“ดียิ่งนัก กินข้าวในจวนของข้าแล้วยังร่วมมือกันคนอื่นมาลอบทำร้ายข้าใจกล้าไม่เบา เอาตัวสองคนนี้ไปตัดแขนและตัดลิ้น จากนั้นส่งพวกมันไปที่เรือนไผ่งาม” เสียงร้องขอความเมตตาจากทั้งสองคนดังระงมไปทั้งจวน ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่อนไผ่งานที่มีชื่อไพเราะนี้คือหอโคมเขียวสำหรับบุรุษ ข้ารับใช้ในจวนต่างพากันหัวหดเพราะหวาดกลัวในความอำมหิตของชินอ๋องผู้นี้
เซียวอี้เหิง เมื่อนึกถึงตรีน่าตายที่อยู่ในคุกใต้ดินแล้วยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงไม่น่ามอง เหล่าองครักษ์ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน
“เวรกรรม” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำออกมาเบาๆ นี่เราคงไม่ได้จะถูกทรมานจนตายอีกรอบหรอกนะ เสี่ยวหลันจื่อที่กำลังจะร้องขอความเมตตา ก็ถูกแส้เฆี่ยนหลังอย่างแรง เธอเป็นคนที่มาจากโลกที่มนุษย์เท่าเทียมกันไหนเลยจะเคยเจอการทรมานแบบนี้“ถอดเล็บเท้านางออกให้หมด” เสี่ยวหลันจื่อถึงกับขนลุกไปทั้งตัว เสียงเกรี้ยวกราดนี้เหมือนกับเสียงที่มาจากนรกขุมที่ลึกที่สุดที่เหมือนกำลังจะกระชากวิญญาณของเธอ
“ไม่นะ ระบบช่วยฉันด้วย” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนออกไปสุดแรงเกิดที่นางมี แต่สิ่งที่คนอื่นได้ยินคือเสียงพึมพำเบาๆ “นางกำลังพูดอะไร ตาแก่มาฟังซิ” หญิงชราขยับออกจากเตียงเล็กเพื่อเปิดทางให้สามีเข้ามาฟังว่าเด็กสาวที่นอนสลบไม่ได้สติกว่าสิบวันคนนี้พูดอะไร ก่อนที่ชายชรากำลังจะก้มลงฟังเสียงพึมพำจับใจความไม่ได้ เสียวหลันจื่อก็ลืมตาโพลงขึ้น ทำให้ชายชราตกใจจนผงะถอยหลังไป“โอ้ ฟื้นแล้วหรือแม่หนู ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง ตาแก่รีบไปตามท่านหมอซูมาเร็ว บอกว่านางฟื้นแล้ว”
ชายชรารีบออกไปตามคำสังของฮูหยินเฒ่าของตน เสี่ยวหลันจื่อมองไปรอบๆ ห้องเล็กที่ตนเองกำลังนอนอยู่จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นว่ากำลังถูกทรมานมันคือความฝัน ช่างเป็นความฝันที่เหมือนจริงมากอะไรอย่างนี้ น่ากลัวจริงๆ“ที่นี่ที่ไหน......หรือเจ้าคะ” เสี่ยวหลันจื่อใช้เสียงที่แหบแห้งของตนเองถามหญิงชราข้างเตียง เพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีการพูดของคนยุคนี้จึงฟังแล้วค่อนข้างตะกุกตะกัก
“ที่นี่คือบ้านของข้าเอง หมู่บ้านเถาฮวาข้ากับตาแก่ขี่เกวียนผ่านมาเห็นเจ้าล้มฟุบอยู่ข้างทางจึงช่วยมาไม่นึกว่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เจ้าสลบไปถึงสิบวัน ตอนแรกหมอซูบอกว่า ไม่มีหวังแล้ว ข้าคิดว่าไหน ๆ ก็ช่วยมาแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุดแล้วกัน”“มาแล้วๆ ท่านหมอซูมาแล้วยายเฒ่า” ชายชรารีบเข้ามาในห้องพร้อมกับ ชายวันกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี สะพายกล่องยาไว้ที่หัวไหล่ บ่งบอกว่าเขาคือหมอซูที่ชายชราพูดถึง
“ข้าขอตรวจชีพจรของเจ้าหน่อย” หมอซูนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหญิงสาวคนนี้รอดมาได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนแรกชีพจรของนางอ่อนแรงรวมทั้งอาการบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะเหมือนคนตาย
หมอซูหลับตาจับชีพจรของเสี่ยวหลันจื่อครู่หนึ่ง ก็โพล่งขึ้นว่า “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ชีพจรของเจ้าเต้นไม่ต่างจากคนปกติทั่วไปเลย ทั้งๆ ที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ยังรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์”
เสี่ยวหลันจื่อมองหมอซูที มองหญิงชราที “ข้าหายแล้วยังงั้นหรือ แล้วแผลที่หลังละ” เสี่ยวหลันจื่อเอื้อมมือไปสัมผัสที่หลังของตัวเองกลับพบว่ามันไม่เจ็บเลยสักนิดคลายกับว่าแผ่นหลังของนางไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน “อืม .....คงจะหายจริงๆ ข้าไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ท่านหมอท่านเก่งมาก”เสี่ยวหลันจื่อยิ้มพร้อมกับชมในฝีมือการรักษาของหมอซู หมอซูพยักหน้าพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้นางหนึ่งทีเพราะเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพียงแค่รักษาตามอาการ ตอนที่เห็นบาดแผลครั้งแรกเขาตกใจแทบเป็นลม แผ่นหลังของนางถูกเฆี่ยนจนแตกยับเนื้อหนังเปื่อยยุ่ยออกมา แทบจะมองไม่ออกว่าเคยเป็นแผ่นหลังของมนุษย์
“เดี่ยวข้าจะเขียนเทียบยาบำรุงให้นางสักหน่อย ต้มให้นางกินอีกสักสิบวันนางก็หายเป็นปกติ” หลังจากเขียนเทียบยาเสร็จหมอซูก็จากไป
“เจ้าสลบไปหลายวันคงจะหิวเดี๋ยวข้าเอาโจ๊กมาให้เจ้า กินสักหน่อยจะได้มีแรง” หญิงชรามองเสี่ยวหลันจื่อเล็กน้อยเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผ่านไปหนึ่งเดือนเสี่ยวหลันจื่อยังคงพักอยู่กับสองสามีภรรยาผู้เฒ่าสกุลหลิว ชายชรามีชื่อเต็มว่าหลิวฝูไห่ และภรรยามีชื่อว่าสวีเหมยฮวา ทั้งสองมีอาชีพทำนา เมื่อก่อนผู้เฒ่าหลิวมีอาชีพล่าสัตว์ขายแต่หลังจากผู้เฒ่าหลิวถูกหมูป่าทำร้ายหญิงชราจึงขอร้องอ้อนวอนให้สามีของตนเลิกเข้าป่าล่าสัตว์ แล้วหันมาทำนาแทน ทั้งสองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างจึงไม่ลำบากอะไร สองสามีภรรยาไม่มีลูกด้วยกันแต่ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกันด้วยความรัก แม่เฒ่าสวีเคยคิดรับเลี้ยงเด็กสักคนแต่หลิวฝูไห่ผู้เป็นสามีบอกว่าอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ไม่เป็นไร เขาจะเป็นคนดูแลนางเอง แล้วทั้งสองก็อยู่ด้วยกันมากว่าสี่สิบปีแล้ว เสี่ยวหลันจื่อยังได้เล่าสาเหตุที่ตนเองถูกทำร้ายแบบบิดเบือนเล็กน้อย ให้แก่แม่เฒ่าสวีฟังว่าตนเคยเป็นสาวใช้ในจวนขุนนางแต่เพราะความงามของตนทำให้ถูกรังแกและถูกทำร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด หญิงชราก็เชื่อเสี่ยวหลันจื่อจนหมดใจ เพราะอวี้ซูเหยาร่างเดิมคนนี้มีใบหน้าและรูปร่างที่งดงามเป็นอย่างมาก ดวงตากลมโตดำขลับขนตางอนยาวเป็นแพราวปีกผีเสื้อ จมูกโด่งเชิดรั้นเล็กน้อย ใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ ผมดำยาวสยายนุ่มราวกับไหมชั้นดี รวมกับผิวขาวราวหิมะ รูปร่างอรชรอกอวบเอวเล็กคอด โดยรวมแล้วรูปร่างหน้าตาของอวี้ซูเหยา งดงามแบบฉบับที่สาวๆ แทบทั้งโลกใฝ่ฝันที่จะมีถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียวไปบ้างเพราะอาการบาดเจ็บแต่กลับไม่สามารถลดทอนความงามของนางได้เลย เสี่ยวหลันจื่อเห็นหน้าตัวเองในกระจกทองแดงครั้งแรกยังรู้สึกตกใจ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะมีความมั่นใจในตัวเองว่านางจะสามารถมัดใจท่านอ๋องได้ แต่นางคำนวณผิดไปนิดเพราะอ๋องคนนี้ไม่เหมือนใคร ช่างเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจแถมยังอำมหิตอีกด้วย ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายคนอื่นไม่แน่อาจจะวิ่งตามนางจนเบียดผู้หญิงคนอื่นจนตกขอบไปเลย ดูท่าว่าข่าวลือที่ท่านอ๋องเป็นพวกตัดแขนเสื้อจะเป็นเรื่องจริง
ตอนนี้นางคือเสี่ยวหลันจื่อไม่ใช่อวี้ซูเหยาอีกต่อไป จากนี้คงต้องวางแผนชีวิตให้ดีถึงเจ้าระบบจะบอกว่าให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องให้สนุกและน่าสนใจขึ้นกว่าเดิมแต่นางเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปมีความสามรถอะไร ไม่มีทั้งอำนาจและเงินทอง อีกอย่างคงอาศัยสองสามีภรรยาผู้เฒ่าให้เลี้ยงดูนางตลอดไปไม่ได้ ต้องหาทางหาเงินก่อนเป็นอันดับแรก
เสี่ยวหลันจื่อตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เฒ่าสวีทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับทำอย่างนี้จนเคยชินแล้ว เพราะชาติก่อนนางอาศัยอยู่กับตายยายในหมู่บ้านชนบท ต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านก่อนไปเรียนเพราะยายของนางต้องเปิดร้านขายของจึงทำให้เสี่ยวหลันจื่อช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กหลังจากทั้งสามทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วเสี่ยวหลันจื่อ จึงบอกจุดประสงค์ของตนเองแก่แม่เฒ่าสวีว่าจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่าสามารถหาอะไรไปขายได้บ้าน ถ้าอิงจากนิยายแนวทะลุมิติหลายๆ เรื่องนางเอกส่วนมากก็เริ่มต้นจากการเข้าป่าหาสมุนไพรหรือไม่ก็ทำอาหารขายแต่เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าทำอาหารยังไง แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องร้องว้าวขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการทำอาหารขายจึงถูกปัดตกไปเสี่ยวหลันจื่อลืมไปเรื่องหนึ่งคือตัวเองไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นนางเอก และนางพึ่งจะถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเมื่อเดือนที่แล้ว“เฮ่อ.....