เสี่ยวหลันจื่อลงมาจากภูเขาในตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว ด้านหลังมีตะกร้าสมุนไพรที่เก็บมา ในอ้อมแขนยังอุ้มเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงที่นางพึ่งจะตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวหง เพราะขนมันสีแดงทั้งตัวแม้กระทั่งตาของมันก็มีสีแดง
เสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูเดินเข้าไปในลานบ้านวางตะกร้าลงแม่เฒ่าสวีที่รอนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ ก็รีบเดินมาจับตัวนางหมุนไปหมุนมาเพื่อดูว่านางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
“ท่านยาย ข้าไม่มีที่ไหนในร่างกายที่บาดเจ็บหรอกนะเจ้าคะ ท่านจับข้าหมุนไปหมุนมาจนเวียนหัวไปหมดแล้ว” “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ก็ยายเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่หรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เอาล่ะ กลับมาเหนื่อยๆ พักผ่อนซะหน่อย หิวหรือไม่ให้ยาย ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อย อีกอย่างข้ากินซาลาเปาที่ท่านยายให้ข้าไปแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อบอกแม่เฒ่าสวีแล้วยิ้มอย่างประจบเอาใจ “มาดูสมุนไพรที่ข้าเก็บมาดีกว่าเจ้าค่ะว่าสามารถขายได้หรือไม่” เสี่ยวหลันจื่อหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากตะกร้า อาศัยช่วงที่แม่เฒ่าสวี มัวแต่ดูสมุนไพรหยิบเอาโสมออกมาจากไอเทมบ๊อกของนาง เสียงคุยกันของสองสตรี ดังไปถึงหลังบ้าน เฒ่าหลิวที่กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ถึงกับเดินออกมาดู ว่าพวกนางกำลังทำอะไรกันสองสามีภรรยาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เมื่อเห็นโสมภูเขาที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมานอนอยู่ก้นตะกร้า แม่เฒ่าสวีดีใจจนร้องไห้ออกมา ลูบหัวของเสี่ยวหลันจื่อแล้วเอาแต่พูดว่าเด็กดี เด็กดี
“เรื่องโสมนี่ต้องเก็บไว้เป็นความลับรู้หรือไม่ โดยเฉพาะแก ตาแก่ อย่าได้เที่ยวเอาไปพูดที่ไหนเชียว สิ่งของยิ่งมีค่ายิ่งอันตราย”
แม่เฒ่าสวีหันไปกำชับเสี่ยวหลันจื่อแล้วจึงหันไปกำชับสามีของตนที่ชอบออกไปคุยเล่นกับสหายชราหลังอาหารเย็นทุกวัน หนึ่งเด็กสาวหนึ่งชายชราพยักหน้าขึ้นลงซ้ำๆ พร้อมกัน อย่างกับไก่กำลังจิกข้าวสาร มองดูแล้วน่าขันนักแม่เฒ่าสวีถึงกับหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา นี่คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา เห็นนางสองสามีภรรยาเฒ่าไม่มีสายเลือดสืบสกุล จึงส่งเด็กสาวคนนี้มาให้พวกเขา แม่เฒ่าสวียกมือพนมแล้วพึมพำอามิตตาพุทธเบาๆ สายตาก็มองดู
เสี่ยวหลันจื่อที่กำลังแยกสมุนไพรอย่างอ่อนโยนวันต่อมาสามคนบ้านผู้เฒ่าหลิวขี่เกวียนเข้าไปในอำเภอที่อยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ เสี่ยวหลันจือที่นั่งอยู่ท้ายเกวียนฮำเพลงเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ เพราะวันนี้เป็นวันที่นางจะได้เงินแล้ว ในปากก็คาบยอดหญ้าหางกระรอกที่ดึงมาจากข้างทางชมนกชมไม้ไปเรื่อย เสี่ยวหงที่นั่งอยู่บนตักของนาง ก็เลียนแบบท่าทางการกระทำของเสี่ยวหลันจื่อเพียงแต่มันไม่ได้ฮำเพลงออกมาเท่านั้น หนึ่งคนหนึ่งสัตว์โยกหัวไปมาพร้อมกับฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี แม่เฒ่าสวีมองดูเสี่ยวหลันจื่อกับเสี่ยวหง แล้วสะกิดให้สามีเฒ่าของตนเองดูทั้งสองถึงกับยิ้มออกมาพร้อมกัน
เมื่อเกวียนมาถึงด้านหน้าทางเข้าของอำเภอหยู่เปิง ผู้เฒ่าหลิวจอดเกวียนไว้ด้านนอก จ่ายเงินให้คนดูแลวัวของตนจากนั้นทั้งสามคนก็เข้าไปด้านใน เสี่ยวหลันจื่อสังเกตรอบๆ ตลอดทางที่ผู้เฒ่าหลิวพาไป อำเภอหยู่เปิงเป็นอำเภอใหญ่ที่เป็นทางผ่านเข้าเมืองหลวง
ดังนั้นที่นี่จึงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนและเหล่าพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมาเพื่อนำสินค้าไปขาย ทั้งนำเข้าไปขายในเมืองหลวงและนำออกไปขายยังเมืองต่างๆ เสี่ยวหลันจื่อฟังผู้เฒ่าหลิวเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอำเภอหยูเปิงให้ฟังระหว่างเดินไปร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ และยังมีสาขามากมายกระจายไปตามอำเภอต่างๆ
เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้ารับผู้เฒ่าหลิวเป็นพักๆ เพื่อบ่งบอกว่านางกำลังตั้งใจฟังอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าทั้งสามคนกำลังตกเป็นเป้าความสนใจของผู้คนรอบด้าน ถ้าจะให้เจาะจงคือคนที่พวกเขาสนใจคือเสียวหลันจื่อ แม้จะใส่เสื้อผ้าที่เก่าแถมยังมีรอยปะชุน แต่กลับไม่สามารถ บั่นทอนความงามของนางได้เลย ตลอดทางจนกระทั่งถึงร้านขายยา เริ่นโส่วถัง ผู้คนเอาแต่เหลียวมองนางเป็นตาเดียวกัน
“ถึงแล้วที่นี่แหละ ร้านขายยาที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอหยู่เปิง และข้ารับรองว่าที่นี่จะให้ราคายุติธรรมแน่นอน สมัยยังหนุ่มข้าเคยเอาโสมหัวเล็กๆ มาขายที่นี่ครั้งหนึ่ง ได้ตั้งยี่สิบตำลึงแนะ จำได้ไหมยายเฒ่า”
ผู้เฒ่าหลิวหันมาหาคู่ชีวิตเพื่อขอให้นางสนับสนุนคำพูดของตน“พูดมากจริงเชียว” แม่เฒ่าหลิวหันไปเอ็ด สามีหนึ่งทีจากนั้นจึงควงแขนของเสี่ยวหลันจื่อเข้าไปข้างใน เริ่นโส่วถัง
“มาซื้อหรือมาขายยาสมุนไพรขอรับ” เด็กหนุ่มที่ดูแลหน้าร้านรีบกุลีกุจอเข้ามาถามแม่เฒ่าสวี ใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู แอบเหลือบมองเสี่ยวหลันจื่อเป็นระยะ“พวกเรามาขายสมุนไพร เจ้าช่วยตามผู้ดูแลมาได้หรือไม่” ทันทีที่เสี่ยวหลันจื่อเปล่งเสียงออกมา ร่างของเด็กหนุ่มที่มาทำหน้าที่ต้อนรับถึงกับแทบเหลวเป็นน้ำ เขาสามารถพูดได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ไพเราะขนาดนี้มาก่อน จากใบหน้าที่แดงก่ำอยู่แล้วของเด็กหนุ่มกลับยิ่งแดงเป็นกุ้งเผามากกว่าเดิม เสี่ยวหลันจื่อที่เห็นเขายืนก้มหน้าไม่ได้ตอบรับคำพูดของตนจึงเดินเข้าใกล้กว่าเดิมเพราะคิดว่าเขาไม่ได้ยิน เด็กหนุ่มเห็นนางเดินมาใกล้ตนเองก็ได้สติกลับมา รีบลนลานวิ่งเข้าไปด้านในทันที
“เป็นอะไรของเขานะ รีบลนลานอะไรขนาดนั้น” เสี่ยวหลันจื่อที่อุ้มเสี่ยวหงอยู่ในอ้อมแขน ลูบขนมันเล่นไปมาหันไปหาแม่เฒ่าสวีเพื่อถามนาง แม่เฒ่าสวีสายหน้าเป็นเชิงบอกว่านางก็ไม่รู้เหมือนกันไม่นานผู้ดูแลวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีก็เดินออกมาพร้อมเด็กหนุ่มคนเดิม ทันทีที่เขาเห็นหน้าของเสี่ยวหลันจื่อก็ชะงักงันไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยกมือป้องปากกระแอมไอเบาๆ เป็นเพราะผ่านประสบการณ์มามากมายเขาจึงควบคุมสีหน้าได้เก่งกว่าเด็กหนุ่มคนนั้น
“ข้าคือผู้ดูแลของเริ่นโส่วถัง แซ่เฉิน มีนามว่าเฉินคุนเจ้าเรียกข้าว่าผู้ดูแลเฉินก็ได้ ไม่ทราบว่าแม่นาง.........มาขายสมุนไพรชนิดใด”
เสี่ยวหลันจื่อหันไปหาสองสามีภรรยาเฒ่าทันที ผู้เฒ่าหลิวรีบเดินขึ้นมาด้านหน้า
“ข้าน้อยแซ่หลิวนี่ภรรยาและหลานสาวของข้า เรานำสมุนไพรมาขายหลายชนิด รบกวนผู้ดูแลเฉินช่วยตีราคาให้สักหน่อย” ผู้ดูแลเฉินเหลือบมองเสี่ยวหลันจื่อเล็กน้อยจากนั้นจึงพยักหน้า
"ท่านทั้งสามตามข้ามาที่ห้องส่วนตัวด้านในเถอะ อาเป่า ยกน้ำชากับขนมมาให้ผู้เฒ่าทั้งสองกับแม่นางที” ผู้ดูแลเฉินหันมาสั่งเด็กหนุ่มคนเดิม
หลังจากเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วสองผู้เฒ่าก็เอาแต่นั่งเกรงไม่กล้าดื่มชาหรือกินขนม ต่างจากเสี่ยวหลันจื่อกับเสี่ยวหงที่กินอย่างสบายๆ คล้ายกับอยู่บ้านตัวเอง ขนมดอกกุ้ยฮวานี่อร่อยจริงๆ ไม่กินเสียดายแย่ ของฟรีเชียวนะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่เคยได้กินของหวานเลยมีโอกาสต้องกอบโกยสักหน่อย เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจ
ผู้ดูแลเฉินมองเสี่ยวหลันจื่อกินอย่างเอร็ดอร่อย กระพุ้งแก้มสองข้างพองออกมา ท่าทางเหมือกระรอกที่ซ่อนอาหารไว้กินยามหิว ดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก แล้วมองลงไปที่เจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงนี่อีกท่าทางไม่ต่างจากเจ้านายของมันจริงๆ ผู้ดูแลเฉินยกถ้วยชาขึ้นบังริมฝีปากของตนที่โค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ทราบว่าพวกท่านมีสมุนไพรอะไรมาขายให้เริ่นโส่วถังหรือ” ผู้ดูแลเฉินเปิดประเด็นหลังจากที่รอมานานพวกเขาก็ยังไม่มีท่าทางว่าจะนำสมุนไพรออกมา เสี่ยวหลันจื่อเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าออก หยิบเอาสมุนไพรหลายอย่างออกมาจนกระทั้งอย่างสุดท้ายที่ถูกห่อด้วยผ้า
ตามประสบการณ์ที่ผ่านมาของผู้ดูแลเฉินเขาพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าคืออะไรแต่ที่เขาตกตะลึงคือ มันใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เสี่ยวหลันจื่อแกะผ้าที่ห่อโสมออก
“ไม่ทราบว่าผู้ดูแลเฉิน จะให้ราคาโสมหัวนี้เท่าไหร่”เสี่ยวหลันจื่อไม่อ้อมค้อม ถามเข้าประเด็นทันที ผู้ดูแลเฉินหยิบโสมนั้นออกมาดูอย่างเบามือ เขาถนอมมันยิ่งกว่าลูกในไส้เสียอีก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้ดูแลเฉินเสี่ยวหลันจื่อก็ยกยิ้มมุมปากบางๆ
หลังจากที่ดูจนพอใจผู้ดูแลเฉินก็ได้สติกลับมากเขากระแอมไอเบาเพื่อขับไล่ความเขินอายที่ตนเองเสียกิริยา “เรื่องนี้......พวกท่านรอสักครู่ได้หรือไม่เดี๋ยวข้ากลับมา”
ผู้ดูแลเฉินเดินออกไปจากห้องส่วนตัวทันที แต่ยังมิวายหันไปสั่งอาเป่าให้นำขนมดอกกุ้ยฮวาเข้ามาให้สามคนในห้องรับรองกินผู้ดูแลเฉินเดินออกไปด้านหลังของเริ่นโส่วถัง ทะลุสนามหญ้าข้ามไปอีกฝั่งที่มีประตูบานใหญ่สีแดง ด้านในเป็นเรือนสี่ประสาน สวนตรงกลางถูกตกเเต่งอย่างสวยงามผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในเรือนที่มีห้องหลักอยู่ตรงกลาง กระซิบบอกองครักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่นานองครักษ์ก็มาตามเขาให้เข้าไปข้างใน ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในห้องหลักจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นมีเบาะนุ่มรองอยู่เขาเอนกายชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเกียจคร้านผมยาวดำขลับคล้ายกับสีดวงตาที่ทั้งดำและดูลึกลับราวกับยามรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุด ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตา ใบหน้า คมเข้มด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้นน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้าดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกันลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวผ่องดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเป็นลอนอย่างสวยงามไม่มากไม่น้อยโผล่พ้นชุดดำที่เปิดอ้าออกคล้ายตั้งใจยั่วยวนผู้ที่ได้พบเห็นมือเรียวยาวที่โผล
ผู้ดูแลเฉินนำทางเสี่ยวหลันจื่อมาที่เรื่อนที่เซียวอี้เหิงพักอยู่หลังจากที่รายงานองครักษ์แล้วนางก็ยืนรอให้เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าพบ“ลึกลับจริงๆ” เสี่ยวหลันจื่อบ่นคนเดียวเบาๆ แต่ผู้ดูแลเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเขาได้แต่หันมายิ้มแหยๆ ให้นางองครักษ์ที่เข้าไปรายงานออกมาบอกให้เสี่ยวหลันจื่อเข้าไป“ท่านไม่เข้าไปด้วยหรือ” เสี่ยวหลันจื่อหันมาถามผู้ดูแลเฉิน“นายท่านให้เชิญแม่นางเข้าไปคนเดียว ผู้ดูแลเฉินให้รอข้างนอก” องครักษ์เฝ้าหน้าประตูตอบ เสี่ยวหลันจื่อมีท่าทางลังเลเล็กน้อย“แม่นางเจ้าเข้าไปเถอะอย่าให้นายท่านต้องรอนาน ข้าจะรอยู่ข้างนอกนี่แหละ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าจากนั้นก็เข้าประตูไปเสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปในห้องใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงาม คิดในใจว่าคนๆ นี้จะต้องร่ำรวยขนาดไหนนะ ของที่ตกแต่งภายในห้องล้วนดูราคาแพง แค่ห้องนี้ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่นางอยู่ถึงสามเท่าเสียงเคลื่อนไหวด้านในทำให้ เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากความสนใจที่จะสำรวจห้องอันวิจิตรนี้ ด้านหน้าของนางมีฉากกั้นขนาดใหญ่วางอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน“แค่มาขายโสมเหตุใดต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้” เสี่ยวหลันจื่อพ
เสียงหวอของรถกู้ภัยดังไม่ขาดสาย ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยเหลือหญิงสาวโชคร้ายที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของชายขี้เมาสองคน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สี่ชั่วโมง เสี่ยวหลันจื่อเดินทางจากศูนย์เด็กเล็กที่เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่มาที่ร้านอาหารในตัวอำเภอเธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลของตาเธอที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ เสี่ยวหลันจื่ออาศัยอยู่กับตายายของเธอตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะพ่อกับแม่ของเธอหย่าร้างกันและต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่เป็นของตนเองดังนั้นเธอจึงเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ทันที มีเพียงตาและยายของเธอที่ยินดีรับเธอมาดูแล ดังนั้นทั้งชีวิตของเสี่ยวหลันจื่อจึงมีแค่ตากับยายที่เป็นผู้ปกครอง แต่ครอบครัวตายายก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมีเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและตั้งแต่ที่มาอยู่กับตายายก็ไร้การเหลียวแลจากพ่อและแม่ของเธอเสี่ยวหลันจื่อที่รู้ถึงความลำบากของตายาย เธอจึงขอเรียนแค่จบมัธยมปลายไม่เรียนต่อมหาลัย และการเรียนจบแค่มัธยมปลายของเธอเป็นผลให้การหางานยากลำบาก แต่เพราะท่านผอ. ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กเป็นเพ
สิ้นเสียงของระบบ ร่างของเสี่ยวหลันจื่อวูบไปอีกครั้งแต่ตอนี้สถานที่ที่เธอยืนอยู่คือลานโล่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง รอบด้านมืดมิดมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบและมีภูเขาล้อมรอบ ฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศ น่ากลัวกว่าเดิม ที่นี่น่าจะเป็นเชิงเขาของที่ไหนสักแห่งก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะถามระบบว่าพาเธอมาที่ไหนกันแน่ เสียงเดินของใครบางคนตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ เสี่ยวหลันจื่อรีบนั่งลงอาศัยความมืดและใช้หญ้าที่ขึ้นสูงบังร่างตนเองเอาไว้ โดยที่ลืมไปว่าตัวเองคือวิญญาณร่างโปร่งแสง เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายสองคนแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณที่เคยเห็นในซีรี่ส์ย้อนยุคกำลังแบกเสื่อที่ห่ออะไรบางอย่างเป็นแท่งยาวๆ โยนลงไปในหลุ่มดวงตาของเสี่ยวหลันจื่อสว่างวาบขึ้นมาทันที ฆ่าตกรรม สามคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เสี่ยวหลันจื่อยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงออกไป ไม่นานหลังจากที่ชายสองคนจากไปเสี่ยวหลันจื่อก็ออกมาจากที่ซ่อนและตรงไปที่หลุมที่ชายสองคนโยนศพลงไป เสี่ยวหลันจื่อยกมือไหว้พนมพึมพำขอให้เขาไปสู่สุขติ เสียงของระบบก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม“เริ่มต้นการผสานวิญญาณกับร
เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเลเพราะอาการบาดเจ็บและฝนที่พึ่งตกไป แล้วตอนนี้ก็มืดสนิทแม้เธอจะใช้ระบบสแกนนำทาง แต่มันจะเหมือนตาเปล่าที่มองเห็นทางได้ยังไง มีความทรงจำของร่างเดิมก็คงดีสิ เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจติ๊ง เสียงดังขึ้นหัวของเธอ กำลังประมวลผล จากนั้นความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอเหมือนกับการนั่งดูหนังหรือวิดีโอ แต่เธอมีความรู้สึกร่วมไปกับความทรงจำนั้นด้วย ผ่านไปสักพักเสี่ยวหลันจื่อถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ อวี้ซูเหยา เจ้าของร่างเดิม ต้องตายคืออะไร“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ ระบบ ระบบ ฉันอยากกลับไป พาฉันกลับไปนะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว”เสี่ยวหลันจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายกำลังจะสติแตกอยู่เต็มที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ถึงเธอจะเคยดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่การถูกทรมานของอวี้ซูเหยานี่มันน่ากลัวจริง และความทรงจำที่ไหลเข้ามาในหัวเธอมันคล้ายกับว่าเป็นความทรงจำของเธอเอง และอาการหวาดกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เหมือนมาจากอวี้ซูเหยาเจ้าของร่างเดิมแต่มันเหมือนมาจากตัวเธอเอง เสี่ยวหลันจื่อคุกเข่าลงกอดตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนที่สติจะดับวูบ
“ใครก็ได้ มาลากสตรีผู้นี้ออกไปขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้าให้นางได้ขึ้นสวรรค์แล้วจากนี้ข้าจะให้นางได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร"เซียวอี้เหิงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้คนไปตรวจสอบ นางไม่มีทางทำคนเดียวได้แน่จะต้องมีคนให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอาบน้ำเวลาไหน ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวรับใช้ชายที่ทำหน้าที่ชงชาและคนเฝ้าประตูเรือนก็ถูกลากตัวออกมา ทั้งสองสารภาพว่ารับเงินมาจากอวี้ซูเหยาเพื่อวางยาและบอกเวลาอาบน้ำของท่านอ๋อง“ดียิ่งนัก กินข้าวในจวนของข้าแล้วยังร่วมมือกันคนอื่นมาลอบทำร้ายข้าใจกล้าไม่เบา เอาตัวสองคนนี้ไปตัดแขนและตัดลิ้น จากนั้นส่งพวกมันไปที่เรือนไผ่งาม” เสียงร้องขอความเมตตาจากทั้งสองคนดังระงมไปทั้งจวน ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่อนไผ่งานที่มีชื่อไพเราะนี้คือหอโคมเขียวสำหรับบุรุษ ข้ารับใช้ในจวนต่างพากันหัวหดเพราะหวาดกลัวในความอำมหิตของชินอ๋องผู้นี้เซียวอี้เหิง เมื่อนึกถึงตรีน่าตายที่อยู่ในคุกใต้ดินแล้วยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงไม่น่ามอง เหล่าองครักษ์ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน“เวรกรรม” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำออกมาเบาๆ นี่เราคงไม่ได้จะถูกทรมา
เสี่ยวหลันจื่อตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เฒ่าสวีทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับทำอย่างนี้จนเคยชินแล้ว เพราะชาติก่อนนางอาศัยอยู่กับตายยายในหมู่บ้านชนบท ต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านก่อนไปเรียนเพราะยายของนางต้องเปิดร้านขายของจึงทำให้เสี่ยวหลันจื่อช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กหลังจากทั้งสามทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วเสี่ยวหลันจื่อ จึงบอกจุดประสงค์ของตนเองแก่แม่เฒ่าสวีว่าจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่าสามารถหาอะไรไปขายได้บ้าน ถ้าอิงจากนิยายแนวทะลุมิติหลายๆ เรื่องนางเอกส่วนมากก็เริ่มต้นจากการเข้าป่าหาสมุนไพรหรือไม่ก็ทำอาหารขายแต่เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าทำอาหารยังไง แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องร้องว้าวขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการทำอาหารขายจึงถูกปัดตกไปเสี่ยวหลันจื่อลืมไปเรื่องหนึ่งคือตัวเองไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นนางเอก และนางพึ่งจะถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเมื่อเดือนที่แล้ว“เฮ่อ.....ยังไงก็ลองขึ้นไปดูสักหน่อยได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง”เสี่ยวหลันจื่อแบกตะกร้าสะพายหลังที่เห็นกันบ่อยๆ ในซีรี่ส์ย้อนยุคของจีนพร้อมด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่เฒ่าหลิวเคยพกขึ้นเขาประจำและจอบอันเล็กเอาไว้ขุดผักป่าซึ่งเสี่ยวหลันจื่อยังไม่รู้เลยว่าผักป
“ออกมานะ” เงียบ..... เจ้าร่างเล็กๆ สีแดงไม่ขยับนางจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงแอบย่องไปอีกด้านของต้นไม้เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไรทำไมถึงเดินตามนางมาทันทีที่เดินไปถึงสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเสี่ยวหลันจื่อคือร่างเล็กกลมป้อมเท่ากำปั้นกำลังใช้ขาหน้าที่ปุกปุยปิดหัวเล็กๆ ของมันอยู่ นางมองด้วยความงงงันปนสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไรดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีคนมองตัวเองอยู่จึงได้โผล่หัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีแดงกลมโตออกมา สี่ตามองสบประสานชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็หดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าของตนอีกครั้งด้วยท่าทางเขินอายบิดก้นน้อยๆ ไปมาแต่ก็มิวายแอบมองนางเสี่ยวหลันจื่อนั่งลงยอง ๆ ใช้นิ้วจิ้มๆ เจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะคล้าย กระรอกดินแต่กลับมีหางยาวเป็นพวงมีอุ้งเท้าปุกปุยเหมือนแมว“แกใช่ไหมที่ตามข้ามา เจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อยังคงใช้นิ้วจิ้มมันอยู่อย่างนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่แสนประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเสี่ยวหลันจื่อจึงเลิกสนใจมันแล้วลุกขึ้นเดินออกมา เพราะนางยังมีเป้าหมายคือการหาเงิน จะมาเสียเวลากับสัตว์เล็กๆ อยู่อย่างนี้ไม่ได้เจ้าสัตว์ตัวเล็กเหมือนรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข
ผู้ดูแลเฉินนำทางเสี่ยวหลันจื่อมาที่เรื่อนที่เซียวอี้เหิงพักอยู่หลังจากที่รายงานองครักษ์แล้วนางก็ยืนรอให้เจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าพบ“ลึกลับจริงๆ” เสี่ยวหลันจื่อบ่นคนเดียวเบาๆ แต่ผู้ดูแลเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเขาได้แต่หันมายิ้มแหยๆ ให้นางองครักษ์ที่เข้าไปรายงานออกมาบอกให้เสี่ยวหลันจื่อเข้าไป“ท่านไม่เข้าไปด้วยหรือ” เสี่ยวหลันจื่อหันมาถามผู้ดูแลเฉิน“นายท่านให้เชิญแม่นางเข้าไปคนเดียว ผู้ดูแลเฉินให้รอข้างนอก” องครักษ์เฝ้าหน้าประตูตอบ เสี่ยวหลันจื่อมีท่าทางลังเลเล็กน้อย“แม่นางเจ้าเข้าไปเถอะอย่าให้นายท่านต้องรอนาน ข้าจะรอยู่ข้างนอกนี่แหละ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าจากนั้นก็เข้าประตูไปเสี่ยวหลันจื่อเดินเข้าไปในห้องใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างปรานีตงดงาม คิดในใจว่าคนๆ นี้จะต้องร่ำรวยขนาดไหนนะ ของที่ตกแต่งภายในห้องล้วนดูราคาแพง แค่ห้องนี้ห้องเดียวก็ใหญ่กว่าบ้านที่นางอยู่ถึงสามเท่าเสียงเคลื่อนไหวด้านในทำให้ เสี่ยวหลันจื่อหลุดจากความสนใจที่จะสำรวจห้องอันวิจิตรนี้ ด้านหน้าของนางมีฉากกั้นขนาดใหญ่วางอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ข้างใน“แค่มาขายโสมเหตุใดต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้” เสี่ยวหลันจื่อพ
