เซียวอี้เหิงพยายามใช้ลมปราณเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่กำลังจะปะทุของตน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทางด้านหลัง คราวนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนเองถูกวางยาแน่แล้ว น่าตายนักใจกล้าเหลือเกินเขาคงใจดีเกินไปสินะ ในสมองก็คิดอย่างหนึ่งแต่ร่างกายกลับไม่ฟัง เซียวอี้เหิงคว้าตัวอวี้ซูเหยาเข้าหาตนแล้วกระชากเสื้อผ้าของนางออกจนหมด จากนั้นไม่นานเสียงครวญครางก็ดังแว่วออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน จนกระทั่งรุ่งสางฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดจึงหมดลง เซียวอี้เหิงลุกออกจากตัวของอวี้ซูเหยาอย่างรังเกียจ สายตาลึกล้ำดำมืดที่เหมือนคมมีดมองร่างเล็กที่หมดสติไปนานแล้ว เหมือนกับกำลังมองคนตาย เสี่ยวหลันจื่อหญิงสาวที่ทะลุมิติมา ทำหน้าที่ตัวละครลับเพื่อดำเนินเรื่องในนิยายให้สนุกมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องคำนึงว่าเนื้อเรื่องเดิมจะจบอย่างไร แต่กลับถูกท่านอ๋องที่ฆ่าตัวเองตอนต้นเรื่องตามติดเป็นเงา
View Moreเซียวอี้เหิงเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นคนตัดสินโทษกบฏของตระกูลกู้ วันนี้เขาจึงต้องมาเป็นพยานที่ลานประหารในใจเขาคิดว่ายังไงกู้รั่วอวิ๋นจะต้องมาชิงตัวนักโทษแน่ คนของตระกูลกู้ร้อยกว่าชีวิตถูกทหารคุมตัวเดินออกมานั่งคุกเข่าที่ลานประหาร ด้านหน้าของพวกเขาคือกู้เฟิงพี่ชายของกู้รั่วอวิ๋นและกู้ห้าวเหวินอดีตแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินที่ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่สภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากซากศพเท่าใดนักชาวเมืองนับพันที่มาดูการประหารตระกูลกู้ที่ยิ่งใหญ่และเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายยาวนานมานับร้อยปี ทั้งสตรีและเด็กของตระกูลกู้ต่างร่ำไห้ขอความเป็นธรรมมีเพียงกู้เฟิงที่ยังคงมีสายตาแข็งกร้าวเซียวอี้เหิงมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังรออยู่ รอเวลาที่กู้รั่วอวิ๋นจะปรากฏตัว กู้รั่วอวิ๋นที่แฝงตัวมากับชาวเมืองมองไปที่บิดาและพี่ชายของนางด้วยดวงตาแดงก่ำ นางไม่รู้ว่าจะมีโอกาสช่วยเหลือบิดาและพี่ชายของนางมากเท่าใด แต่ที่แน่ๆ เซียวอี้เหิงจะต้องวางกับดักไว้รอนางแล้วอย่างแน่นอน เป็นนางที่จะยอมกระโดดลงไปในกับดักนั่นหรือไม่การประหารเริ่มต้นขึ้นนายทหารที่ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตกว่ายี่สิบคนเดินตรงมาที่สมาชิกของสกุลกู้ พวกเขาต่าง
ก่อนการประหารสกุลกู้ในข้อหาก่อกบฏเสี่ยวหลันจื่อ ที่ออดอ้อนขอให้เซียวอี้เหิง พานางและทุกคนออกไปเดินเที่ยวตลาดของเมืองหลวง เซียวอี้เหิงที่ทนการรบเร้าของนางไม่ได้จึงให้ฉีเหลยเป็นองครักษ์พร้อมด้วยฉีอิงกับฉีหลิงเขายังไม่วางใจเรื่องของกู้รั่วอวิ๋น เขาเกรงว่าข่าวที่ได้มาว่านางอยู่ที่แคว้นฉู่จะกลายเป็นข่าวลวง