ยังไงก็ลองขึ้นไปดูสักหน่อยได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง”เสี่ยวหลันจื่อแบกตะกร้าสะพายหลังที่เห็นกันบ่อยๆ ในซีรี่ส์ย้อนยุคของจีนพร้อมด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่เฒ่าหลิวเคยพกขึ้นเขาประจำและจอบอันเล็กเอาไว้ขุดผักป่าซึ่งเสี่ยวหลันจื่อยังไม่รู้เลยว่าผักป
“ออกมานะ” เงียบ..... เจ้าร่างเล็กๆ สีแดงไม่ขยับนางจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงแอบย่องไปอีกด้านของต้นไม้เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไรทำไมถึงเดินตามนางมาทันทีที่เดินไปถึงสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเสี่ยวหลันจื่อคือร่างเล็กกลมป้อมเท่ากำปั้นกำลังใช้ขาหน้าที่ปุกปุยปิดหัวเล็กๆ ของมันอยู่ นางมองด้วยความงงงันปนสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไรดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีคนมองตัวเองอยู่จึงได้โผล่หัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีแดงกลมโตออกมา สี่ตามองสบประสานชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็หดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าของตนอีกครั้งด้วยท่าทางเขินอายบิดก้นน้อยๆ ไปมาแต่ก็มิวายแอบมองนางเสี่ยวหลันจื่อนั่งลงยอง ๆ ใช้นิ้วจิ้มๆ เจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะคล้าย กระรอกดินแต่กลับมีหางยาวเป็นพวงมีอุ้งเท้าปุกปุยเหมือนแมว“แกใช่ไหมที่ตามข้ามา เจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อยังคงใช้นิ้วจิ้มมันอยู่อย่างนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่แสนประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเสี่ยวหลันจื่อจึงเลิกสนใจมันแล้วลุกขึ้นเดินออกมา เพราะนางยังมีเป้าหมายคือการหาเงิน จะมาเสียเวลากับสัตว์เล็กๆ อยู่อย่างนี้ไม่ได้เจ้าสัตว์ตัวเล็กเหมือนรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข
เสี่ยวหลันจื่อลงมาจากภูเขาในตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว ด้านหลังมีตะกร้าสมุนไพรที่เก็บมา ในอ้อมแขนยังอุ้มเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงที่นางพึ่งจะตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวหง เพราะขนมันสีแดงทั้งตัวแม้กระทั่งตาของมันก็มีสีแดงเสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูเดินเข้าไปในลานบ้านวางตะกร้าลงแม่เฒ่าสวีที่รอนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ ก็รีบเดินมาจับตัวนางหมุนไปหมุนมาเพื่อดูว่านางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่“ท่านยาย ข้าไม่มีที่ไหนในร่างกายที่บาดเจ็บหรอกนะเจ้าคะ ท่านจับข้าหมุนไปหมุนมาจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ก็ยายเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่หรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เอาล่ะ กลับมาเหนื่อยๆ พักผ่อนซะหน่อย หิวหรือไม่ให้ยาย ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อย อีกอย่างข้ากินซาลาเปาที่ท่านยายให้ข้าไปแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อบอกแม่เฒ่าสวีแล้วยิ้มอย่างประจบเอาใจ“มาดูสมุนไพรที่ข้าเก็บมาดีกว่าเจ้าค่ะว่าสามารถขายได้หรือไม่” เสี่ยวหลันจื่อหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากตะกร้า อาศัยช่วงที่แม่เฒ่าสวี มัวแต่ดูสมุนไพรหยิบเอาโสมออกมาจากไอเทมบ๊อกของนาง เสียงคุยกันของสองสตรี ดังไปถึงหลังบ้าน เฒ่าหลิวที่กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ถึงกับเดิน
ผู้ดูแลเฉินเดินออกไปด้านหลังของเริ่นโส่วถัง ทะลุสนามหญ้าข้ามไปอีกฝั่งที่มีประตูบานใหญ่สีแดง ด้านในเป็นเรือนสี่ประสาน สวนตรงกลางถูกตกเเต่งอย่างสวยงามผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในเรือนที่มีห้องหลักอยู่ตรงกลาง กระซิบบอกองครักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่นานองครักษ์ก็มาตามเขาให้เข้าไปข้างใน ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในห้องหลักจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นมีเบาะนุ่มรองอยู่เขาเอนกายชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเกียจคร้านผมยาวดำขลับคล้ายกับสีดวงตาที่ทั้งดำและดูลึกลับราวกับยามรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุด ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตา ใบหน้า คมเข้มด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้นน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้าดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกันลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวผ่องดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเป็นลอนอย่างสวยงามไม่มากไม่น้อยโผล่พ้นชุดดำที่เปิดอ้าออกคล้ายตั้งใจยั่วยวนผู้ที่ได้พบเห็นมือเรียวยาวที่โผล
ผู้ดูแลเฉินนำทางเสี่ยวหลันจื่อมาที่เรื่อนที่เซียวอี้เหิงพักอยู่หลังจากที่รายงานองครักษ์แล้วนางก็ยืนรอให้เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าพบ“ลึกลับจริงๆ” เสี่ยวหลันจื่อบ่นคนเดียวเบาๆ แต่ผู้ดูแลเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเขาได้แต่หันมายิ้มแหยๆ ให้นางองครักษ์ที่เข้าไปรายงานออกมาบอกให้เสี่ยวหลันจื่อเข้าไป“ท่านไม่เข้าไปด้วยหรือ” เสี่ยวหลันจื่อหันมาถามผู้ดูแลเฉิน“นายท่านให้เชิญแม่นางเข้าไปคนเดียว ผู้ดูแลเฉินให้รอข้างนอก” องครักษ์เฝ้าหน้าประตูตอบ เสี่ยวหลันจื่อมีท่าทางลังเลเล็กน้อย“แม่นางเจ้าเข้าไปเถอะอย่าให้นายท่านต้องรอนาน ข้าจะรอยู่ข้างนอกนี่แหละ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าจากนั้นก็เข้าประตูไปเสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปในห้องใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงาม คิดในใจว่าคนๆ นี้จะต้องร่ำรวยขนาดไหนนะ ของที่ตกแต่งภายในห้องล้วนดูราคาแพง แค่ห้องนี้ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่นางอยู่ถึงสามเท่าเสียงเคลื่อนไหวด้านในทำให้ เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากความสนใจที่จะสำรวจห้องอันวิจิตรนี้ ด้านหน้าของนางมีฉากกั้นขนาดใหญ่วางอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน“แค่มาขายโสมเหตุใดต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้” เสี่ยวหลันจื่อพ
เสียงหวอของรถกู้ภัยดังไม่ขาดสาย ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยเหลือหญิงสาวโชคร้ายที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของชายขี้เมาสองคน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สี่ชั่วโมง เสี่ยวหลันจื่อเดินทางจากศูนย์เด็กเล็กที่เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่มาที่ร้านอาหารในตัวอำเภอเธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลของตาเธอที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ เสี่ยวหลันจื่ออาศัยอยู่กับตายายของเธอตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะพ่อกับแม่ของเธอหย่าร้างกันและต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่เป็นของตนเองดังนั้นเธอจึงเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ทันที มีเพียงตาและยายของเธอที่ยินดีรับเธอมาดูแล ดังนั้นทั้งชีวิตของเสี่ยวหลันจื่อจึงมีแค่ตากับยายที่เป็นผู้ปกครอง แต่ครอบครัวตายายก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมีเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและตั้งแต่ที่มาอยู่กับตายายก็ไร้การเหลียวแลจากพ่อและแม่ของเธอเสี่ยวหลันจื่อที่รู้ถึงความลำบากของตายาย เธอจึงขอเรียนแค่จบมัธยมปลายไม่เรียนต่อมหาลัย และการเรียนจบแค่มัธยมปลายของเธอเป็นผลให้การหางานยากลำบาก แต่เพราะท่านผอ. ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กเป็นเพ
