เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างกะทันหันซูชิงลั่วตกใจจนเผลอทำร่มในมือเอียง สายฝนพลันรดลงมาบนศีรษะ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านลู่เหิงจือเอื้อมมือออกไปจับร่มของนางไว้ ร่มกลับมาอยู่เหนือหัวกันลมและฝนที่สาดมาได้อีกครั้งซูชิงลั่วพยายามประครองสติ มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา : "ใต้ ใต้เท้าบอกว่าแต่งกับท่าน ?"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ประโยคนี้ยังมีความหมายอื่นอีกหรือ"ซูชิงลั่วพูดเสียงอ่อย : "เปล่า ข้า ข้าเพียงแค่ถามยืนยันอีกครั้ง"ในใจของนางตื่นเต้นเหนือสิ่งอื่นใด ความคิดมากมายผุดเข้ามาในหัว แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้สติหลุดหลังจากได้ยินจากนั้นก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อ : "ไปคุยในห้องเจ้า"อยู่ในเรือน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้อื่นได้ยินแต่เพราะสถานการณ์คับขัน จึงไม่มีเวลามาพะวงเรื่องชายหญิงอยู่ตามลำพังซูชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลู่เหิงจือ โดยมีซ่งเหวินและจื๋อหยวนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเพราะลู่เหิงจือเข้าห้องนอนของนาง ทำให้ซูชิงลั่วทำตัวไม่ถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ที่ใดทว่าลู่เหิงจือกลับนิ่งสงบ เขาไม่ได้นั่งลง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดอย่างใจเ
"เช่นนั้นข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้"เขากลับหลังหันเตรียมจะเดินออกไป"ช้าก่อน"ซูชิงลั่วพูดด้วยความร้อนรน "แต่เมื่อวานท่านยายส่งจดหมายที่เขียนถึงตระกูลฉีไปที่ศาลาพักม้าแล้ว..."ลู่เหิงจือหันกลับมา สายตาหยุดอยู่บนตัวนาง : "ยกให้เป็นหน้าที่ข้า""อีกอย่าง" ภายในหัวของซูชิงลั่วสับสนวุ่นวาย ทำได้เพียงแค่คิดเช่นใดก็พูดเช่นนั้น "ก่อนหน้านี้ข้าเคยหมั้นกับลู่เหยียน พวกท่านเป็นพี่น้องกัน หากมีผู้ใดประณาม..."ลู่เหิงจือ : "พวกเจ้าเคยหมั้นกันหรือ ไม่ใช่เรื่องที่พูดเล่นกันตอนเด็กหรอกหรือ""อ่อ" ซูชิงลั่วค่อยๆ เบาใจลงมา "เช่นนั้นฝั่งท่านยาย อย่าบอกความจริงกับท่านได้หรือไม่ ท่านจะเป็นกังวลได้"ลู่เหิงจือ : "เรื่องนี้มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้"ซูชิงลั่วพยักหน้า เช่นนั้นก็ดีลู่เหิงจือไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนจะไปแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่กับที่แล้วพูดอย่างใจเย็น : "เจ้ายังมีสิ่งใดเป็นกังวล พูดออกมาไม่ได้เลย""เวลานี้คิดไม่ออกแล้ว" ซูชิงลั่วตอบเสียงอ่อน "ไม่เช่นนั้นรอท่านกลับมาจากในวังก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยกันโดยละเอียด"ลู่เหิงจือพยักหน้า "ได้ ข้าไม่มีเวลาไปพบท่านย่าแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปบอกท่านเอง จะได้ให้ท่
เสียงฝนตกพรำๆ นอกหน้าต่างหญิงชราเอ่ยด้วยความจริงจัง : "อันที่จริง ในความสัมพันธ์เครือญาติของเรา ลู่เหิงจือค่อนข้างห่างเหินกับเราอยู่บ้าง แม้จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่กลับไปมาหาสู่กันไม่นับว่าบ่อยนัก ตอนลู่เหิงจืออายุได้สิบสอง พ่อของเขาลู่เหรินจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคประจำตัว ทำให้บ้านขาดเสาหลัก เขาเองก็เข้าเรียนที่เดิมไม่ได้อีก"แม่ของเขามาขอร้องข้า หวังว่าลู่เหิงจือจะได้เรียนหนังสือกับตระกูลลู่ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าย่อมตอบตกลงเป็นธรรมดา"ยามนั้นทำไปก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก แต่ใครจะคิดถึงว่าเขากลับได้เป็นจอหงวน ด้วยความขยันหมั่นเพียรทำให้เขาได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี"สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงไปกว่านั้นคือ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากได้เป็นอัครมหาเสนาบดี คือสั่งประหารลู่จ้งอาแท้ๆ ของเขา โทษฐานปลอมเงิน"หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกราวกับถูกบีบคั้น เอ่ยถาม : "เช่นนั้นอาของเขาปลอมเงินจริงหรือไม่เจ้าคะ"หญิงชราตอบ : "อาของเขาเป็นช่างทำเครื่องเงิน แต่เขาเพียงแค่ผลิตเงินขึ้นมาเล่นๆ สองสามก้อนเท่านั้น โทษไม่ถึงตาย อาสะใภ้ของเขาบอกว่าลู่เหิงจือใช้อำนาจหลวงชำระแค้นส่วนตัว แต่เป็นเพราะเหต
ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนรักอย่างเฉิงไหวมาเยี่ยมพอดีเฉิงไหวเอ่ยถาม : "ข้าได้ยินน้องสาวบอกว่าวันนี้นางไปเดินตลาด เห็นเจ้าถูกลู่เหิงจือทำร้ายเข้าพอดี เจ็บหนักหรือไม่"เรื่องแพร่ออกไปไวเช่นนี้ หนิงไห่ลู่ได้แต่รู้สึกอับอาย : "โชคดีที่เป็นมือซ้าย หากเป็นมือขวา เหอะ ข้ากับลู่เหิงจือต้องตายกันไปข้างหนึ่ง น่าเสียดายที่ยามนี้เขามีอำนาจมากนัก ข้าไม่มีหนทางต่อกรกับเขา"เฉิงไหวหัวร่อ : "หญิงสาวผู้นั้นเป็นเพียงแค่บุตรสาวพ่อค้าที่จวนหย่งซุ่นป๋อรับอุปถัมภ์ไว้ ชื่อเสียงก็ไม่ได้ดีนัก เหตุใดไม่เข้าวังไปขอร้องกุ้ยเฟยให้ไปสู่ขอนางมาเล่า คงจะทำให้ทางนั้นได้ใจน่าดู"ถูกใจหนิงไห่ลู่ยิ่งนักลู่เหิงจือไม่ยอมให้เขาแตะต้องนางผู้นั้น เขาก็จะไปสู่ขอนางกลับมาอยู่ด้วยทุกวันให้ลู่เหิงจือดูหนิงไห่ลู่คิดภาพสีหน้าของลู่เหิงจือหลังจากที่ได้ยินว่าเขาจะสู่ขอนางผู้นั้น และท่าทางที่นางถูกเขาข่มเหงทรมานอยู่ใต้เรือนร่างเขาหลังจากสู่ขอนางมาแล้ว ในใจพลันเกิดความรู้สึกชอบอกชอบใจทันใดนั้นเองเขาก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ : "จริงสิ นางผู้นั้นชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร น้องสาวเจ้ารู้หรือไม่""ซูชิงลั่ว"หนิงไห่ลู่ไม่รอช
ซูชิงลั่วเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจือเพิ่งเข้าวังไปตอนเช้า ตกบ่ายฮ่องเต้ก็ทรงมีราชโองการพระราชทานพิธีแต่งงานให้เลยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรีบร้อนแล้วไปยังโถงรับรองทันที ลู่เหิงจือเองก็กลับมาแล้วเขาไม่มีเวลาถอดชุดพิธีออก ยังคงสวมเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินตัวนั้นอยู่ ราศีของความสูงสง่าเปล่งออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่ากงกงจากในวังที่กำลังแสดงความยินดีกับเขาราวกับดาวกำลังล้อมเดือนเมื่อเห็นนาง เขาก็หันมาพยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดทางซ้ายทีทางขวาที ให้ความรู้สึกเพียบพร้อมเก่งกาจไปทุกเรื่องทว่าซูชิงลั่วกลับหน้าแดงก่ำเพียงเพราะเขามองเธอแค่ผาดเดียว เมื่อเห็นหญิงชราออกมาก็รีบเข้าไปรับทันทีจวนหย่งซุ่นป๋อไม่รู้ว่ามีหนุ่มสาวกี่คนที่ไม่เคยรับพระราชโองการ หญิงชราเองก็ตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่ากันรอจนคนมาครบ จัดโต๊ะบูชาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ฟังกงกงอ่านพระราชโองการ แน่นอนว่ามีลู่เหิงจือเป็นผู้นำหลังจากประกาศพระราชโองการจบ ความกังวลภายในจิตใจของซูชิงลั่วก็สงบลงได้สักที นางถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งนางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มองตรงไปเห็นลู่
