ในร้านยังมีนายหญิงและคุณหนูอีกหลายคนที่กำลังซื้อของอยู่ ก่อนหน้านี้พวกนางต่างได้ยินคำพูดของเฉิงซิ่ว ตอนนี้เลยรู้สึกสะใจไม่น้อยนายหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "พูดได้ดี หญิงสาวเช่นนี้ควรถูกสั่งสอนบ้าง พูดมาแต่ละคำนังจิ้งจอกๆ น่ารังเกียจจริงๆ"เฉิงซิ่วโกรธจนหน้าขาวซีด "เจ้า...ข้าเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลังเชียวนะ!"ซูชิงลั่วตอบกลับไปทีละคำอย่างหนักแน่น "ข้าเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องของท่านอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ"เฉิงซิ่วโกรธจนพูดไม่ออก...ใครในแผ่นดินนี้ไม่รู้จักลู่เหิงจือบ้าง แล้วมีใครกล้าไปหาเรื่องเขาบ้าง?ลู่หมิงซือที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามปลอบโดยการจับมือเฉิงซิ่วไว้ "พอเถอะเฉิงซิ่ว เราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน"ซูชิงลั่วกล่าวเสียงเย็น "ผู้จัดการร้าน เชิญคนพวกนี้ออกไป แล้วต่อไปนี้ร้านค้าของเราทำการค้ากับตระกูลเฉิงอีก"เส้นด้ายจากร้านนี้ทนทาน มีสีสันหลากหลายและไม่ซีดง่าย นางจึงมักชอบมาซื้อด้ายที่นี่ร้านนี้เป็นของซูชิงลั่วหรือ?เฉิงซิ่วโกรธจนตัวสั่น "ต่อไปถึงเจ้าจะเชิญข้ามา ข้าก็ไม่มาหรอก"ลู่หมิงซือพาเฉิงซิ่วเดินออกจากร้าน แต่ยังไม่ทันออกพ้นจากประตู ก็ได้ยินซูชิงลั่วสั่งผู้จัดการร้านว่า "
ลู่เหิงจือสวมชุดยาวสีขาวนวล พลิกตัวลงจากม้าอย่างคล่องแคล่วราวกับน้ำไหล ดั่งกับเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ผู้คนรอบข้างต่างถูกท่วงท่าของเขาดึงดูดจนเผลออุทานออกมาอย่างตกใจ แต่หลังจากนั้นก็เงียบกริบอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยถูกบรรยากาศอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวท่านอัครมหาเสนาบดีคนนี้กดดันบุรุษผู้ที่หล่อเหลาประดุจเทพเซียน ในเวลานี้ใบหน้ากลับดุดันราวกับพญามัจจุราชเขาเดินตรงไปหาหนิงไห่ลู่ที่นอนตัวงออยู่บนพื้น ส่งเสียง "โอ๊ย" อยู่ทีละกาว เขายื่นเท้าออกมาขยี้มือของหนิงไห่ลู่ที่วางอยู่บนพื้นอย่างแรงเสียงของเขาเย็นชาแต่กลับแฝงด้วยความน่าขนลุก"ดูเหมือนว่าครั้งก่อนจะยังสั่งสอนไม่หลาบจำสินะ""อ๊าก..."หนิงไห่ลู่ส่งเสียงร้องโหยหวนครั้งก่อน? ครั้งก่อนอะไร?"เจ้าคงจำคนผิดไปแน่ๆ? ข้าเพิ่งเคยพบกับนางเป็นครั้งแรก ครั้งแรกจริงๆ!"ครั้งก่อนหนิงไห่ลู่ถูกลู่เหิงจือสั่งสอนในขณะที่เมามาย หลังจากสร่างเมาเขาก็จำเรื่องนี้ไม่ได้เลย และคนที่อยู่รอบข้างก็ไม่กล้าเอ่ยถึงลู่เหิงจือสีหน้าขรึมลง "ไม่เป็นไร ครั้งนี้จำให้แม่นล่ะ"เขาเงยหน้า มองไปที่ซูชิงลั่ว พร้อมชี้ปลายคางไปที่รถม้า พลางกล่าวเสียงเรียบ "ขึ้