สิ้นเสียงของระบบ ร่างของเสี่ยวหลันจื่อวูบไปอีกครั้งแต่ตอนี้สถานที่ที่เธอยืนอยู่คือลานโล่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง รอบด้านมืดมิดมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบและมีภูเขาล้อมรอบ ฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศ น่ากลัวกว่าเดิม ที่นี่น่าจะเป็นเชิงเขาของที่ไหนสักแห่งก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะถามระบบว่าพาเธอมาที่ไหนกันแน่ เสียงเดินของใครบางคนตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ เสี่ยวหลันจื่อรีบนั่งลงอาศัยความมืดและใช้หญ้าที่ขึ้นสูงบังร่างตนเองเอาไว้ โดยที่ลืมไปว่าตัวเองคือวิญญาณร่างโปร่งแสง เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายสองคนแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณที่เคยเห็นในซีรี่ส์ย้อนยุคกำลังแบกเสื่อที่ห่ออะไรบางอย่างเป็นแท่งยาวๆ โยนลงไปในหลุ่มดวงตาของเสี่ยวหลันจื่อสว่างวาบขึ้นมาทันที ฆ่าตกรรม สามคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เสี่ยวหลันจื่อยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงออกไป ไม่นานหลังจากที่ชายสองคนจากไปเสี่ยวหลันจื่อก็ออกมาจากที่ซ่อนและตรงไปที่หลุมที่ชายสองคนโยนศพลงไป เสี่ยวหลันจื่อยกมือไหว้พนมพึมพำขอให้เขาไปสู่สุขติ เสียงของระบบก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม“เริ่มต้นการผสานวิญญาณกับร
เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเลเพราะอาการบาดเจ็บและฝนที่พึ่งตกไป แล้วตอนนี้ก็มืดสนิทแม้เธอจะใช้ระบบสแกนนำทาง แต่มันจะเหมือนตาเปล่าที่มองเห็นทางได้ยังไง มีความทรงจำของร่างเดิมก็คงดีสิ เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจติ๊ง เสียงดังขึ้นหัวของเธอ กำลังประมวลผล จากนั้นความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอเหมือนกับการนั่งดูหนังหรือวิดีโอ แต่เธอมีความรู้สึกร่วมไปกับความทรงจำนั้นด้วย ผ่านไปสักพักเสี่ยวหลันจื่อถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ อวี้ซูเหยา เจ้าของร่างเดิม ต้องตายคืออะไร“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ ระบบ ระบบ ฉันอยากกลับไป พาฉันกลับไปนะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว”เสี่ยวหลันจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายกำลังจะสติแตกอยู่เต็มที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ถึงเธอจะเคยดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่การถูกทรมานของอวี้ซูเหยานี่มันน่ากลัวจริง และความทรงจำที่ไหลเข้ามาในหัวเธอมันคล้ายกับว่าเป็นความทรงจำของเธอเอง และอาการหวาดกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เหมือนมาจากอวี้ซูเหยาเจ้าของร่างเดิมแต่มันเหมือนมาจากตัวเธอเอง เสี่ยวหลันจื่อคุกเข่าลงกอดตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนที่สติจะดับวูบ
ผู้ดูแลเฉินนำทางเสี่ยวหลันจื่อมาที่เรื่อนที่เซียวอี้เหิงพักอยู่หลังจากที่รายงานองครักษ์แล้วนางก็ยืนรอให้เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าพบ“ลึกลับจริงๆ” เสี่ยวหลันจื่อบ่นคนเดียวเบาๆ แต่ผู้ดูแลเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเขาได้แต่หันมายิ้มแหยๆ ให้นางองครักษ์ที่เข้าไปรายงานออกมาบอกให้เสี่ยวหลันจื่อเข้าไป“ท่านไม่เข้าไปด้วยหรือ” เสี่ยวหลันจื่อหันมาถามผู้ดูแลเฉิน“นายท่านให้เชิญแม่นางเข้าไปคนเดียว ผู้ดูแลเฉินให้รอข้างนอก” องครักษ์เฝ้าหน้าประตูตอบ เสี่ยวหลันจื่อมีท่าทางลังเลเล็กน้อย“แม่นางเจ้าเข้าไปเถอะอย่าให้นายท่านต้องรอนาน ข้าจะรอยู่ข้างนอกนี่แหละ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าจากนั้นก็เข้าประตูไปเสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปในห้องใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงาม คิดในใจว่าคนๆ นี้จะต้องร่ำรวยขนาดไหนนะ ของที่ตกแต่งภายในห้องล้วนดูราคาแพง แค่ห้องนี้ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่นางอยู่ถึงสามเท่าเสียงเคลื่อนไหวด้านในทำให้ เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากความสนใจที่จะสำรวจห้องอันวิจิตรนี้ ด้านหน้าของนางมีฉากกั้นขนาดใหญ่วางอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน“แค่มาขายโสมเหตุใดต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้” เสี่ยวหลันจื่อพ