"ก่อนหน้านี้ไม่นาน น้องสี่มีสัมพันธ์กับใครอีกคน ถอนหมั้นกับชิงลั่ว หลานคิดว่า ชิงลั่วเพิ่งจะถอนหมั้นแล้วจะหารือเรื่องงานแต่งเลย อาจจะรู้สึกไม่เหมาะสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลานจึงคิดว่าควรรออีกหน่อยแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ แต่กลับไม่คิดว่าจะมีเรื่องชิงลั่วกับหนิงไห่ลู่อีก""หลานไม่อยากรอแล้ว หลังจากที่ถามความสมัครใจของชิงลั่ว ก็ตัดสินใจเข้าวังไปขอพระราชทานงานแต่งทันที""เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างฉุกลหุก ไม่ทันได้บอกท่านย่า หวังว่าท่านย่าจะไม่โกรธ"หลังจากพูดจบ ซูชิงลั่วเกือบจะเชื่อทุกอย่างแล้วจริงๆสมแล้วที่เป็นอัครมหาเสนาบดี สามารถคิดเหตุผลที่น่าเชื่อถือเช่นนี้ได้ภายในเวลาสั้นๆ ช่างน่ายกย่องเสียจริงหญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม : "เช่นนี้ ที่เจ้าไม่ได้สู่ขอใครเลยในช่วงหลายปีมานี้ ก็เพื่อชิงลั่วหรอกหรือ"ลู่เหิงจือตอบ : "ขอรับ"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้เขากล้าพูดทุกอย่างเลยจริงๆ คิดว่าเขาเป็นคนเย็นชาพูดน้อยมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้ในที่สุดหญิงชราก็เบาใจได้สักที น้ำเสียงก็พลอยอ่อนโยนตามไปด้วย : "เด็กดี รีบลุกขึ้นมานั่งเถอะ ข้าเองก็เป็นห่วงชิงลั
หลังจากที่หารือจนได้เวลาพอสังเขปมาแล้ว หญิงชราก็ให้ทั้งสองคนออกไป นางต้องรีบเชิญนางเฉียนและนางเหอมาปรึกษาว่าจะจัดงานเช่นไรดี เนื่องจากเวลากระชั้นชิดมากเกินไปทั้งสองคนออกมาจากห้องของหญิงชราซูชิงลั่วเดินตามหลังลู่เหิงจือ ก้มลงมองปลายเสื้อคลุมพญางูที่สั่นไหวเบาๆ ของเขา ลายเส้นด้ายสีทองพริ้วไหว นึกถึงก่อนหน้านี้ นางก็เคยเดินตามหลังเขาเช่นนี้ ตอนนั้นเขายังเปิดม่านในห้องแทนนางด้วยเพียงแต่ตอนนั้นยังคงอยู่ในฤดูหนาวระหว่างที่กำลังคิดเช่นนี้ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ม่านที่ร้อยด้วยมุกก็ถูกสองมือขาวสะอาดที่เห็นข้อต่อชัดเจนยกขึ้นอย่างช้าๆครั้งนี้ เขาไม่ได้เดินไปก่อน แต่กลับเบี่ยงตัวแล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางไปก่อนแสงแดดเจิดจ้าส่องทะลุม่านมุกเข้ามาดูเหมือนซูชิงลั่วจะถูกแดดส่องจนรู้สึกร้อนผ่าว ระหว่างที่เดินผ่านช่องว่างระหว่างแขนของเขาไป ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวเขา กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นอย่างหนึ่งนางไม่กล้ามองเขา หลังจากที่เดินออกมาแล้ว ได้ยินเสียงม่านมุกกระทบกันดังกังวาล ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงที่ใสสะอาดของเขา"ไปที่เรือนเจ้าหน่อย จะหารือเรื่องงา
โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าลง กระทั่งเขาเข้ามาใกล้ นางถึงจะเห็นว่าเข็มขัดบนเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินของเขามีถุงหอมสีเขียวเข้มของนางแขวนอยู่ หัวใจดวงนั้นของนางเต้นอย่างรุนแรงเขานั่งลง ขณะที่ซูชิงลั่วกำลังจะรินน้ำชาให้เขา มือของเขากลับจับกาน้ำชาอยู่ก่อนแล้ว"ข้าเอง"เขาถือแก้วน้ำชาไว้ในมือ น้ำชาไหลรินลงสู่ถ้วยชาลายครามเขียนสี ท่วงท่าของเขา มองแล้วชวนให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจยิ่งนักเขารินน้ำชาหนึ่งแก้ว ก่อนจะใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ดันถ้วยชามาตรงหน้านางเสียงก้นถ้วยน้ำชาเคลื่อนผ่านโต๊ะอย่างช้าๆ ฟังดูอื้ออึงและสากทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดทว่าลู่เหิงจือกลับดูนิ่งสงบ ไม่รีบร้อนใดๆ แต่บรรยากาศที่เงียบเกินเหตุเช่นนี้ทำให้ซูชิงลั่วเริ่มทำตัวไม่ถูกโชคดีที่ไม่นานนักลู่เหิงจือก็พูดขึ้นมา : "ยามนี้เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจวนลู่ หากจะจัดพิธีแต่งงานที่จวนลู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม แต่จะให้เจ้าย้ายออกไปก็ไม่ได้ ที่ตรอกปาเถียว ข้ามีเรือนอาศัยที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้อยู่ ฉะนั้น ข้าคงทำพิธีร