โชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าลง กระทั่งเขาเข้ามาใกล้ นางถึงจะเห็นว่าเข็มขัดบนเสื้อคลุมพญางูสีน้ำเงินของเขามีถุงหอมสีเขียวเข้มของนางแขวนอยู่ หัวใจดวงนั้นของนางเต้นอย่างรุนแรงเขานั่งลง ขณะที่ซูชิงลั่วกำลังจะรินน้ำชาให้เขา มือของเขากลับจับกาน้ำชาอยู่ก่อนแล้ว"ข้าเอง"เขาถือแก้วน้ำชาไว้ในมือ น้ำชาไหลรินลงสู่ถ้วยชาลายครามเขียนสี ท่วงท่าของเขา มองแล้วชวนให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจยิ่งนักเขารินน้ำชาหนึ่งแก้ว ก่อนจะใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ดันถ้วยชามาตรงหน้านางเสียงก้นถ้วยน้ำชาเคลื่อนผ่านโต๊ะอย่างช้าๆ ฟังดูอื้ออึงและสากทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดทว่าลู่เหิงจือกลับดูนิ่งสงบ ไม่รีบร้อนใดๆ แต่บรรยากาศที่เงียบเกินเหตุเช่นนี้ทำให้ซูชิงลั่วเริ่มทำตัวไม่ถูกโชคดีที่ไม่นานนักลู่เหิงจือก็พูดขึ้นมา : "ยามนี้เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจวนลู่ หากจะจัดพิธีแต่งงานที่จวนลู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม แต่จะให้เจ้าย้ายออกไปก็ไม่ได้ ที่ตรอกปาเถียว ข้ามีเรือนอาศัยที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้อยู่ ฉะนั้น ข้าคงทำพิธีร
เป็นไปไม่ได้ ซูชิงลั่วพยายามสงบสติอารมณ์ตอนที่นางให้ของเหล่านั้นกับเขา เขาเพิ่งจะเคยช่วยนางไว้หนเดียว จะคิดเรื่องแต่งงานกับนางได้เช่นไรคงเพราะเขานึกขึ้นมาได้แล้วเย้านางเล่นก็เท่านั้นซูชิงลั่วพูดเสียงเบา : "ได้ ข้าจะนำของสามสิ่งไปเป็นสินเดิม"นางก้มหน้าลงราวกับดอกไม้ตูมที่กำลังเหนียมอาย น้ำเสียงก็ฟังดูเชื่อฟังว่าง่ายปลายนิ้วของลู่เหิงจือลูบไล้อยู่บนถ้วยเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งเพื่อระงับความสั่นไหวเล็กๆ ภายในใจ"ชุดแต่งงานปักทันหรือไม่""ทันเจ้าค่ะ" แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปบ้าง แต่นางจะปักส่วนที่สำคัญเอง ส่วนอื่นที่ไม่ค่อยสำคัญให้จื๋อหยวนทำแทนลู่เหิงจือขานรับ "อืม" เบาๆ "หากจะเพิ่มถุงหอมอีกสักถุงเล่า"ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อยลู่เหิงจือก้มหน้า จงใจมองไปยังถุงหอมที่เอวอย่างไม่ใส่ใจ : "มีเพียงชิ้นเดียว ไม่สะดวกถอดไปซักเท่าใดนัก"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของเขาในทันที ตอบเสียงเบา : "น่าจะทัน แค่ถุงหอมถุงเดียวเท่านั้นเอง"ลู่เหิงจือโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย แสงแดดส่องทะแยงมาจากด้านหลังของเขา เงาของเขาทอดอยู่บนโต๊ะ อยู่ห่างปลายนิ้วของนางเพียงคืบเดียวเท่านั้นนางเริ่มหายใจติดขัด เห็นเงา
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการแต่งงานหลอกๆ นางเองจะถลำลึกมากเกินไปไม่ได้อีกทั้งก่อนหน้าเขาก็เคยบอกไว้แล้วว่าหากนางเจอชายใดที่ถูกใจ เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ เช่นนั้นหากเขาเจอหญิงที่ถูกใจอยากจะรับเข้ามา ก็เป็นเรื่องสมควรเช่นกันหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่นิ่งเรียบของลู่เหิงจือ : "ไม่มีทาง"ก็จริง หากเขาจะคิดจะรับอนุเข้ามาก็คงจะทำไปนานแล้วซูชิงลั่วโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แม้นางจะไม่อาจขอร้องให้เขาไม่รับอนุได้ แต่หากมีหญิงอื่นเข้ามาเป็นอนุ คงยากที่จะเลี่ยงปัญหาในการอยู่ร่วมกันได้"เช่นนั้นหากท่านมีหญิงที่ถูกใจ...""บอกแล้วว่าไม่มีทาง" ลู่เหิงจือพูดตัดบทนาง "เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก""อ่อ" ซูชิงลั่วพยักหน้า "เช่นนั้นข้าก็ไม่มีคำถามที่สำคัญอันใดแล้ว""ยังมีที่ไม่สำคัญอีกหรือ เช่นนั้นก็ถามมาเลยเถอะ เจ้าจะได้ไม่ต้อง——" เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง "คิดฟุ้งซ่านไปเอง"ครั้นแล้วซูชิงลั่วจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ "ท่านขอพระราชทานพิธีแต่งงานกับฝ่าบาทเช่นไร"นางสงสัยมากจริงๆ รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ลู่เหิงจือทำไม่ได้ลู่เหิงจือหลุบตาลง ก่อนจะรินน้ำชาให้ตนเองอีกแก้ว : "ได้ยินที่ข้าตอบคำถามท่านย่าเ
ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลซูชิงลั่วมองดูกล่องไม้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกช้าๆปิ่นปักผมฝังอัญมณีสีชมพูลายดอกท้อแอบอิงอยู่ในนั้นปิ่นปักผมดูเรียบง่าย ดอกท้อก็ไม่นับว่าใหญ่จนเกินไป แต่งานฝีมือกลับประณีตมาก ราวกับเป็นของจริงซูชิงลั่วยื่นมืออกไปลูบปิ่นปักผมเบาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนความฝัน ไม่น่าจะเป็นความจริงได้เลยจะได้แต่งงานกับลู่เหิงจือง่ายๆ เช่นนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดนางเหม่อลอยอยู่กับปิ่นปักผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนสัญญากับลู่เหิงจือไว้ว่าจะปักถุงหอมให้เขาอีกถุง จึงรีบเก็บปิ่นปักผมดอกท้อไป แล้วหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาร่างลวดลายภายใต้โคมไฟด้วยความรีบเร่งเสื้อคลุมพระราชทานลายพญางูสีน้ำเงินที่เขาใส่บ่อยๆ ตัวนั้น สามารถใส่คู่กับถุงหอมลายมงคลได้นางร่างเค้าโครงอย่างละเมียดละไม ตั้งใจวาดลายจนเสร็จถึงจะพัก*สามวันต่อมา หญิงชราตรวจสอบดวงชะตาของทั้งคู่ แล้วทำการเลือกวันแต่งงานแทนลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเป็นที่เรียบร้อย ตรงกับวันที่แปดเดือนสิบสองหากผลัดออกไปอีกก็จะชนกับขึ้นปีใหม่ จะยุ่งจนไม่มีเวลาเตรียมการหลังจากที่รู้ข่าว ซูชิงลั่วก็ยิ่งยุ่งวุ่นกว
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งดูเหมือนว่าข่าวเรื่องที่นางหมั้นหมายกับลู่เหิงจือจะยังแพร่ออกไปไม่ทั่วทันใดนั้นเอง ลู่เหิงจือก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นนางที่ยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ซูชิงลั่วอดกระวนกระวายไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้ลู่เหิงจือเข้ามาเป็นอันขาดทว่า หลังจากที่ลู่เหิงจือพูดคุยกับชายหนุ่มขายขนมแป้งอบชุยปิ่งแล้วสองสามประโยค เขาก็เดินย่างสามขุมเข้ามาซูชิงลั่วผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเดินนำผู้อื่นไปที่หน้าประตูร้าน เถ้าแก่เนี้ยรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น : "ใต้เท้าลู่มาอีกแล้ว เดือนนี้เครื่องประดับทั้งหมดในร้านยังไม่ขึ้นราคา ใต้เท้าวางใจเถอะ"ลู่เหิงจือกวาดสายตาไปมองซูชิงลั่วปราดหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ปิ่นปักผมบนหัวนางชั่วขณะ ก่อนจะละสายตากลับมา แล้วตอบนิ่งๆ : "แม่นางจินกิจการรุ่งเรือง"แม่นางจินยิ้มตอบ : "ต้องขอบคุณใต้เท้า"ซูชิงลั่วยืนอยู่ทางซ้ายมือด้านหลังของแม่นางจิน ส่งสายตาให้ลู่เหิงจือเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอย่าเข้ามาพูดกับตนมีคนอยู่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของเขา นางไม่กล้าจริงๆ
แม้น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูเหมือนปกติ แต่สีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่ลางๆซูชิงลั่วรีบตอบ : "แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของใต้เท้าแล้วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อีกทั้งใต้เท้าก็กำลังว่าราชการ ข้าจะรบกวนก็ไม่ได้""เขินอายหรือ" คิ้วของลู่เหิงจือเลิกขึ้นเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ตอนเจ้าอยู่กับลู่เหยียนต่อหน้าผู้คนเยอะๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ"นั่นหมายความหมาย อยู่กับลู่เหยียนแล้วไม่น่าอาย แต่อยู่กับเขาแล้วน่าอายเช่นนั้นใช่หรือไม่ซูชิงลั่วขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา "ไม่ใช่ ลู่เหยียนจะไปเทียบกับใต้เท้าได้เช่นไร ข้า..."เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ายิ่งอธิบายเรื่องลู่เหยียนก็ยิ่งแย่กว่าเดิม นางรีบเปลี่ยนทิศทางทันทีทันใด "อาจเพราะข้าเพิ่งหมั้นหมายกับใต้เท้า ยังไม่ชินนัก รอจนข้าแต่งเข้าไปแล้วคงจะดีขึ้นเอง"น้ำเสียงของนางฟังดูระแวง คอยมองไปที่เขาด้วยความระแวดระวังเป็นครั้งคราว ราวกับกลัวว่าทำจะให้เขาโกรธ——ลืมเรื่องที่เขาจงใจชนนางไปเสียสนิทลู่เหิงจือเห็นว่าควรพอเท่านี้จึงขานตอบ "อืม" ขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะหยิบธบัตรสองสามใบออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้นางธนบัตรมู
"ชิชะ อัครมหาเสนาบดีลู่ยังคงเหมือนเดิม——ไม่รู้จักทะนุถนอมหญิงงาม""แม่นางผู้นั้นไม่นับว่าเป็นหญิงงามอะไรเสียหน่อย ได้ข่าวว่ายโสโอหัง ก่อนหน้านี้ยังเคยหมั้นมาแล้วด้วย ทั้งยังเคยมีเรื่องฉาวกับพวกอันธพาล จนถูกดักรอถึงหน้าประตูด้วยซ้ำไป...""โธ่เอ้ย เวรกรรมของอัครมหาเสนาบดีลู่แท้ๆ..."ท่าทางเช่นนี้ ราวกับจะไว้อาลัยให้กับลู่เหิงจือเสียเดี๋ยวนั้นเลยจื๋อหยวนได้ยินแล้วก็อยากจะผลักประตูออกไปต่อว่าคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ซูชิงลั่วกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วห้ามนางเอาไว้พวกคำซุบซิบนินทาเหล่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะมีเรื่องใหม่มาแทน*ณ ตำหนักองค์หญิง องค์หญิงอวี้หยางดื่มสุราหมดไปครึ่งเหยือก นึกถึงข่าวลือที่มาจากในวัง จู่ๆ ก็ยกแขนขึ้นมาแล้วเขวี้ยงแก้วเหล้าในมือออกไปรักแรกพบ เฝ้ารอมาหลายปีอะไรกัน นางแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เฉยชาเยือกเย็นอย่างลู่เหิงจือจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมาได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้นางพูดด้วยความกริ้ว : "ลู่หมิงซือยังไม่มาอีกหรือ"นางจำเป็นต้องถามบุตรสาวตระกูลลู่ให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ข้าหลวงตอบ : "หม่อมฉันจะสั่งให้คนไปเร่งอีกครั้
ซูชิงลั่วตกใจตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย พลันลุกพรวดขึ้นมาลำคอมีผมที่เปียกโชกติดอยู่ เหงื่อไหลซึมจนเปียกชุ่มไปถึงเสื้อซับชั้นในที่แท้ก็แค่ฝัน...นางถอนหายใจด้วยความโล่ง ทว่าตรงหน้ากลับมีภาพใบหน้าที่ดูมุ่งร้ายและหื่นกระหายของหนิงไห่ลู่ในฝันผุดขึ้นมากะทันหัน ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้งช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน จริงเหมือนก่อนหน้าที่ตนฝันเห็นลู่เหยียนแอบซุกหญิงชู้ไว้ด้านนอกแล้วตนเสียชีวิตจากการคลอดบุตรยากครั้งนั้นนางติดอยู่ในห้องมืดๆ ที่มีผนังล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ขาและแขนถูกเชือกที่หนาเท่าลำตัวงูมัดเอาไว้ หนิงไห่ลู่ปลดเข็มขัดออก ในมือถือแส้เอาไว้ ดวงตาคู่นั้นแดงเดือดราวกับสัตว์ป่าที่เห็นอาหารอันโอชะเสียงของเขาก็ฟังดูหลอกหลอนจนน่ากลัว : "เล่นสนุกกับคู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดีแล้วได้อารมณ์ยิ่งกว่า..."ปลายนิ้วของนางสั่นสะท้าน ลงจากเตียงเพื่อรินน้ำอุ่นมาดื่มช้าๆ จิตใจถึงจะค่อยๆ สงบลงมาได้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ช่วงหลายวันนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน อยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมไปจะดีกว่า*องค์หญิงอวี้หยางเป็นธิดาพระองค์เดียวในอดีตฮองเฮา อดีตฮองเฮาทรงให้กำเนิดองค์หญิงอวี้หยางก่อน แล