ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการแต่งงานหลอกๆ นางเองจะถลำลึกมากเกินไปไม่ได้อีกทั้งก่อนหน้าเขาก็เคยบอกไว้แล้วว่าหากนางเจอชายใดที่ถูกใจ เขาจะปล่อยนางให้เป็นอิสระ เช่นนั้นหากเขาเจอหญิงที่ถูกใจอยากจะรับเข้ามา ก็เป็นเรื่องสมควรเช่นกันหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่นิ่งเรียบของลู่เหิงจือ : "ไม่มีทาง"ก็จริง หากเขาจะคิดจะรับอนุเข้ามาก็คงจะทำไปนานแล้วซูชิงลั่วโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แม้นางจะไม่อาจขอร้องให้เขาไม่รับอนุได้ แต่หากมีหญิงอื่นเข้ามาเป็นอนุ คงยากที่จะเลี่ยงปัญหาในการอยู่ร่วมกันได้"เช่นนั้นหากท่านมีหญิงที่ถูกใจ...""บอกแล้วว่าไม่มีทาง" ลู่เหิงจือพูดตัดบทนาง "เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก""อ่อ" ซูชิงลั่วพยักหน้า "เช่นนั้นข้าก็ไม่มีคำถามที่สำคัญอันใดแล้ว""ยังมีที่ไม่สำคัญอีกหรือ เช่นนั้นก็ถามมาเลยเถอะ เจ้าจะได้ไม่ต้อง——" เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง "คิดฟุ้งซ่านไปเอง"ครั้นแล้วซูชิงลั่วจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ "ท่านขอพระราชทานพิธีแต่งงานกับฝ่าบาทเช่นไร"นางสงสัยมากจริงๆ รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ลู่เหิงจือทำไม่ได้ลู่เหิงจือหลุบตาลง ก่อนจะรินน้ำชาให้ตนเองอีกแก้ว : "ได้ยินที่ข้าตอบคำถามท่านย่าเ
ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลซูชิงลั่วมองดูกล่องไม้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกช้าๆปิ่นปักผมฝังอัญมณีสีชมพูลายดอกท้อแอบอิงอยู่ในนั้นปิ่นปักผมดูเรียบง่าย ดอกท้อก็ไม่นับว่าใหญ่จนเกินไป แต่งานฝีมือกลับประณีตมาก ราวกับเป็นของจริงซูชิงลั่วยื่นมืออกไปลูบปิ่นปักผมเบาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนความฝัน ไม่น่าจะเป็นความจริงได้เลยจะได้แต่งงานกับลู่เหิงจือง่ายๆ เช่นนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดนางเหม่อลอยอยู่กับปิ่นปักผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนสัญญากับลู่เหิงจือไว้ว่าจะปักถุงหอมให้เขาอีกถุง จึงรีบเก็บปิ่นปักผมดอกท้อไป แล้วหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาร่างลวดลายภายใต้โคมไฟด้วยความรีบเร่งเสื้อคลุมพระราชทานลายพญางูสีน้ำเงินที่เขาใส่บ่อยๆ ตัวนั้น สามารถใส่คู่กับถุงหอมลายมงคลได้นางร่างเค้าโครงอย่างละเมียดละไม ตั้งใจวาดลายจนเสร็จถึงจะพัก*สามวันต่อมา หญิงชราตรวจสอบดวงชะตาของทั้งคู่ แล้วทำการเลือกวันแต่งงานแทนลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเป็นที่เรียบร้อย ตรงกับวันที่แปดเดือนสิบสองหากผลัดออกไปอีกก็จะชนกับขึ้นปีใหม่ จะยุ่งจนไม่มีเวลาเตรียมการหลังจากที่รู้ข่าว ซูชิงลั่วก็ยิ่งยุ่งวุ่นกว
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งดูเหมือนว่าข่าวเรื่องที่นางหมั้นหมายกับลู่เหิงจือจะยังแพร่ออกไปไม่ทั่วทันใดนั้นเอง ลู่เหิงจือก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นนางที่ยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ซูชิงลั่วอดกระวนกระวายไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้ลู่เหิงจือเข้ามาเป็นอันขาดทว่า หลังจากที่ลู่เหิงจือพูดคุยกับชายหนุ่มขายขนมแป้งอบชุยปิ่งแล้วสองสามประโยค เขาก็เดินย่างสามขุมเข้ามาซูชิงลั่วผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเดินนำผู้อื่นไปที่หน้าประตูร้าน เถ้าแก่เนี้ยรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น : "ใต้เท้าลู่มาอีกแล้ว เดือนนี้เครื่องประดับทั้งหมดในร้านยังไม่ขึ้นราคา ใต้เท้าวางใจเถอะ"ลู่เหิงจือกวาดสายตาไปมองซูชิงลั่วปราดหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ปิ่นปักผมบนหัวนางชั่วขณะ ก่อนจะละสายตากลับมา แล้วตอบนิ่งๆ : "แม่นางจินกิจการรุ่งเรือง"แม่นางจินยิ้มตอบ : "ต้องขอบคุณใต้เท้า"ซูชิงลั่วยืนอยู่ทางซ้ายมือด้านหลังของแม่นางจิน ส่งสายตาให้ลู่เหิงจือเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอย่าเข้ามาพูดกับตนมีคนอยู่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของเขา นางไม่กล้าจริงๆ