เมื่อเฉิงซิ่วได้ยินเช่นนั้น นางก็เผยรอยยิ้มที่เข้าใจในทันที "จริงด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ชายข้าไปเยี่ยมคุณชายหนิงสักหน่อย"*เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนลู่ ลู่เหิงจือก็พลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วส่งแส้ม้าให้ซ่งเหวิน ก่อนจะหันไปมองที่รถม้าจื๋อหยวนค่อยๆ ประคองซูชิงลั่วลงจากรถม้าอย่างช้าๆ เดินเข้ามาโดยไม่กล้าสบตากับเขาลู่เหิงจือรอจนนางเข้าประตูไป แล้วจึงเหลือบไปมองเหล่าคนรับใช้ที่ตามออกไปวันนี้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เจ้านายคนเดียวยังดูแลไม่ได้ เลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร? โบยคนละยี่สิบไม้ แล้วไล่ออกไปให้หมด"ซ่งเหวินรีบรับคำทันทีพวกคนรับใช้รีบคุกเข่าขอความเมตตาลงกับพื้น แต่ก็ถูกซ่งเหวินสั่งให้คนมาลากตัวออกไปทันทีซูชิงลั่วเดินตามลู่เหิงจือไปตามทางเดินเรื่อยๆ จนถึงมาถึงทางเดินยาว เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาขอเขา จึงอดพูดอธิบายไม่ได้"วันนี้ข้าออกไปตรวจร้านค้าในการดูแล แล้วด้ายปักก็บังเอิญหมดพอดี จึงตั้งใจไปเอาที่ร้าน แต่ไม่คิดว่าจะเจอ...""ไม่ใช่ความผิดของเจ้า" ลู่เหิงจือหยุดเดิน"แต่ว่า..." ซูชิงลั่วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง "ท่านกำลังโกรธอยู่นี่นา"เขามองนางแวบหนึ่ง สีหน้าที่เย็นช
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส่แต่เช้า คิดไม่ถึงว่าตกบ่ายจะมีลมกระโชกแรงอย่างกะทันหัน ก่อนจะตามมาด้วยฝนกระหน่ำนอกหน้าต่างมีสายฟ้าแลบ จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องลั่นตามมาซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ หลังจากตั้งสติได้ก็พบว่าเข็มเย็บผ้าทิ่มเข้าไปในนิ้วแล้วจื๋อหยวนรีบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดหยดเลือดที่ปลายนิ้งของนาง : "คุณหนู ระวังด้วย"ซูชิงลั่วกลับเหม่อลอย ภายในหัวกลับมีคำพูดประโยคนั้นของลู่เหิงจือดังวนอยู่ซ้ำๆ "ตระกูลฉีปกป้องเจ้าไม่ได้" นางถอนหายใจเบาๆลู่เหิงจือพูดถูก ฐานะตระกูลฉีธรรมดา สินเดิมของนางมีมากเกินไป หากแต่งเข้าไปจริงๆ แล้วมีผู้ใดคิดก่อกวน ไม่แน่อาจจะทำให้ตระกูลฉีพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงกับจวนหย่งซุ่นป๋อถึงจะได้ที่ลู่เหิงจือพูดประโยคนี้กับนางมีนัยยะอย่างอื่นหรือเพียงแค่เพื่อเตือนสตินางเท่านั้น..."คุณหนู" จื๋อหยวนขานเรียก ทำให้ซูชิงลั่วได้สติกลับมา"ฟ้ามืดแล้ว วันนี้เลิกปักก่อนเถอะ""ไม่ได้ จุดเทียนเถอะ"ซูชิงลั่วถือถุงหอมนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ติดค้างลู่เหิงจืออยู่มากมาย แล้วก็ไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อเขาเลย เขาต้องการเพียงแค่ถุงหอมเล็กๆ ถุงเดียว นางต้องรี
