ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลซูชิงลั่วมองดูกล่องไม้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ เปิดออกช้าๆปิ่นปักผมฝังอัญมณีสีชมพูลายดอกท้อแอบอิงอยู่ในนั้นปิ่นปักผมดูเรียบง่าย ดอกท้อก็ไม่นับว่าใหญ่จนเกินไป แต่งานฝีมือกลับประณีตมาก ราวกับเป็นของจริงซูชิงลั่วยื่นมืออกไปลูบปิ่นปักผมเบาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนความฝัน ไม่น่าจะเป็นความจริงได้เลยจะได้แต่งงานกับลู่เหิงจือง่ายๆ เช่นนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดนางเหม่อลอยอยู่กับปิ่นปักผมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนสัญญากับลู่เหิงจือไว้ว่าจะปักถุงหอมให้เขาอีกถุง จึงรีบเก็บปิ่นปักผมดอกท้อไป แล้วหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาร่างลวดลายภายใต้โคมไฟด้วยความรีบเร่งเสื้อคลุมพระราชทานลายพญางูสีน้ำเงินที่เขาใส่บ่อยๆ ตัวนั้น สามารถใส่คู่กับถุงหอมลายมงคลได้นางร่างเค้าโครงอย่างละเมียดละไม ตั้งใจวาดลายจนเสร็จถึงจะพัก*สามวันต่อมา หญิงชราตรวจสอบดวงชะตาของทั้งคู่ แล้วทำการเลือกวันแต่งงานแทนลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเป็นที่เรียบร้อย ตรงกับวันที่แปดเดือนสิบสองหากผลัดออกไปอีกก็จะชนกับขึ้นปีใหม่ จะยุ่งจนไม่มีเวลาเตรียมการหลังจากที่รู้ข่าว ซูชิงลั่วก็ยิ่งยุ่งวุ่นกว
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่งดูเหมือนว่าข่าวเรื่องที่นางหมั้นหมายกับลู่เหิงจือจะยังแพร่ออกไปไม่ทั่วทันใดนั้นเอง ลู่เหิงจือก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นนางที่ยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ซูชิงลั่วอดกระวนกระวายไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้ลู่เหิงจือเข้ามาเป็นอันขาดทว่า หลังจากที่ลู่เหิงจือพูดคุยกับชายหนุ่มขายขนมแป้งอบชุยปิ่งแล้วสองสามประโยค เขาก็เดินย่างสามขุมเข้ามาซูชิงลั่วผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเดินนำผู้อื่นไปที่หน้าประตูร้าน เถ้าแก่เนี้ยรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น : "ใต้เท้าลู่มาอีกแล้ว เดือนนี้เครื่องประดับทั้งหมดในร้านยังไม่ขึ้นราคา ใต้เท้าวางใจเถอะ"ลู่เหิงจือกวาดสายตาไปมองซูชิงลั่วปราดหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ปิ่นปักผมบนหัวนางชั่วขณะ ก่อนจะละสายตากลับมา แล้วตอบนิ่งๆ : "แม่นางจินกิจการรุ่งเรือง"แม่นางจินยิ้มตอบ : "ต้องขอบคุณใต้เท้า"ซูชิงลั่วยืนอยู่ทางซ้ายมือด้านหลังของแม่นางจิน ส่งสายตาให้ลู่เหิงจือเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอย่าเข้ามาพูดกับตนมีคนอยู่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของเขา นางไม่กล้าจริงๆ
แม้น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูเหมือนปกติ แต่สีหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่ลางๆซูชิงลั่วรีบตอบ : "แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการของใต้เท้าแล้วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อีกทั้งใต้เท้าก็กำลังว่าราชการ ข้าจะรบกวนก็ไม่ได้""เขินอายหรือ" คิ้วของลู่เหิงจือเลิกขึ้นเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ตอนเจ้าอยู่กับลู่เหยียนต่อหน้าผู้คนเยอะๆ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ"นั่นหมายความหมาย อยู่กับลู่เหยียนแล้วไม่น่าอาย แต่อยู่กับเขาแล้วน่าอายเช่นนั้นใช่หรือไม่ซูชิงลั่วขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา "ไม่ใช่ ลู่เหยียนจะไปเทียบกับใต้เท้าได้เช่นไร ข้า..."เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ายิ่งอธิบายเรื่องลู่เหยียนก็ยิ่งแย่กว่าเดิม นางรีบเปลี่ยนทิศทางทันทีทันใด "อาจเพราะข้าเพิ่งหมั้นหมายกับใต้เท้า ยังไม่ชินนัก รอจนข้าแต่งเข้าไปแล้วคงจะดีขึ้นเอง"น้ำเสียงของนางฟังดูระแวง คอยมองไปที่เขาด้วยความระแวดระวังเป็นครั้งคราว ราวกับกลัวว่าทำจะให้เขาโกรธ——ลืมเรื่องที่เขาจงใจชนนางไปเสียสนิทลู่เหิงจือเห็นว่าควรพอเท่านี้จึงขานตอบ "อืม" ขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะหยิบธบัตรสองสามใบออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้นางธนบัตรมู
"ชิชะ อัครมหาเสนาบดีลู่ยังคงเหมือนเดิม——ไม่รู้จักทะนุถนอมหญิงงาม""แม่นางผู้นั้นไม่นับว่าเป็นหญิงงามอะไรเสียหน่อย ได้ข่าวว่ายโสโอหัง ก่อนหน้านี้ยังเคยหมั้นมาแล้วด้วย ทั้งยังเคยมีเรื่องฉาวกับพวกอันธพาล จนถูกดักรอถึงหน้าประตูด้วยซ้ำไป...""โธ่เอ้ย เวรกรรมของอัครมหาเสนาบดีลู่แท้ๆ..."ท่าทางเช่นนี้ ราวกับจะไว้อาลัยให้กับลู่เหิงจือเสียเดี๋ยวนั้นเลยจื๋อหยวนได้ยินแล้วก็อยากจะผลักประตูออกไปต่อว่าคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ซูชิงลั่วกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วห้ามนางเอาไว้พวกคำซุบซิบนินทาเหล่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะมีเรื่องใหม่มาแทน*ณ ตำหนักองค์หญิง องค์หญิงอวี้หยางดื่มสุราหมดไปครึ่งเหยือก นึกถึงข่าวลือที่มาจากในวัง จู่ๆ ก็ยกแขนขึ้นมาแล้วเขวี้ยงแก้วเหล้าในมือออกไปรักแรกพบ เฝ้ารอมาหลายปีอะไรกัน นางแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เฉยชาเยือกเย็นอย่างลู่เหิงจือจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมาได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้นางพูดด้วยความกริ้ว : "ลู่หมิงซือยังไม่มาอีกหรือ"นางจำเป็นต้องถามบุตรสาวตระกูลลู่ให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ข้าหลวงตอบ : "หม่อมฉันจะสั่งให้คนไปเร่งอีกครั้
ซูชิงลั่วตกใจตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย พลันลุกพรวดขึ้นมาลำคอมีผมที่เปียกโชกติดอยู่ เหงื่อไหลซึมจนเปียกชุ่มไปถึงเสื้อซับชั้นในที่แท้ก็แค่ฝัน...นางถอนหายใจด้วยความโล่ง ทว่าตรงหน้ากลับมีภาพใบหน้าที่ดูมุ่งร้ายและหื่นกระหายของหนิงไห่ลู่ในฝันผุดขึ้นมากะทันหัน ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้งช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน จริงเหมือนก่อนหน้าที่ตนฝันเห็นลู่เหยียนแอบซุกหญิงชู้ไว้ด้านนอกแล้วตนเสียชีวิตจากการคลอดบุตรยากครั้งนั้นนางติดอยู่ในห้องมืดๆ ที่มีผนังล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ขาและแขนถูกเชือกที่หนาเท่าลำตัวงูมัดเอาไว้ หนิงไห่ลู่ปลดเข็มขัดออก ในมือถือแส้เอาไว้ ดวงตาคู่นั้นแดงเดือดราวกับสัตว์ป่าที่เห็นอาหารอันโอชะเสียงของเขาก็ฟังดูหลอกหลอนจนน่ากลัว : "เล่นสนุกกับคู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดีแล้วได้อารมณ์ยิ่งกว่า..."ปลายนิ้วของนางสั่นสะท้าน ลงจากเตียงเพื่อรินน้ำอุ่นมาดื่มช้าๆ จิตใจถึงจะค่อยๆ สงบลงมาได้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ช่วงหลายวันนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน อยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมไปจะดีกว่า*องค์หญิงอวี้หยางเป็นธิดาพระองค์เดียวในอดีตฮองเฮา อดีตฮองเฮาทรงให้กำเนิดองค์หญิงอวี้หยางก่อน แล
ตั้งแต่ทรงมีพระราชโองการลงมา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ลู่เหิงจือไม่เพียงแต่เตรียมเด็กรับใช้คอยติดตามซูชิงลั่วยามไปข้างนอก ทั้งยังยืมองครักษ์ลับจากเซี่ยถิงอวี่มาคอยดูอย่างลับๆ ด้วยแววตาของเขาเยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย : "องครักษ์ลับของผู้ใดในวัง สืบมาให้ชัดเจน"ซ่งเหวินตอบ : "หลังจากที่ตามไปดูพบว่าเข้าไปในตำหนักขององค์หญิงอวี้หยางขอรับ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่คนขององค์หญิงอวี้หยางหรือไม่"ลู่เหิงจือมุ่นคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ : "หลักฐานที่องค์หญิงอวี้หยางทำเรื่องพวกนั้นเตรียมพร้อมหรือยัง รวมไปถึงหลักฐานของกุ้ยเฟยและตระกูลหนิง เตรียมไว้ล่วงหน้าให้พร้อม"หลายปีมานี้ เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เตรียมความพร้อมไว้แม้ตอนฝนยังไม่ตกซ่งเหวินรีบขานรับความรู้สึกกังวลภายในใจของลู่เหิงจือเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เขาออกคำสั่งต่อ : "ไปขอยืมตัวองครักษ์จากเซี่ยถิงอวี้มาอีกสองสามคน"*เพราะฝันที่ประหลาดแต่จริงฝันนั้น ทำให้ซูชิงลั่วปักชุดแต่งงานอยู่แต่ในจวนลู่มาสามเดือนติดกันแล้ว แต่ไม่ได้เกิดเรื่องที่นางกังวลใจขึ้น นางจึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไปแล้วปลายเดือนเก้า เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง
ซูชิงลั่วหันมองซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงก่ำขึ้นมากะทันหันเห็นนางไม่มีท่าทีว่าจะขยับ ลู่เหิงจือจึงยกแขนขึ้นเบาๆซูชิงลั่วมองเขาอยู่นาย สายตาเผยให้เห็นความเว้าวอนลู่เหิงจือกลับจ้องมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย แน่วแน่ไม่สั่นคลอนท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าวันนี้นางต้องเกาะแขนของเขาขึ้นม้าเท่านั้นสุดท้ายนางก็ยอมแพ้ เอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือของเขาเบาๆผิวหนังที่ปลายนิ้วสัมผัสแผ่ซ่านความอบอุ่นและเย็นชืด ราวกับก้อนหยกกลางน้ำแร่ในหน้าร้อนทันใดนั้นเองนิ้วมือก็ถูกกำไว้แน่นลู่เหิงจือออกแรงประคองนางขึ้นรถม้าหัวใจของซูชิงลั่วเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาหลังจากที่เข้าไปในตัวรถก็อดไม่ได้ที่จะใช้มืออีกข้างลูบปลายนิ้วที่เพิ่งสัมผัสกับเขาเบาๆทว่า กลับเห็นลู่เหิงจือเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินดุ่มเข้ามานั่งลงข้างนางด้วยความสงบนิ่งซูชิงลั่วพลันยืดตัวตรงในทันที : "จื๋อหยวนเล่า ?"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "นางนั่งอีกคัน"ซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือ : "พวกเราจะนั่งรถม้าคันเดียวกันหรือ"ลู่เหิงจือ : "ไม่ได้หรือ"ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสองคนถูกหนีบอยู่ระหว่างที่แคบๆ ทำให้นางมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
นี่ชักจะเป็นปัญหาขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว จะอธิบายกับว่าที่คุณหญิงในอนาคตของเขาเช่นไร——ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เฉยเมยกับสตรีขนาดนั้นช่างเถอะ แต่งงานกันไปแล้วค่อยๆ พูดไปแล้วกันแต่ตอนนี้ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาที่เคยมีในสายตาของสาวน้อยก่อน จะได้ไม่ทำให้นางตกใจเขาตอบนิ่งๆ : "ไม่เป็นอันใด ข้ากับเจ้ากำลังจะเป็นคู่ครองกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองเช่นนี้"ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาผาดหนึ่ง มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้มีท่าทีถือสาเอาความนางจริงๆ ถึงจะโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แล้วนั่งกลับลงไปใหม่จากนั้นก็ได้ยินเสียงใสกังวาลของเขาดังขึ้นข้างหู : "รอหลังแต่งงานแล้ว ค่อยปักถุงหอมไว้ใช้กับชุดยาวสีขาวนวลอีกสักใบจะเป็นไร"ซูชิงลั่วกำมือทั้งสองข้าง พลางพยักหน้าเบาๆ : "เจ้าค่ะ ใต้เท้าไม่ต้องกังวล หลังจากแต่งงานไปแล้ว ข้าจะพยายามทำหน้าที่ของภรรยาให้เต็มที่ ปักถุงหอมให้ใต้เท้าหลายๆ ใบ"คงไม่ถึงขนาดให้เขาไม่มีถุงหอมไว้พกติดตัวหรอกลู่เหิงจือเหร่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีกในที่สุดก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับจินจี้ ลู่เหิงจือลงรถไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือมาให้นางอย่างช้าๆรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น ซูชิ