แม้น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูเหมือนปกติ แต่สีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่ลางๆซูชิงลั่วรีบตอบ : "แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของใต้เท้าแล้วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อีกทั้งใต้เท้าก็กำลังว่าราชการ ข้าจะรบกวนก็ไม่ได้""เขินอายหรือ" คิ้วของลู่เหิงจือเลิกขึ้นเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ตอนเจ้าอยู่กับลู่เหยียนต่อหน้าผู้คนเยอะๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ"นั่นหมายความหมาย อยู่กับลู่เหยียนแล้วไม่น่าอาย แต่อยู่กับเขาแล้วน่าอายเช่นนั้นใช่หรือไม่ซูชิงลั่วขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา "ไม่ใช่ ลู่เหยียนจะไปเทียบกับใต้เท้าได้เช่นไร ข้า..."เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ายิ่งอธิบายเรื่องลู่เหยียนก็ยิ่งแย่กว่าเดิม นางรีบเปลี่ยนทิศทางทันทีทันใด "อาจเพราะข้าเพิ่งหมั้นหมายกับใต้เท้า ยังไม่ชินนัก รอจนข้าแต่งเข้าไปแล้วคงจะดีขึ้นเอง"น้ำเสียงของนางฟังดูระแวง คอยมองไปที่เขาด้วยความระแวดระวังเป็นครั้งคราว ราวกับกลัวว่าทำจะให้เขาโกรธ——ลืมเรื่องที่เขาจงใจชนนางไปเสียสนิทลู่เหิงจือเห็นว่าควรพอเท่านี้จึงขานตอบ "อืม" ขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะหยิบธบัตรสองสามใบออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้นางธนบัตรมู
"ชิชะ อัครมหาเสนาบดีลู่ยังคงเหมือนเดิม——ไม่รู้จักทะนุถนอมหญิงงาม""แม่นางผู้นั้นไม่นับว่าเป็นหญิงงามอะไรเสียหน่อย ได้ข่าวว่ายโสโอหัง ก่อนหน้านี้ยังเคยหมั้นมาแล้วด้วย ทั้งยังเคยมีเรื่องฉาวกับพวกอันธพาล จนถูกดักรอถึงหน้าประตูด้วยซ้ำไป...""โธ่เอ้ย เวรกรรมของอัครมหาเสนาบดีลู่แท้ๆ..."ท่าทางเช่นนี้ ราวกับจะไว้อาลัยให้กับลู่เหิงจือเสียเดี๋ยวนั้นเลยจื๋อหยวนได้ยินแล้วก็อยากจะผลักประตูออกไปต่อว่าคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ซูชิงลั่วกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วห้ามนางเอาไว้พวกคำซุบซิบนินทาเหล่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะมีเรื่องใหม่มาแทน*ณ ตำหนักองค์หญิง องค์หญิงอวี้หยางดื่มสุราหมดไปครึ่งเหยือก นึกถึงข่าวลือที่มาจากในวัง จู่ๆ ก็ยกแขนขึ้นมาแล้วเขวี้ยงแก้วเหล้าในมือออกไปรักแรกพบ เฝ้ารอมาหลายปีอะไรกัน นางแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เฉยชาเยือกเย็นอย่างลู่เหิงจือจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมาได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้นางพูดด้วยความกริ้ว : "ลู่หมิงซือยังไม่มาอีกหรือ"นางจำเป็นต้องถามบุตรสาวตระกูลลู่ให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ข้าหลวงตอบ : "หม่อมฉันจะสั่งให้คนไปเร่งอีกครั้
ซูชิงลั่วตกใจตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย พลันลุกพรวดขึ้นมาลำคอมีผมที่เปียกโชกติดอยู่ เหงื่อไหลซึมจนเปียกชุ่มไปถึงเสื้อซับชั้นในที่แท้ก็แค่ฝัน...นางถอนหายใจด้วยความโล่ง ทว่าตรงหน้ากลับมีภาพใบหน้าที่ดูมุ่งร้ายและหื่นกระหายของหนิงไห่ลู่ในฝันผุดขึ้นมากะทันหัน ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้งช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน จริงเหมือนก่อนหน้าที่ตนฝันเห็นลู่เหยียนแอบซุกหญิงชู้ไว้ด้านนอกแล้วตนเสียชีวิตจากการคลอดบุตรยากครั้งนั้นนางติดอยู่ในห้องมืดๆ ที่มีผนังล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ขาและแขนถูกเชือกที่หนาเท่าลำตัวงูมัดเอาไว้ หนิงไห่ลู่ปลดเข็มขัดออก ในมือถือแส้เอาไว้ ดวงตาคู่นั้นแดงเดือดราวกับสัตว์ป่าที่เห็นอาหารอันโอชะเสียงของเขาก็ฟังดูหลอกหลอนจนน่ากลัว : "เล่นสนุกกับคู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดีแล้วได้อารมณ์ยิ่งกว่า..."