ผู้ดูแลเฉินเดินออกไปด้านหลังของเริ่นโส่วถัง ทะลุสนามหญ้าข้ามไปอีกฝั่งที่มีประตูบานใหญ่สีแดง ด้านในเป็นเรือนสี่ประสาน สวนตรงกลางถูกตกเเต่งอย่างสวยงามผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในเรือนที่มีห้องหลักอยู่ตรงกลาง กระซิบบอกองครักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่นานองครักษ์ก็มาตามเขาให้เข้าไปข้างใน ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในห้องหลักจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นมีเบาะนุ่มรองอยู่เขาเอนกายชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเกียจคร้านผมยาวดำขลับคล้ายกับสีดวงตาที่ทั้งดำและดูลึกลับราวกับยามรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุด ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตา ใบหน้า คมเข้มด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้นน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้าดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกันลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวผ่องดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเป็นลอนอย่างสวยงามไม่มากไม่น้อยโผล่พ้นชุดดำที่เปิดอ้าออกคล้ายตั้งใจยั่วยวนผู้ที่ได้พบเห็นมือเรียวยาวที่โผล
เสี่ยวหลันจื่อลงมาจากภูเขาในตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว ด้านหลังมีตะกร้าสมุนไพรที่เก็บมา ในอ้อมแขนยังอุ้มเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงที่นางพึ่งจะตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวหง เพราะขนมันสีแดงทั้งตัวแม้กระทั่งตาของมันก็มีสีแดงเสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูเดินเข้าไปในลานบ้านวางตะกร้าลงแม่เฒ่าสวีที่รอนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ ก็รีบเดินมาจับตัวนางหมุนไปหมุนมาเพื่อดูว่านางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่“ท่านยาย ข้าไม่มีที่ไหนในร่างกายที่บาดเจ็บหรอกนะเจ้าคะ ท่านจับข้าหมุนไปหมุนมาจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ก็ยายเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่หรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เอาล่ะ กลับมาเหนื่อยๆ พักผ่อนซะหน่อย หิวหรือไม่ให้ยาย ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อย อีกอย่างข้ากินซาลาเปาที่ท่านยายให้ข้าไปแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อบอกแม่เฒ่าสวีแล้วยิ้มอย่างประจบเอาใจ“มาดูสมุนไพรที่ข้าเก็บมาดีกว่าเจ้าค่ะว่าสามารถขายได้หรือไม่” เสี่ยวหลันจื่อหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากตะกร้า อาศัยช่วงที่แม่เฒ่าสวี มัวแต่ดูสมุนไพรหยิบเอาโสมออกมาจากไอเทมบ๊อกของนาง เสียงคุยกันของสองสตรี ดังไปถึงหลังบ้าน เฒ่าหลิวที่กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ถึงกับเดิน
“ออกมานะ” เงียบ..... เจ้าร่างเล็กๆ สีแดงไม่ขยับนางจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงแอบย่องไปอีกด้านของต้นไม้เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไรทำไมถึงเดินตามนางมาทันทีที่เดินไปถึงสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเสี่ยวหลันจื่อคือร่างเล็กกลมป้อมเท่ากำปั้นกำลังใช้ขาหน้าที่ปุกปุยปิดหัวเล็กๆ ของมันอยู่ นางมองด้วยความงงงันปนสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไรดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีคนมองตัวเองอยู่จึงได้โผล่หัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีแดงกลมโตออกมา สี่ตามองสบประสานชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็หดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าของตนอีกครั้งด้วยท่าทางเขินอายบิดก้นน้อยๆ ไปมาแต่ก็มิวายแอบมองนางเสี่ยวหลันจื่อนั่งลงยอง ๆ ใช้นิ้วจิ้มๆ เจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะคล้าย กระรอกดินแต่กลับมีหางยาวเป็นพวงมีอุ้งเท้าปุกปุยเหมือนแมว“แกใช่ไหมที่ตามข้ามา เจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อยังคงใช้นิ้วจิ้มมันอยู่อย่างนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่แสนประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเสี่ยวหลันจื่อจึงเลิกสนใจมันแล้วลุกขึ้นเดินออกมา เพราะนางยังมีเป้าหมายคือการหาเงิน จะมาเสียเวลากับสัตว์เล็กๆ อยู่อย่างนี้ไม่ได้เจ้าสัตว์ตัวเล็กเหมือนรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข
เสี่ยวหลันจื่อตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เฒ่าสวีทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับทำอย่างนี้จนเคยชินแล้ว เพราะชาติก่อนนางอาศัยอยู่กับตายยายในหมู่บ้านชนบท ต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านก่อนไปเรียนเพราะยายของนางต้องเปิดร้านขายของจึงทำให้เสี่ยวหลันจื่อช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กหลังจากทั้งสามทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วเสี่ยวหลันจื่อ จึงบอกจุดประสงค์ของตนเองแก่แม่เฒ่าสวีว่าจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่าสามารถหาอะไรไปขายได้บ้าน ถ้าอิงจากนิยายแนวทะลุมิติหลายๆ เรื่องนางเอกส่วนมากก็เริ่มต้นจากการเข้าป่าหาสมุนไพรหรือไม่ก็ทำอาหารขายแต่เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าทำอาหารยังไง แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องร้องว้าวขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการทำอาหารขายจึงถูกปัดตกไปเสี่ยวหลันจื่อลืมไปเรื่องหนึ่งคือตัวเองไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นนางเอก และนางพึ่งจะถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเมื่อเดือนที่แล้ว“เฮ่อ.....ยังไงก็ลองขึ้นไปดูสักหน่อยได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง”เสี่ยวหลันจื่อแบกตะกร้าสะพายหลังที่เห็นกันบ่อยๆ ในซีรี่ส์ย้อนยุคของจีนพร้อมด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่เฒ่าหลิวเคยพกขึ้นเขาประจำและจอบอันเล็กเอาไว้ขุดผักป่าซึ่งเสี่ยวหลันจื่อยังไม่รู้เลยว่าผักป
“ใครก็ได้ มาลากสตรีผู้นี้ออกไปขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้าให้นางได้ขึ้นสวรรค์แล้วจากนี้ข้าจะให้นางได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร"เซียวอี้เหิงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้คนไปตรวจสอบ นางไม่มีทางทำคนเดียวได้แน่จะต้องมีคนให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอาบน้ำเวลาไหน ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวรับใช้ชายที่ทำหน้าที่ชงชาและคนเฝ้าประตูเรือนก็ถูกลากตัวออกมา ทั้งสองสารภาพว่ารับเงินมาจากอวี้ซูเหยาเพื่อวางยาและบอกเวลาอาบน้ำของท่านอ๋อง“ดียิ่งนัก กินข้าวในจวนของข้าแล้วยังร่วมมือกันคนอื่นมาลอบทำร้ายข้าใจกล้าไม่เบา เอาตัวสองคนนี้ไปตัดแขนและตัดลิ้น จากนั้นส่งพวกมันไปที่เรือนไผ่งาม” เสียงร้องขอความเมตตาจากทั้งสองคนดังระงมไปทั้งจวน ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่อนไผ่งานที่มีชื่อไพเราะนี้คือหอโคมเขียวสำหรับบุรุษ ข้ารับใช้ในจวนต่างพากันหัวหดเพราะหวาดกลัวในความอำมหิตของชินอ๋องผู้นี้เซียวอี้เหิง เมื่อนึกถึงตรีน่าตายที่อยู่ในคุกใต้ดินแล้วยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงไม่น่ามอง เหล่าองครักษ์ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน“เวรกรรม” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำออกมาเบาๆ นี่เราคงไม่ได้จะถูกทรมา
เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเลเพราะอาการบาดเจ็บและฝนที่พึ่งตกไป แล้วตอนนี้ก็มืดสนิทแม้เธอจะใช้ระบบสแกนนำทาง แต่มันจะเหมือนตาเปล่าที่มองเห็นทางได้ยังไง มีความทรงจำของร่างเดิมก็คงดีสิ เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจติ๊ง เสียงดังขึ้นหัวของเธอ กำลังประมวลผล จากนั้นความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอเหมือนกับการนั่งดูหนังหรือวิดีโอ แต่เธอมีความรู้สึกร่วมไปกับความทรงจำนั้นด้วย ผ่านไปสักพักเสี่ยวหลันจื่อถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ อวี้ซูเหยา เจ้าของร่างเดิม ต้องตายคืออะไร“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ ระบบ ระบบ ฉันอยากกลับไป พาฉันกลับไปนะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว”เสี่ยวหลันจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายกำลังจะสติแตกอยู่เต็มที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ถึงเธอจะเคยดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่การถูกทรมานของอวี้ซูเหยานี่มันน่ากลัวจริง และความทรงจำที่ไหลเข้ามาในหัวเธอมันคล้ายกับว่าเป็นความทรงจำของเธอเอง และอาการหวาดกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เหมือนมาจากอวี้ซูเหยาเจ้าของร่างเดิมแต่มันเหมือนมาจากตัวเธอเอง เสี่ยวหลันจื่อคุกเข่าลงกอดตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนที่สติจะดับวูบ
สิ้นเสียงของระบบ ร่างของเสี่ยวหลันจื่อวูบไปอีกครั้งแต่ตอนี้สถานที่ที่เธอยืนอยู่คือลานโล่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง รอบด้านมืดมิดมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบและมีภูเขาล้อมรอบ ฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศ น่ากลัวกว่าเดิม ที่นี่น่าจะเป็นเชิงเขาของที่ไหนสักแห่งก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะถามระบบว่าพาเธอมาที่ไหนกันแน่ เสียงเดินของใครบางคนตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ เสี่ยวหลันจื่อรีบนั่งลงอาศัยความมืดและใช้หญ้าที่ขึ้นสูงบังร่างตนเองเอาไว้ โดยที่ลืมไปว่าตัวเองคือวิญญาณร่างโปร่งแสง เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายสองคนแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณที่เคยเห็นในซีรี่ส์ย้อนยุคกำลังแบกเสื่อที่ห่ออะไรบางอย่างเป็นแท่งยาวๆ โยนลงไปในหลุ่มดวงตาของเสี่ยวหลันจื่อสว่างวาบขึ้นมาทันที ฆ่าตกรรม สามคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เสี่ยวหลันจื่อยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงออกไป ไม่นานหลังจากที่ชายสองคนจากไปเสี่ยวหลันจื่อก็ออกมาจากที่ซ่อนและตรงไปที่หลุมที่ชายสองคนโยนศพลงไป เสี่ยวหลันจื่อยกมือไหว้พนมพึมพำขอให้เขาไปสู่สุขติ เสียงของระบบก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม“เริ่มต้นการผสานวิญญาณกับร
เสียงหวอของรถกู้ภัยดังไม่ขาดสาย ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยเหลือหญิงสาวโชคร้ายที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของชายขี้เมาสองคน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สี่ชั่วโมง เสี่ยวหลันจื่อเดินทางจากศูนย์เด็กเล็กที่เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่มาที่ร้านอาหารในตัวอำเภอเธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลของตาเธอที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ เสี่ยวหลันจื่ออาศัยอยู่กับตายายของเธอตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะพ่อกับแม่ของเธอหย่าร้างกันและต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่เป็นของตนเองดังนั้นเธอจึงเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ทันที มีเพียงตาและยายของเธอที่ยินดีรับเธอมาดูแล ดังนั้นทั้งชีวิตของเสี่ยวหลันจื่อจึงมีแค่ตากับยายที่เป็นผู้ปกครอง แต่ครอบครัวตายายก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมีเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและตั้งแต่ที่มาอยู่กับตายายก็ไร้การเหลียวแลจากพ่อและแม่ของเธอเสี่ยวหลันจื่อที่รู้ถึงความลำบากของตายาย เธอจึงขอเรียนแค่จบมัธยมปลายไม่เรียนต่อมหาลัย และการเรียนจบแค่มัธยมปลายของเธอเป็นผลให้การหางานยากลำบาก แต่เพราะท่านผอ. ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กเป็นเพ