บางทีนางอาจอยู่ที่นี่แล้วก็ได้เซียวอี้เหิงให้คนของเขาตามหาทั้งในที่ลับและที่แจ้งติดประกาศไปทั่วเมืองวางเงินรางวัลนำจับสูงลิ่วเพื่อกดดันให้นางออกมา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากให้เสี่ยวหลันจื่อออกไปนอกจวน เพราะเขาเกรงว่านางจะถูกคนของกู้รั่วอวิ๋นทำร้าย“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงรับรองว่าข้าจะไม่ดื้อเด็ดขาดออกไปแค่เพียงไม่นานข้าจะรีบกลับมาแล้วจะซื้อขนมมาฝากท่านนะ”เสี่ยวหลันจื่อทำเสียงออดอ้อน เซียวอี้เหิงนั้นรู้สึกหนักใจแต่ทำอย่างไรได้นางไม่ใช่สัตว์แต่นางเป็นมนุษย์ จะขังนางเอาไว้แต่ภายในจวนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ มันไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา ทางที่ดีคือเขาต้องจับตัวกู้รั่วอวิ๋นให้ได้เขาจึงจะรู้สึกวางใจที่เสี่ยวหลันจื่ออยากออกมาเที่ยวข้างนอกในวันนี้ก็เป็นเพราะหลิวหลี เมื่อวานนางมาหาเสี่
เมื่อข้ารับใช้ในเรือนมารวมตัวกันที่เรือนหลักของเซียวอี้เหิงเรียบร้อยแล้ว เซียวอี้เหิงประคองเสี่ยวหลันจื่อเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าทุกคนนางเงยหน้ามองเซียวอี้เหิงว่าเขากำลังจะทำอะไร ทุกคนในจวนชินอ๋องต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเสี่ยวหลันจื่อชัดๆ นางคือนางกำนัลที่ถูกส่งมาโดยไทเฮานั่นเองพวกเขาต่างทำสีหน้าหวาดกลัว มิใช่ว่านางถูกท่านอ๋องฆ่าไปแล้วหรือในตอนนั้น นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมตอนนี้นางยังตั้งครรภ์อยู่ เสียงวิจารณ์ของเหล่าข้ารับใช้เริ่มดังขึ้น“พวกเจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดพระชายาของข้าถึงมีใบหน้าเหมือนกับอวี้ซูเหยาใช่หรือไม่ ถึงแม้นางจะมีใบหน้าที่เหมือนกันมากเช่นไรแต่นางคือคนละคน ที่นั่งอยู่ต่อหน้าของพวกเจ้าคือพระชายาเพียงคนเดียวของข้า นามของนางคืออวี้หลันจื่อ ข้าขอห้ามทุกคนพูดเรื่องของอวี้ซูเหยาอีกไม่ว่ากรณีใดก็ตามถ้าหากว่ามีใครที่ไม่ทำตามคิดต่อต้านคำสั่งของข้า จะต้องถูกลงโทษขั้นสูงสุดตามกฏของจวนชินอ๋อง”เมื่อได้ยินเช่นนั้นข้ารับใช้ต่างหวาดกลัวไม่มีใครกล้าปริปากแม้แต่คนเดียวใครเล่าจะกล้าเหิมเกริมต่อต้านคำสั่งของท่านอ๋อง“อีกอย่างหากมีใครคิดไม่ซื่อกับข้าเหมือนที่อวี้ซูเหยาท
หลังจากที่พูดคุยกับหลิวหลีและปลอบใจนางเล็กน้อยเสี่ยวหลันจื่อก็กลับมาที่เรือนของนาง เมื่อฉีหลิงเปิดประตูเรือนทั้งสองก็เห็นเซียวอี้เหิงที่ยืนใบหน้าถมึงทึงอยู่ที่ลานบ้าน“ไปไหนมาอีกแล้วเจ้าตัวดี ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้ระวังอย่าเที่ยวออกไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าข้าจะทำอย่างไร เหตุใดถึงได้ดื้อดึงเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้”เซียวอี้เหิงดุเสี่ยวหลันจื่อเสียงอ่อน เขาไม่รู้แล้วว่าจะรับมือกับนางอย่างไรดี ดุก็ไม่ได้ตีก็ไม่ได้ หากทำให้นางร้องไห้ก็เป็นเขาซะเองที่เจ็บปวด เสี่ยวหลันจื่อยืนก้มหน้าท่าทางหูลู่หางตกเหมือนเสี่ยวหงตอนที่โดนดุ ดูน่าสงสารยิ่งนักเซียวอี้เหิงถอนหายใจ ท่าทางเช่นนี้มีหรือเขาจะใจแข็งกับนางได้“ช่างเถอะๆ ข้าไม่ดุเจ้าแล้วเลิกทำท่างทางเหมือนเสี่ยวหงเสียที มานี่มาข้างนอกอากาศยังหนาวเย็นอยู่เข้าไปในเรือนเถอะอย่าอยู่ตรงนี้เลยเดี๋ยวจะไม่สบาย”เสี่ยวหลันจื่อเดินก้มหน้าไปหาเซียวอี้เหิงเกาะแขนเขาทำท่าทางเหมือนยังเศร้าอยู่ แต่ดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาหนาของนางกลับเปล่งประกายซุกซน ตอนที่เดินตามเซียวอี้เหิงไปเสี่ยวหลันจื่อยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ฉีหลิง ท่าทางทั้งหม