ปลายนิ้วของนางสั่นสะท้าน ลงจากเตียงเพื่อรินน้ำอุ่นมาดื่มช้าๆ จิตใจถึงจะค่อยๆ สงบลงมาได้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ช่วงหลายวันนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน อยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมไปจะดีกว่า*องค์หญิงอวี้หยางเป็นธิดาพระองค์เดียวในอดีตฮองเฮา อดีตฮองเฮาทรงให้กำเนิดองค์หญิงอวี้หยางก่อน แล
ตั้งแต่ทรงมีพระราชโองการลงมา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ลู่เหิงจือไม่เพียงแต่เตรียมเด็กรับใช้คอยติดตามซูชิงลั่วยามไปข้างนอก ทั้งยังยืมองครักษ์ลับจากเซี่ยถิงอวี่มาคอยดูอย่างลับๆ ด้วยแววตาของเขาเยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย : "องครักษ์ลับของผู้ใดในวัง สืบมาให้ชัดเจน"ซ่งเหวินตอบ : "หลังจากที่ตามไปดูพบว่าเข้าไปในตำหนักขององค์หญิงอวี้หยางขอรับ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่คนขององค์หญิงอวี้หยางหรือไม่"ลู่เหิงจือมุ่นคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ : "หลักฐานที่องค์หญิงอวี้หยางทำเรื่องพวกนั้นเตรียมพร้อมหรือยัง รวมไปถึงหลักฐานของกุ้ยเฟยและตระกูลหนิง เตรียมไว้ล่วงหน้าให้พร้อม"หลายปีมานี้ เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เตรียมความพร้อมไว้แม้ตอนฝนยังไม่ตกซ่งเหวินรีบขานรับความรู้สึกกังวลภายในใจของลู่เหิงจือเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เขาออกคำสั่งต่อ : "ไปขอยืมตัวองครักษ์จากเซี่ยถิงอวี้มาอีกสองสามคน"*เพราะฝันที่ประหลาดแต่จริงฝันนั้น ทำให้ซูชิงลั่วปักชุดแต่งงานอยู่แต่ในจวนลู่มาสามเดือนติดกันแล้ว แต่ไม่ได้เกิดเรื่องที่นางกังวลใจขึ้น นางจึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไปแล้วปลายเดือนเก้า เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง
ซูชิงลั่วหันมองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงก่ำขึ้นมากะทันหันเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะขยับ ลู่เหิงจือจึงยกแขนขึ้นเบาๆซูชิงลั่วมองเขาอยู่นาย สายตาเผยให้เห็นความเว้าวอนลู่เหิงจือกลับจ้องมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย แน่วแน่ไม่สั่นคลอนท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าวันนี้นางต้องเกาะแขนของเขาขึ้นม้าเท่านั้นสุดท้ายนางก็ยอมแพ้ เอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือของเขาเบาๆผิวหนังที่ปลายนิ้วสัมผัสแผ่ซ่านความอบอุ่นและเย็นชืด ราวกับก้อนหยกกลางน้ำแร่ในหน้าร้อนทันใดนั้นเองนิ้วมือก็ถูกกำไว้แน่นลู่เหิงจือออกแรงประคองนางขึ้นรถม้าหัวใจของซูชิงลั่วเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาหลังจากที่เข้าไปในตัวรถก็อดไม่ได้ที่จะใช้มืออีกข้างลูบปลายนิ้วที่เพิ่งสัมผัสกับเขาเบาๆทว่า กลับเห็นลู่เหิงจือเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินดุ่มเข้ามานั่งลงข้างนางด้วยความสงบนิ่งซูชิงลั่วพลันยืดตัวตรงในทันที : "จื๋อหยวนเล่า ?"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "นางนั่งอีกคัน"ซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือ : "พวกเราจะนั่งรถม้าคันเดียวกันหรือ"ลู่เหิงจือ : "ไม่ได้หรือ"ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองคนถูกหนีบอยู่ระหว่างที่แคบๆ ทำให้นางมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป