ซูชิงลั่วเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่เหิงจือเพิ่งเข้าวังไปตอนเช้า ตกบ่ายฮ่องเต้ก็ทรงมีราชโองการพระราชทานพิธีแต่งงานให้เลยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรีบร้อนแล้วไปยังโถงรับรองทันที ลู่เหิงจือเองก็กลับมาแล้วเขาไม่มีเวลาถอดชุดพิธีออก ยังคงสวมเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินตัวนั้นอยู่ ราศีของความสูงสง่าเปล่งออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่ากงกงจากในวังที่กำลังแสดงความยินดีกับเขาราวกับดาวกำลังล้อมเดือนเมื่อเห็นนาง เขาก็หันมาพยักหน้าให้นางเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดทางซ้ายทีทางขวาที ให้ความรู้สึกเพียบพร้อมเก่งกาจไปทุกเรื่องทว่าซูชิงลั่วกลับหน้าแดงก่ำเพียงเพราะเขามองเธอแค่ผาดเดียว เมื่อเห็นหญิงชราออกมาก็รีบเข้าไปรับทันทีจวนหย่งซุ่นป๋อไม่รู้ว่ามีหนุ่มสาวกี่คนที่ไม่เคยรับพระราชโองการ หญิงชราเองก็ตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่ากันรอจนคนมาครบ จัดโต๊ะบูชาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ฟังกงกงอ่านพระราชโองการ แน่นอนว่ามีลู่เหิงจือเป็นผู้นำหลังจากประกาศพระราชโองการจบ ความกังวลภายในจิตใจของซูชิงลั่วก็สงบลงได้สักที นางถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งนางเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มองตรงไปเห็นลู่
"ก่อนหน้านี้ไม่นาน น้องสี่มีสัมพันธ์กับใครอีกคน ถอนหมั้นกับชิงลั่ว หลานคิดว่า ชิงลั่วเพิ่งจะถอนหมั้นแล้วจะหารือเรื่องงานแต่งเลย อาจจะรู้สึกไม่เหมาะสมอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลานจึงคิดว่าควรรออีกหน่อยแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ แต่กลับไม่คิดว่าจะมีเรื่องชิงลั่วกับหนิงไห่ลู่อีก""หลานไม่อยากรอแล้ว หลังจากที่ถามความสมัครใจของชิงลั่ว ก็ตัดสินใจเข้าวังไปขอพระราชทานงานแต่งทันที""เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างฉุกลหุก ไม่ทันได้บอกท่านย่า หวังว่าท่านย่าจะไม่โกรธ"หลังจากพูดจบ ซูชิงลั่วเกือบจะเชื่อทุกอย่างแล้วจริงๆสมแล้วที่เป็นอัครมหาเสนาบดี สามารถคิดเหตุผลที่น่าเชื่อถือเช่นนี้ได้ภายในเวลาสั้นๆ ช่างน่ายกย่องเสียจริงหญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม : "เช่นนี้ ที่เจ้าไม่ได้สู่ขอใครเลยในช่วงหลายปีมานี้ ก็เพื่อชิงลั่วหรอกหรือ"ลู่เหิงจือตอบ : "ขอรับ"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้เขากล้าพูดทุกอย่างเลยจริงๆ คิดว่าเขาเป็นคนเย็นชาพูดน้อยมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีวาทศิลป์ถึงเพียงนี้ในที่สุดหญิงชราก็เบาใจได้สักที น้ำเสียงก็พลอยอ่อนโยนตามไปด้วย : "เด็กดี รีบลุกขึ้นมานั่งเถอะ ข้าเองก็เป็นห่วงชิงลั
หลังจากที่หารือจนได้เวลาพอสังเขปมาแล้ว หญิงชราก็ให้ทั้งสองคนออกไป นางต้องรีบเชิญนางเฉียนและนางเหอมาปรึกษาว่าจะจัดงานเช่นไรดี เนื่องจากเวลากระชั้นชิดมากเกินไปทั้งสองคนออกมาจากห้องของหญิงชราซูชิงลั่วเดินตามหลังลู่เหิงจือ ก้มลงมองปลายเสื้อคลุมพญางูที่สั่นไหวเบาๆ ของเขา ลายเส้นด้ายสีทองพริ้วไหว นึกถึงก่อนหน้านี้ นางก็เคยเดินตามหลังเขาเช่นนี้ ตอนนั้นเขายังเปิดม่านในห้องแทนนางด้วยเพียงแต่ตอนนั้นยังคงอยู่ในฤดูหนาวระหว่างที่กำลังคิดเช่นนี้ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ม่านที่ร้อยด้วยมุกก็ถูกสองมือขาวสะอาดที่เห็นข้อต่อชัดเจนยกขึ้นอย่างช้าๆครั้งนี้ เขาไม่ได้เดินไปก่อน แต่กลับเบี่ยงตัวแล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางไปก่อนแสงแดดเจิดจ้าส่องทะลุม่านมุกเข้ามาดูเหมือนซูชิงลั่วจะถูกแดดส่องจนรู้สึกร้อนผ่าว ระหว่างที่เดินผ่านช่องว่างระหว่างแขนของเขาไป ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวเขา กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นอย่างหนึ่งนางไม่กล้ามองเขา หลังจากที่เดินออกมาแล้ว ได้ยินเสียงม่านมุกกระทบกันดังกังวาล ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงที่ใสสะอาดของเขา"ไปที่เรือนเจ้าหน่อย จะหารือเรื่องงา
โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าลง กระทั่งเขาเข้ามาใกล้ นางถึงจะเห็นว่าเข็มขัดบนเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินของเขามีถุงหอมสีเขียวเข้มของนางแขวนอยู่ หัวใจดวงนั้นของนางเต้นอย่างรุนแรงเขานั่งลง ขณะที่ซูชิงลั่วกำลังจะรินน้ำชาให้เขา มือของเขากลับจับกาน้ำชาอยู่ก่อนแล้ว"ข้าเอง"เขาถือแก้วน้ำชาไว้ในมือ น้ำชาไหลรินลงสู่ถ้วยชาลายครามเขียนสี ท่วงท่าของเขา มองแล้วชวนให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจยิ่งนักเขารินน้ำชาหนึ่งแก้ว ก่อนจะใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ดันถ้วยชามาตรงหน้านางเสียงก้นถ้วยน้ำชาเคลื่อนผ่านโต๊ะอย่างช้าๆ ฟังดูอื้ออึงและสากทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดทว่าลู่เหิงจือกลับดูนิ่งสงบ ไม่รีบร้อนใดๆ แต่บรรยากาศที่เงียบเกินเหตุเช่นนี้ทำให้ซูชิงลั่วเริ่มทำตัวไม่ถูกโชคดีที่ไม่นานนักลู่เหิงจือก็พูดขึ้นมา : "ยามนี้เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจวนลู่ หากจะจัดพิธีแต่งงานที่จวนลู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม แต่จะให้เจ้าย้ายออกไปก็ไม่ได้ ที่ตรอกปาเถียว ข้ามีเรือนอาศัยที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้อยู่ ฉะนั้น ข้าคงทำพิธีร
เป็นไปไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามสงบสติอารมณ์ตอนที่นางให้ของเหล่านั้นกับเขา เขาเพิ่งจะเคยช่วยนางไว้หนเดียว จะคิดเรื่องแต่งงานกับนางได้เช่นไรคงเพราะเขานึกขึ้นมาได้แล้วเย้านางเล่นก็เท่านั้นซูชิงลั่วพูดเสียงเบา : "ได้ ข้าจะนำของสามสิ่งไปเป็นสินเดิม"นางก้มหน้าลงราวกับดอกไม้ตูมที่กำลังเหนียมอาย น้ำเสียงก็ฟังดูเชื่อฟังว่าง่ายปลายนิ้วของลู่เหิงจือลูบไล้อยู่บนถ้วยเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งเพื่อระงับความสั่นไหวเล็กๆ ภายในใจ"ชุดแต่งงานปักทันหรือไม่""ทันเจ้าค่ะ" แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปบ้าง แต่นางจะปักส่วนที่สำคัญเอง ส่วนอื่นที่ไม่ค่อยสำคัญให้จื๋อหยวนทำแทนลู่เหิงจือขานรับ "อืม" เบาๆ "หากจะเพิ่มถุงหอมอีกสักถุงเล่า"ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อยลู่เหิงจือก้มหน้า จงใจมองไปยังถุงหอมที่เอวอย่างไม่ใส่ใจ : "มีเพียงชิ้นเดียว ไม่สะดวกถอดไปซักเท่าใดนัก"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของเขาในทันที ตอบเสียงเบา : "น่าจะทัน แค่ถุงหอมถุงเดียวเท่านั้นเอง"ลู่เหิงจือโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย แสงแดดส่องทะแยงมาจากด้านหลังของเขา เงาของเขาทอดอยู่บนโต๊ะ อยู่ห่างปลายนิ้วของนางเพียงคืบเดียวเท่านั้นนางเริ่มหายใจติดขัด เห็นเงา
