาใส่ร้ายชิงลั่วออกได้แน่"หญิงชราครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องทำอย่างนั้น"แววตาของซูชิงลั่วแสดงความเยือกเย็นออกมา "ขอให้ท่านยายส่งคนไปแจ้งทางจวนท่านเจ้าเมืองหลวงในทันทีด้วย คนผู้นี้เตรียมตัวมาอย่างดี เกรงว่าคงจะไม่ยอมจากไปโดยง่าย"ซูชิงลั่วหมุนตัวไปและเดินไปยังลานด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมประตูใหญ่ถูกปิดอยู่ แต่ก็ยังคงได้ยินคำพูดไร้ยางอายของถังฉ่วงดังข้ามมาว่า "ทั้งๆ ที่คุณหนูซูบ้านตระกูลลู่ของ
แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนตัวซูชิงลั่ว ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ซูชิงลั่วหยิบกระโปรงสีเหลืองอ่อนที่จื๋อหยวนยื่นให้ขึ้นมา พร้อมกับกล่าวอย่างช้าๆ ว่า "เจ้าอาจจะไม่รู้ แม้ว่าตลอดหลายปีนี้ ข้าจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านตระกูลลู่ แต่ข้าก็เป็นชาวจินหลิงและคุ้นเคยกับการปักผ้าแบบซูโจว ดังนั้นลายปักบนกระโปรงของข้าจึงเป็นฝีมือข้ากับสาวใช้ของข้าเอง""และลักษณะเด่นที่สุดของการปักผ้าแบบซูโจวก็คือการปักสองด้าน" น้ำเสียงของซูชิงลั่วไพเราะกังวาน ราวกับเสียงจากสวรรค์นางพลิกกระโปรงกลับด้านและกางออก "ทุกคนสามารถดูได้ แม้ว่าลายปักนี้จะคล้ายกันมาก แต่ก็เป็นการปักด้านเดียว"จากนั้นนางก็สั่งให้อวี้จู๋ไปเอาชุดของตัวเองมา ไม่นาน อวี้จู๋ก็นำชุดมาให้อีกหลายชุดเพื่อแสดงให้ทุกคนได้ดูซูชิงลั่วถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า "เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?""อย่างนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ว่าจวนลู่ร่ำรวยขนาดนี้ คุณหนูจะลักลอบไปมีสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างไร""ยังจะต้องดูเสื้อผ้าทำไมอีก เขาแยกแยะไม่ได้กระทั่งใครเป็นสาวใช้หรือคุณหนู ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาแค่ไม่รู้ไปได้กระโปรงตัวนี้มาจากไหนแล้วมาโวยวายเพื่อก่อก
เมื่อถังฉ่วงเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงรีบพูดเสียงดังว่า "ข้าไม่ควรใส่ร้ายคุณหนู ขอคุณหนูโปรดยกโทษให้ข้าด้วย"ลู่เหิงจือหันกลับมาอย่างรวดเร็ว มองถังฉ่วงด้วยสายตาดุดัน "ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรที่ไม่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรมอง ก็จงดึงลิ้นและควักลูกตาของเขาออกมาซะ"ซูชิงลั่วอดตกใจไม่ได้ ตอนนี้นางเพิ่งได้เห็นด้วยตาตนเองว่าลู่เหิงจือนั้นโหดเหี้ยมตามคำเล่าลือเพียงใดลู่เหิงจือเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านาง ปิดตาของนางไว้ไม่ให้มองไปที่ถังฉ่วง พูดเสียงเรียบว่า "เข้าไปข้างในก่อน"น้ำเสียงเชิงบังคับซูชิงลั่วรีบพาจื๋อหยวนเข้าไปข้างใน หัวใจเต้นระรัวเพิ่งกลับหลังหัน ก็ได้ยินว่ามีทหารจากจวนเจ้าเมืองมาถึงได้ยินเสียงของลู่เหิงจือที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง "บอกใต้เท้าของพวกเจ้า หากภายในวันนี้ไม่สามารถสอบสวนคนผู้นี้ได้เสร็จสิ้น เข้าก็ไม่ต้องเป็นเจ้าเมืองหลวงแล้ว"ซูชิงลั่วกลับไปที่เรือนของหญิงชรา ซึ่งมีคนไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอยู่ก่อนแล้วนางเฉียนกล่าวชมเสียงดัง นางเหอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเพียงนางหลิ่วที่ยิ้มออกมาได้อย่างแข็งฝืนเหลือเกินเมื่อซูชิงลั่วมองดูท่าทางของนางหลิ่วก
เหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มแผ่นหลังของนางหลิ่วหลังจากที่ลู่จือ ลู่โย่วและลู่เหริน สามพี่น้องมาถึงโดยพร้อมกันแล้ว ลู่เหิงจือก็สั่งให้บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไป จากนั้นเขาก็หยิบคำสารภาพจากที่ว่าการเจ้าเมืองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ เล่าถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับซูชิงลั่วที่วัดเซิ่งอันด้วย นางถูกบีบให้ต้องกระโดดหน้าต่างเพื่อเอาตัวรอด แล้วบังเอิญได้พบกับลู่เหิงจือที่ไปถวายน้ำมันตะเกียงให้กับบิดาพอดี จึงได้รับการช่วยเหลือขณะนี้ได้สอบสวนจนทราบแล้วว่าถังฉ่วงรู้จักกับน้องชายของอิงเยว่ และถูกอิงเยว่สั่งให้ติดสินบนแม่ชีในวัด พยายามทำลายความบริสุทธิ์ของซูชิงลั่วเพื่อจะแต่งงานกับนางและฮุบสินเดิม กระโปรงตัวนั้นก็เป็นอิงเยว่ที่สั่งคนเอาไปส่งให้เรื่องราวทั้งหมด ชัดเจนแจ่มแจ้งหญิงชราฟังแล้วก็ตกใจ พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ชิงลั่ว เจ้าเจอเรื่องแบบนี้ในวัดเซิ่งอัน เหตุใดจึงไม่บอกยาย? แล้วก็นางเฉียนเจ้าด้วย!"ลู่เหิงจือตอบเสียงเรียบ "กราบเรียนท่านยาย หลานกลัวว่าจะทำให้พวกเขาไหวตัวทัน จึงสั่งไม่ให้พวกนางพูดออกไป เรื่องนี้หลานได้ให้ท่านเจ้าเมืองตรวจสอบมาเป็นเวลาเกือบครึ่
หญิงชราพยักหน้าและพูดด้วยความเหนื่อยล้า "วันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว"นางตบไปที่มือของชิงลั่วเบาๆ "พรุ่งนี้ข้าค่อยคุยกับเจ้าอีกครั้ง"ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว หญิงชราไม่ได้ดื่มกินอะไรเลยตลอดทั้งบ่าย แถมยังเสียแรงใจไปมาก ร่างกายจึงเริ่มรับไม่ไหวทุกคนเอ่ยลาหญิงชราไปตามลำดับซูชิงลั่วเดินออกมาจากในห้อง แสงจันทร์นวลเย็นสาดส่องลงในลานบ้าน จนพื้นดินราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำค้างแม้จะลงโทษนางหลิ่วซื่อไปแล้ว แต่นางก็ไม่อาจอธิบายความรู้สึกในใจของตนเองได้ ตอนที่ลู่โย่วจากไป เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยลานางเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกราวกับว่านางกำลังค่อยๆ ห่างเหินจากน้าชายคนนี้ไปเรื่อยๆ แล้วนางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถือโคมไฟแล้วเดินต่อไปเมื่อเดินพ้นเรือนของหญิงชรา นางก็เห็นลู่เหิงจือยืนอยู่ตรงทางเดินยาว เงาของเขายืดยาวออกไปภายใต้แสงจันทร์ข้างๆ เขามีซ่งเหวินคอยติดตามอยู่ ซ่งเหวินถือกล่องอาหารไว้ในมือซูชิงลั่วชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปทำความเคารพ "ใต้เท้า"ลู่เหิงจือก้มลงมองนาง ถามว่า "วันนี้ตกใจหรือไม่?"วันนี้หลังจากที่เขาบอกว่าจะตัดลิ้นและควักลูกตาของคนผู้นั้นต่อหน้านาง
"เจ้าวางใจได้ ในตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถเล่นงานข้าได้หรอก"กระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา คำพูดของลู่เหิงจือก็ยังคงดังก้องวนอยู่ในหัวของซูชิงลั่วน้ำเสียงของเขาขณะพูดนั้นแผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ จนทำให้ซูชิงลั่วลืมถามคำถามที่นางอยากรู้ไปเลย นั่นคือทำไมเขาถึงยอมช่วยนางครั้งแล้วครั้งเล่า?แล้วนางจะช่วยอะไรเขาได้?ตอนที่ไปคารวะหญิงชรา นางจึงจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดเซิ่งอันอย่างละเอียดแต่เรื่องที่ถูกวางยาปลุกกำหนัดยังคงบอกไม่ได้ นางจึงอ้างว่า โชคดีที่มีหน้าต่างบานหนึ่งยังไม่ถูกปิดสนิท นางจึงรอดมาได้หญิงชราฟังแล้วใจหายใจคว่ำ รู้สึกสงสารจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ "ไม่คิดเลยว่านางหลิ่วจะใจคอโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้"ครู่หนึ่งอารมณ์ของนางจึงได้สงบลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ และเริ่มกังวลเรื่องการแต่งงานของซูชิงลั่วอีกครั้งหลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อวาน ต่อให้ซูชิงลั่วจะบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากนางเป็นคนเกิดเรื่อง ในเวลาอันสั้นคงไม่มีใครมาสอบถามเรื่องการแต่งงานของซูชิงลั่วอีกแน่แต่ซูชิงลั่วกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่รีบร้อนที่จะแต
ในร้านยังมีนายหญิงและคุณหนูอีกหลายคนที่กำลังซื้อของอยู่ ก่อนหน้านี้พวกนางต่างได้ยินคำพูดของเฉิงซิ่ว ตอนนี้เลยรู้สึกสะใจไม่น้อยนายหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "พูดได้ดี หญิงสาวเช่นนี้ควรถูกสั่งสอนบ้าง พูดมาแต่ละคำนังจิ้งจอกๆ น่ารังเกียจจริงๆ"เฉิงซิ่วโกรธจนหน้าขาวซีด "เจ้า...ข้าเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลังเชียวนะ!"ซูชิงลั่วตอบกลับไปทีละคำอย่างหนักแน่น "ข้าเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของท่านอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ"เฉิงซิ่วโกรธจนพูดไม่ออก...ใครในแผ่นดินนี้ไม่รู้จักลู่เหิงจือบ้าง แล้วมีใครกล้าไปหาเรื่องเขาบ้าง?ลู่หมิงซือที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามปลอบโดยการจับมือเฉิงซิ่วไว้ "พอเถอะเฉิงซิ่ว เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน"ซูชิงลั่วกล่าวเสียงเย็น "ผู้จัดการร้าน เชิญคนพวกนี้ออกไป แล้วต่อไปนี้ร้านค้าของเราทำการค้ากับตระกูลเฉิงอีก"เส้นด้ายจากร้านนี้ทนทาน มีสีสันหลากหลายและไม่ซีดง่าย นางจึงมักชอบมาซื้อด้ายที่นี่ร้านนี้เป็นของซูชิงลั่วหรือ?เฉิงซิ่วโกรธจนตัวสั่น "ต่อไปถึงเจ้าจะเชิญข้ามา ข้าก็ไม่มาหรอก"ลู่หมิงซือพาเฉิงซิ่วเดินออกจากร้าน แต่ยังไม่ทันออกพ้นจากประตู ก็ได้ยินซูชิงลั่วสั่งผู้จัดการร้านว่า "