อาหารมื้อเย็นผ่านไป เสี่ยวหลันจื่อรั้งผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้เพื่อคุยเรื่องที่นางจะกลับไปที่จวนชินอ๋อง และเสี่ยวหลันจื่อต้องการให้ท่านตากับท่านยายไปอยู่ที่นั่นกับนางด้วย“ท่านตาท่านยายเจ้าคะข้ามีเรื่องจะปรึกษากับกับท่านทั้งสอง ตอนนี้ครรภ์ของข้าก็เกือบจะแปดเดือนแล้ว อีกไม่นานก็จะคลอดเด็กสองคนนี้ ท่านอ๋องอยากให้ข้าไปคลอดที่เมืองหลวงเพราะที่นั่นมีหมอตำแยและยังมีหมอหลวงที่เก่งกว่าที่นี่ อีกทั้งเพราะข้าต้องคลอดทีเดียวถึงสองคนเขาจึงรู้สึกไม่วางใจ แต่ข้าไม่อยากไปอยู่ที่นั่นคนเดียวข้ากลัวว่าตัวเองจะเหงาและตอนที่ข้าคลอดข้าอยากให้ท่านทั้งสองอยู่เคียงข้างข้า จะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ท่านทั้งสองไปกับข้านะเจ้าคะ”เสี่ยวหลันจื่อใช้เสียงออดอ้อนสุดฤทธิ์ นางกลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะตัดใจทิ้งบ้านเกิดของตนเพื่อไปกับนางไม่ได้“ได้สิ เจ้าเป็นหลานเพียงคนเดียวของข้า ต่อให้เจ้าไม่ขอร้องข้ากับตาแก่นี่ก็จะต้องตามเจ้าไปแน่นอน จื่อเอ๋อเจ้าสบายใจได้และคลอดเด็กทั้งสองคนออกมาอย่างปลอดภัยเถอะ”เสี่ยวหลันจื่อโน้มตัวไปกอดแม่เฒ่าสวีเเละใช้ใบหน้าถูไถที่ไหล่ของนางอย่างที่ชอบทำประจำ แต่เซียวอี้เหิงดึงนางออกมาแล้วอุ้มนางเข้าห้องไ
เซียวอี้เหิงวางเสี่ยวหลันจื่อเอาไว้ที่เก้าอี้ในห้องโถงของเรือน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะท่านตากับท่านยายไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าแล้ว น่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานของหลิวหลี ถ้าจะให้พูดคือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นลูกชายของพี่ชายผู้เฒ่าหลิวดังนั้นหลิวหลีจึงนับเป็นญาติของผู้เฒ่าหลิวเช่นกัน“ฉีหลิงตอนนี่เจ้าอายุเท่าไหร่” เสี่ยวหลันจื่อที่นั่งเรียบร้อยแล้วหันมาซักทันทีที่ฉีหลิงเดินตามเข้ามาในเรือน“อายุสิบเจ็ดเจ้าค่ะ” ฉีหลิงตอบทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่“เจ้ายืนคุยกับข้าได้หรือไม่ คุกเข่าเช่นนี้ข้าจะคุยกับเจ้าได้สะดวกได้อย่างไร” เสี่ยวหลันจื่อสั่งนาง ฉีหลิงมีท่าทีลังเล มองไปที่เซียวอี้เหิงอย่างหวาดๆ นางรู้ว่าพระชายานั้นใจดีขนาดไหน แต่กับนายเหนือหัวของพวกเขาแล้วต่างไม่กล้าล่วงเกิน“เจ้าทำตามที่นางบอกเถอะ ต่อไปนี้ทุกเรื่องของเจ้าสองพี่น้องข้าจะยกให้พระชายาเป็นคนดูแล นางสั่งอะไรเจ้าก็ทำตาม” เซียวอี้เหิงสั่งเสียงเรียบ“เพคะ” ฉีหลิงลุกขึ้นยืนแต่ยังคงก้มหน้า พวกเขาถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ที่เริ่มเข้าฝึกเป็นองครักษ์เงาว่าห้ามมองหน้าเจ้านายเมื่ออยู่ต่อหน้า“ฉีหลิงตั้งแต่นี้ไปเจ้าสองพี่น้องมาเป็นคนของข้าเจ้าย