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการแต่งงานหลอกๆ นางเองจะถลำลึกมากเกินไปไม่ได้อีกทั้งก่อนหน้าเขาก็เคยบอกไว้แล้วว่าหากนางเจอชายใดที่ถูกใจ เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ เช่นนั้นหากเขาเจอหญิงที่ถูกใจอยากจะรับเข้ามา ก็เป็นเรื่องสมควรเช่นกันหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่นิ่งเรียบของลู่เหิงจือ : "ไม่มีทาง"ก็จริง หากเขาจะคิดจะรับอนุเข้ามาก็คงจะทำไปนานแล้วซูชิงลั่วโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แม้นางจะไม่อาจขอร้องให้เขาไม่รับอนุได้ แต่หากมีหญิงอื่นเข้ามาเป็นอนุ คงยากที่จะเลี่ยงปัญหาในการอยู่ร่วมกันได้"เช่นนั้นหากท่านมีหญิงที่ถูกใจ...""บอกแล้วว่าไม่มีทาง" ลู่เหิงจือพูดตัดบทนาง "เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก""อ่อ" ซูชิงลั่วพยักหน้า "เช่นนั้นข้าก็ไม่มีคำถามที่สำคัญอันใดแล้ว""ยังมีที่ไม่สำคัญอีกหรือ เช่นนั้นก็ถามมาเลยเถอะ เจ้าจะได้ไม่ต้อง——" เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง "คิดฟุ้งซ่านไปเอง"ครั้นแล้วซูชิงลั่วจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ "ท่านขอพระราชทานพิธีแต่งงานกับฝ่าบาทเช่นไร"นางสงสัยมากจริงๆ รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ลู่เหิงจือทำไม่ได้ลู่เหิงจือหลุบตาลง ก่อนจะรินน้ำชาให้ตนเองอีกแก้ว : "ได้ยินที่ข้าตอบคำถามท่านย่าเ
ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลซูชิงลั่วมองดูกล่องไม้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกช้าๆปิ่นปักผมฝังอัญมณีสีชมพูลายดอกท้อแอบอิงอยู่ในนั้นปิ่นปักผมดูเรียบง่าย ดอกท้อก็ไม่นับว่าใหญ่จนเกินไป แต่งานฝีมือกลับประณีตมาก ราวกับเป็นของจริงซูชิงลั่วยื่นมืออกไปลูบปิ่นปักผมเบาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนความฝัน ไม่น่าจะเป็นความจริงได้เลยจะได้แต่งงานกับลู่เหิงจือง่ายๆ เช่นนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดนางเหม่อลอยอยู่กับปิ่นปักผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนสัญญากับลู่เหิงจือไว้ว่าจะปักถุงหอมให้เขาอีกถุง จึงรีบเก็บปิ่นปักผมดอกท้อไป แล้วหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาร่างลวดลายภายใต้โคมไฟด้วยความรีบเร่งเสื้อคลุมพระราชทานลายพญางูสีน้ำเงินที่เขาใส่บ่อยๆ ตัวนั้น สามารถใส่คู่กับถุงหอมลายมงคลได้นางร่างเค้าโครงอย่างละเมียดละไม ตั้งใจวาดลายจนเสร็จถึงจะพัก*สามวันต่อมา หญิงชราตรวจสอบดวงชะตาของทั้งคู่ แล้วทำการเลือกวันแต่งงานแทนลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเป็นที่เรียบร้อย ตรงกับวันที่แปดเดือนสิบสองหากผลัดออกไปอีกก็จะชนกับขึ้นปีใหม่ จะยุ่งจนไม่มีเวลาเตรียมการหลังจากที่รู้ข่าว ซูชิงลั่วก็ยิ่งยุ่งวุ่นกว
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งดูเหมือนว่าข่าวเรื่องที่นางหมั้นหมายกับลู่เหิงจือจะยังแพร่ออกไปไม่ทั่วทันใดนั้นเอง ลู่เหิงจือก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นนางที่ยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ซูชิงลั่วอดกระวนกระวายไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้ลู่เหิงจือเข้ามาเป็นอันขาดทว่า หลังจากที่ลู่เหิงจือพูดคุยกับชายหนุ่มขายขนมแป้งอบชุยปิ่งแล้วสองสามประโยค เขาก็เดินย่างสามขุมเข้ามาซูชิงลั่วผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเดินนำผู้อื่นไปที่หน้าประตูร้าน เถ้าแก่เนี้ยรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น : "ใต้เท้าลู่มาอีกแล้ว เดือนนี้เครื่องประดับทั้งหมดในร้านยังไม่ขึ้นราคา ใต้เท้าวางใจเถอะ"ลู่เหิงจือกวาดสายตาไปมองซูชิงลั่วปราดหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ปิ่นปักผมบนหัวนางชั่วขณะ ก่อนจะละสายตากลับมา แล้วตอบนิ่งๆ : "แม่นางจินกิจการรุ่งเรือง"แม่นางจินยิ้มตอบ : "ต้องขอบคุณใต้เท้า"ซูชิงลั่วยืนอยู่ทางซ้ายมือด้านหลังของแม่นางจิน ส่งสายตาให้ลู่เหิงจือเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอย่าเข้ามาพูดกับตนมีคนอยู่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของเขา นางไม่กล้าจริงๆ