เมิ่งชิงไต้กล่าว : "ที่บ้านยังไม่รู้ว่าข้ามาที่จวนลู่ ข้าอยู่นานไม่ได้"ซูชิงลั่วพลันพูดโพล่งออกไป : "แต่ท่านพี่ยังไม่ได้ดื่มกระทั่งชาร้อนสักแก้ว..."เมิ่งชิงไต้จับมือของนางไว้ : "คราวหน้าเถอะ ทักทายท่านยายแท่ข้าด้วย"ซูชิงลั่วจึงทำได้เพียงแค่ส่งนางกลับไปลมแรงพัดพาฝนเม็ดใหญ่ซัดกระเซ็น หลังจากลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่หนาวสั่นไปทั้งตัว ความหนาวแทรกซึมเข้าสู่ภายในใจราวกับมีแท่งน้ำแข็งทิ่มแทงหัวใจจื๋อหยวนเห็นนางใบหน้าซีดเซียว : "คุณหนู เกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่"ซูชิงลั่วเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงเปลวเทียนริบหรี่สั่นไหว ส่องให้เห็นถุงหอมอย่างสลัวๆสายตาของซูชิงลั่วหยุดอยู่บนถุงหอมระหว่างพูด : "เอากระดาษกับพู่กันมา"นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยความรวดเร็ว แล้วใส่เข้าไปในซอง ก่อนจะหันไปหยิบกล่องเครื่องประดับที่ทำจากไม้ดำดงออกมาจากหีบ นางเปิดกล่องออก ด้านในมีจี้หยกสีอ่อนชิ้นหนึ่งนางวางจี้หยกลงในมือของจื๋อหยวนด้วยท่าทางจริงจัง พลางพูดเสียงขรึม : "เจ้านำจี้หยกนี่ไปให้ผู้ใดก็ได้ในเรือนของใต้เท้าลู่ แล้วบอกให้เขาส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงใต้เท้าลู่โดยเร็วที่สุด"จื๋อหยวนไม่เข้าใจ :
ซูชิงลั่วชะงักงัน ภายในท่วมท้นไปด้วยความไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวหญิงชราดูออก จึงพูดปลอบโยน : "ข้าส่งคนไปถามมาแล้ว ฉีเช่อท่าทางสุขุมรูปงาม มีความรู้ ตระกูลฉีก็มีศีลธรรมอันดีงาม ข้ากับนายหญิงฉีก็พอจะสนิทสนมกันอยู่บ้าง คิดว่านางคงยอมช่วยข้า อีกทั้งหากเจ้าแต่งเข้าไปก็ไม่มีทางหมางเมินเจ้า"ซูชิงลั่วหลุบตาลง ไม่ได้ตอบอะไร"ไม่มีเวลาแล้ว" หญิงชราพูดด้วยความร้อนรน "หากลู่เหิงจืออยู่ จะได้ปรึกษากับเขาว่ายังพอมีหนทางใดอีกหรือไม่ เวลานี้ แม้จะให้คนส่งจดหมายไปทงโจวพรุ่งนี้เช้า ไปกลับก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ไม่ทันกาลแล้ว"หญิงชรากุมมือชิงลั่วไว้แน่น "ชิงลั่ว เกรงว่านี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้แล้ว"ความหวังอันริบหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของซูชิงลั่วพังลงในทันตานั่นสิ ฝนตกหนักเช่นนี้ เกรงว่าคนของลู่เหิงจือก็ไม่มีทางข้ามเขาไปส่งจดหมายถึงทงโจวในเวลาแบบนี้ได้ ครั้งนี้ เกรงว่าเขาคงอยู่ไกลเกินกว่าจะช่วยอะไรได้ฉุกลหุกเกินไป ฉุกลหุกจนนางไม่มีแม้แต่เวลาได้ไตร่ตรองอีกทั้ง นางพบว่าความไม่พอใจของนางไม่ได้มาจากการที่ต้องแต่งงานกับคนแปลกหน้าอย่างฉีเช่อ แต่เป็นเพราะนางไม่ได้อยากแต่งงานตั้งแต่แรก...
ขอบฟ้าส่องแสงสว่างจ้าในที่สุดถุงหอมก็ถูกปักจนเสร็จ ต้นไผ่เขียวชอุ่มดูมีชีวิตชีวาดุจของจริงซูชิงลั่วค่อยๆ พลิกด้านในของถุงหอมออกมาอย่างช้าๆ โครงร่างเดียวกัน แต่กลับเป็นดอกท้อสีชมพูบานสะพรั่งกิ่งหนึ่งที่นางใช้เวลาในการปักหลายวันขนาดนี้ ก็เพราะนางแอบซ่อนความคิดนี้ไว้ภายในดอกท้อบานสะพรั่ง แลเปล่งปลั่งสดใสสาวเจ้าเข้าวิวาห์ สามีภรรยารักใคร่ในใจรู้สึกถึงความขมขื่น นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะจัดถุงหอมให้เข้าที่เข้าทางใหม่อีกครั้ง แล้วใส่ลงในกล่องไม้จื๋อหยวนหาวหวอดก่อนจะตื่นขึ้นมา"คุณหนูไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ"ซูชิงลั่วอมยิ้ม ตอบอย่างอ่อนโยน : "ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ ไม่สู้หาอะไรทำดีกว่า"แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จื๋อหยวนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของซูชิงลั่วทำให้รู้สึกปวดใจไม่น้อยนางลุกขึ้นไปตักน้ำในห้องครัว ทว่าทันทีที่ก้าวออกไป เสียงประตูเรือนก็ดังขึ้นป้าที่เข้างานกะดึกยังไม่ตื่น อีกทั้งฝนก็ตกหนักเช่นนี้ ใครกันที่มาเคาะประตูแต่เช้าตรู่จื๋อหยวนวางอ่างทองแดงในมือลง แล้วกางร่มเดินไปเปิดประตู : "ใครกัน"แต่กลับต้องชะงักงันซ่งเหวินยืนกางร่มอยู่หน้าประตู แต่กลับเปียกโชกไปทั้งตัว
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างกะทันหันซูชิงลั่วตกใจจนเผลอทำร่มในมือเอียง สายฝนพลันรดลงมาบนศีรษะ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านลู่เหิงจือเอื้อมมือออกไปจับร่มของนางไว้ ร่มกลับมาอยู่เหนือหัวกันลมและฝนที่สาดมาได้อีกครั้งซูชิงลั่วพยายามประครองสติ มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา : "ใต้ ใต้เท้าบอกว่าแต่งกับท่าน ?"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ประโยคนี้ยังมีความหมายอื่นอีกหรือ"ซูชิงลั่วพูดเสียงอ่อย : "เปล่า ข้า ข้าเพียงแค่ถามยืนยันอีกครั้ง"ในใจของนางตื่นเต้นเหนือสิ่งอื่นใด ความคิดมากมายผุดเข้ามาในหัว แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้สติหลุดหลังจากได้ยินจากนั้นก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อ : "ไปคุยในห้องเจ้า"อยู่ในเรือน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้อื่นได้ยินแต่เพราะสถานการณ์คับขัน จึงไม่มีเวลามาพะวงเรื่องชายหญิงอยู่ตามลำพังซูชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลู่เหิงจือ โดยมีซ่งเหวินและจื๋อหยวนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเพราะลู่เหิงจือเข้าห้องนอนของนาง ทำให้ซูชิงลั่วทำตัวไม่ถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ที่ใดทว่าลู่เหิงจือกลับนิ่งสงบ เขาไม่ได้นั่งลง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดอย่างใจเ