ในตอนสายสองผู้เฒ่ากลับมาที่เรือนเห็นฉีเหลยนั่งอยู่ที่ห้องโถงก็รีบเข้าไปทักทายทันที“เจ้าหนุ่มเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งไปชายแดนเมื่อเดือนก่อนหรือเหตุใดกลับมาที่นี่อีกแล้วเล่า เจ้านี่ช่างทุ่มเทให้กับงานเหลือเกินคราวนี้มาด้วยเรื่องอะไรล่ะ หรือว่ามีความลับอะไรที่ต้องมาบอกพวกเราอีกหรือ ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทถูกคุมขังไปแล้วหรืออย่างไร”ผู้เฒ่าหลิวซักฉีเหลยยาวเหยียดอย่างอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนสายลับเข้าไปทุกที ตอนนั้นเขายังเคยรู้เรื่องที่เป็นความลับระดับแคว้นเชียวนะ ช่างน่าปลาบปลื้มใจเสียจริงเหมือนกับว่าเขาเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้นผู้เฒ่าหลิวทำท่าทางฝันเคลิ้มอยู่ในภวังค์คนดียว แม่เฒ่าสวีมองสามีของนางอย่างหมั่นไส้ สักวันตาเฒ่านี่คงได้ตายเพราะชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านเป็นแน่ แม่เฒ่าสวีไม่สนใจคู่ยากของตนหันมาหาฉีเหลยมองอย่างจับผิดนางกลัวว่าครั้งนี้จะมีเรื่องอีกฉีเหลยทำหน้าเหมือนกลืนหวงเหลียนเข้าไป จะทำอย่างไรได้พอเขาไปถึงที่ชายแดน ท่านอ๋องก็สั่งให้เขาติดตามกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้งเกิดเป็นฉีเหลยช่างทรมานยิ่งนัก ก้นของเขาด้านหมดแล้วเพราะขี่ม้ากลับไปกลับมาไม่ได้หย
เสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูออกไปพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือหลู่หลิงเซียน“คุณหนูหลู่ ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” เสี่ยวหลันจื่อคิดว่าตั้งแต่วันนั้นนางน่าจะเลิกราไปเล้วไม่คิดว่าจะยังมาที่นี่อีก“เจ้าไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปข้างในหน่อยหรือ”เสี่ยวหลันจื่อเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามาด้านใน เมื่อเข้ามานั่งที่ห้องโถงเรียบร้อยแล้ว หลู่หลิงเซียนเป็นคนกล่าวขึ้นก่อน“ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าบางอย่าง”หลู่หลิงเซียนเหมือนจะรู้ว่าเสี่ยวหลันจื่อคิดอะไร จึงชิงออกตัวก่อน“ดูเหมือนเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันจนสามารถไปมาหาสู่ ข้าเองก็เป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นจะช่วยอะไรคุณหนูหลู่ได้กัน”หลู่หลิงเซียนขยับตัวอย่างอึดอัด“ความจริงข้ากำลังจะแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก และมีเรื่องบางอย่างที่ข้ายังติดใจอยู่ สามีของเจ้าผู้นั้นเป็นใครกันแน่”เสี่ยวหลันจื่อมองหลู่หลิงเซียนอย่างครุ่นคิด“เจ้ารู้อะไรมา” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง“ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน การค้าของตระกูลหลู่เหมือนจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น เดิมทีตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นแต่นึกไม่ถึงว่าถึงขั้น ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องล้มป่วยลง ตระกูลห
เซียวเทียนฉีเดินตรงมาที่หน้าโต๊ะทรงงานของหยวนหมิงฮ่องเต้เพื่อคุกเข่าคารวะ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำความเคารพแท่นฝนหมึกก็ลอยมาที่หัวของเซียวเทียนฉีอย่างแม่นยำ เลืออาบหน้าของเขาทันที ขันทีหลีที่เห็นดังนั้นถึงกับตกใจ ฝ่าบาทตีองค์ชายที่ตนเองรักที่สุด เขาได้เห็นในสิ่งทีไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว“สำนึกผิดหรือยัง เจ้าลูกอกตัญญู” หยวนหมิงฮ่องเต้ตะโกนด่าเขาลั่นห้อง“ไม่ทราบว่าลูกทำสิ่งใดผิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดบอกลูกให้เข้าใจ”หยวนหมิงฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือที่สุดไปที่เซียวเทียนฉีอีกครั้ง มันตกกระทบพื้นแตกกระจาย มีเศษของแก้วกระเด็นขึ้นมาบาดที่ใบหน้าของเขาจนเลือดออก“ยังจะมาทำไขสือ เรามีทั้งหลักฐานและพยานว่าเจ้าสมคบคิดกับรัชทายาทแคว้นฉู่เพื่อก่อสงครามขึ้น ไหนเจ้าลองหาเหตุผลดีๆ มาสักข้อให้เราไม่ต้องปลดเจ้าออกจากตำแหน่งรัชทายาทที”เซียวเทียนฉีหนังศรีษะชาวาบหลังจากที่ได้ยินหยวนหมิงฮ่องเต้พูดว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัชทายาท“ใครเป็นคนบอกเสด็จพ่อว่าลูกสมคบคิดกับแคว้นฉู่เพื่อก่อสงคราพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นเสด็จอาชินอ๋อง เสด็จพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ใส่ความลูกหรือแท้จริงเขาอาจหวังบัลลังที่เป็น
เสียงหวอของรถกู้ภัยดังไม่ขาดสาย ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยเหลือหญิงสาวโชคร้ายที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของชายขี้เมาสองคน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สี่ชั่วโมง เสี่ยวหลันจื่อเดินทางจากศูนย์เด็กเล็กที่เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่มาที่ร้านอาหารในตัวอำเภอเธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลของตาเธอที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ เสี่ยวหลันจื่ออาศัยอยู่กับตายายของเธอตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะพ่อกับแม่ของเธอหย่าร้างกันและต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่เป็นของตนเองดังนั้นเธอจึงเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ทันที มีเพียงตาและยายของเธอที่ยินดีรับเธอมาดูแล ดังนั้นทั้งชีวิตของเสี่ยวหลันจื่อจึงมีแค่ตากับยายที่เป็นผู้ปกครอง แต่ครอบครัวตายายก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมีเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและตั้งแต่ที่มาอยู่กับตายายก็ไร้การเหลียวแลจากพ่อและแม่ของเธอเสี่ยวหลันจื่อที่รู้ถึงความลำบากของตายาย เธอจึงขอเรียนแค่จบมัธยมปลายไม่เรียนต่อมหาลัย และการเรียนจบแค่มัธยมปลายของเธอเป็นผลให้การหางานยากลำบาก แต่เพราะท่านผอ. ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กเป็นเพ...
Comments