ผู้ดูแลเฉินเดินออกไปด้านหลังของเริ่นโส่วถัง ทะลุสนามหญ้าข้ามไปอีกฝั่งที่มีประตูบานใหญ่สีแดง ด้านในเป็นเรือนสี่ประสาน สวนตรงกลางถูกตกเเต่งอย่างสวยงามผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในเรือนที่มีห้องหลักอยู่ตรงกลาง กระซิบบอกองครักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู ไม่นานองครักษ์ก็มาตามเขาให้เข้าไปข้างใน ผู้ดูแลเฉินเดินเข้าไปในห้องหลักจากนั้นเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นมีเบาะนุ่มรองอยู่เขาเอนกายชันเข่าพิงหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเกียจคร้านผมยาวดำขลับคล้ายกับสีดวงตาที่ทั้งดำและดูลึกลับราวกับยามรัตติกาลไร้ที่สิ้นสุด ถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันสะกดสายตา ใบหน้า คมเข้มด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้นน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้าดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกันลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวผ่องดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องที่มีมัดกล้ามเป็นลอนอย่างสวยงามไม่มากไม่น้อยโผล่พ้นชุดดำที่เปิดอ้าออกคล้ายตั้งใจยั่วยวนผู้ที่ได้พบเห็นมือเรียวยาวที่โผล
เสี่ยวหลันจื่อลงมาจากภูเขาในตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว ด้านหลังมีตะกร้าสมุนไพรที่เก็บมา ในอ้อมแขนยังอุ้มเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงที่นางพึ่งจะตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวหง เพราะขนมันสีแดงทั้งตัวแม้กระทั่งตาของมันก็มีสีแดงเสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูเดินเข้าไปในลานบ้านวางตะกร้าลงแม่เฒ่าสวีที่รอนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ ก็รีบเดินมาจับตัวนางหมุนไปหมุนมาเพื่อดูว่านางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่“ท่านยาย ข้าไม่มีที่ไหนในร่างกายที่บาดเจ็บหรอกนะเจ้าคะ ท่านจับข้าหมุนไปหมุนมาจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ก็ยายเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่หรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เอาล่ะ กลับมาเหนื่อยๆ พักผ่อนซะหน่อย หิวหรือไม่ให้ยาย ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อย อีกอย่างข้ากินซาลาเปาที่ท่านยายให้ข้าไปแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อบอกแม่เฒ่าสวีแล้วยิ้มอย่างประจบเอาใจ“มาดูสมุนไพรที่ข้าเก็บมาดีกว่าเจ้าค่ะว่าสามารถขายได้หรือไม่” เสี่ยวหลันจื่อหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากตะกร้า อาศัยช่วงที่แม่เฒ่าสวี มัวแต่ดูสมุนไพรหยิบเอาโสมออกมาจากไอเทมบ๊อกของนาง เสียงคุยกันของสองสตรี ดังไปถึงหลังบ้าน เฒ่าหลิวที่กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ถึงกับเดิน
“ออกมานะ” เงียบ..... เจ้าร่างเล็กๆ สีแดงไม่ขยับนางจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงแอบย่องไปอีกด้านของต้นไม้เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไรทำไมถึงเดินตามนางมาทันทีที่เดินไปถึงสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเสี่ยวหลันจื่อคือร่างเล็กกลมป้อมเท่ากำปั้นกำลังใช้ขาหน้าที่ปุกปุยปิดหัวเล็กๆ ของมันอยู่ นางมองด้วยความงงงันปนสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไรดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีคนมองตัวเองอยู่จึงได้โผล่หัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีแดงกลมโตออกมา สี่ตามองสบประสานชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็หดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าของตนอีกครั้งด้วยท่าทางเขินอายบิดก้นน้อยๆ ไปมาแต่ก็มิวายแอบมองนางเสี่ยวหลันจื่อนั่งลงยอง ๆ ใช้นิ้วจิ้มๆ เจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะคล้าย กระรอกดินแต่กลับมีหางยาวเป็นพวงมีอุ้งเท้าปุกปุยเหมือนแมว“แกใช่ไหมที่ตามข้ามา เจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อยังคงใช้นิ้วจิ้มมันอยู่อย่างนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่แสนประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเสี่ยวหลันจื่อจึงเลิกสนใจมันแล้วลุกขึ้นเดินออกมา เพราะนางยังมีเป้าหมายคือการหาเงิน จะมาเสียเวลากับสัตว์เล็กๆ อยู่อย่างนี้ไม่ได้เจ้าสัตว์ตัวเล็กเหมือนรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข
เสี่ยวหลันจื่อตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เฒ่าสวีทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับทำอย่างนี้จนเคยชินแล้ว เพราะชาติก่อนนางอาศัยอยู่กับตายยายในหมู่บ้านชนบท ต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านก่อนไปเรียนเพราะยายของนางต้องเปิดร้านขายของจึงทำให้เสี่ยวหลันจื่อช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กหลังจากทั้งสามทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วเสี่ยวหลันจื่อ จึงบอกจุดประสงค์ของตนเองแก่แม่เฒ่าสวีว่าจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่าสามารถหาอะไรไปขายได้บ้าน ถ้าอิงจากนิยายแนวทะลุมิติหลายๆ เรื่องนางเอกส่วนมากก็เริ่มต้นจากการเข้าป่าหาสมุนไพรหรือไม่ก็ทำอาหารขายแต่เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าทำอาหารยังไง แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องร้องว้าวขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการทำอาหารขายจึงถูกปัดตกไปเสี่ยวหลันจื่อลืมไปเรื่องหนึ่งคือตัวเองไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นนางเอก และนางพึ่งจะถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเมื่อเดือนที่แล้ว“เฮ่อ.....ยังไงก็ลองขึ้นไปดูสักหน่อยได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง”เสี่ยวหลันจื่อแบกตะกร้าสะพายหลังที่เห็นกันบ่อยๆ ในซีรี่ส์ย้อนยุคของจีนพร้อมด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่เฒ่าหลิวเคยพกขึ้นเขาประจำและจอบอันเล็กเอาไว้ขุดผักป่าซึ่งเสี่ยวหลันจื่อยังไม่รู้เลยว่าผักป
“ใครก็ได้ มาลากสตรีผู้นี้ออกไปขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้าให้นางได้ขึ้นสวรรค์แล้วจากนี้ข้าจะให้นางได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร"เซียวอี้เหิงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้คนไปตรวจสอบ นางไม่มีทางทำคนเดียวได้แน่จะต้องมีคนให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอาบน้ำเวลาไหน ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวรับใช้ชายที่ทำหน้าที่ชงชาและคนเฝ้าประตูเรือนก็ถูกลากตัวออกมา ทั้งสองสารภาพว่ารับเงินมาจากอวี้ซูเหยาเพื่อวางยาและบอกเวลาอาบน้ำของท่านอ๋อง“ดียิ่งนัก กินข้าวในจวนของข้าแล้วยังร่วมมือกันคนอื่นมาลอบทำร้ายข้าใจกล้าไม่เบา เอาตัวสองคนนี้ไปตัดแขนและตัดลิ้น จากนั้นส่งพวกมันไปที่เรือนไผ่งาม” เสียงร้องขอความเมตตาจากทั้งสองคนดังระงมไปทั้งจวน ใครไม่รู้บ้างว่าเรื่อนไผ่งานที่มีชื่อไพเราะนี้คือหอโคมเขียวสำหรับบุรุษ ข้ารับใช้ในจวนต่างพากันหัวหดเพราะหวาดกลัวในความอำมหิตของชินอ๋องผู้นี้เซียวอี้เหิง เมื่อนึกถึงตรีน่าตายที่อยู่ในคุกใต้ดินแล้วยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงไม่น่ามอง เหล่าองครักษ์ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน“เวรกรรม” เสี่ยวหลันจื่อพึมพำออกมาเบาๆ นี่เราคงไม่ได้จะถูกทรมา
เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากป่าอย่างทุลักทุเลเพราะอาการบาดเจ็บและฝนที่พึ่งตกไป แล้วตอนนี้ก็มืดสนิทแม้เธอจะใช้ระบบสแกนนำทาง แต่มันจะเหมือนตาเปล่าที่มองเห็นทางได้ยังไง มีความทรงจำของร่างเดิมก็คงดีสิ เสี่ยวหลันจื่อคิดในใจติ๊ง เสียงดังขึ้นหัวของเธอ กำลังประมวลผล จากนั้นความทรงจำหลากหลายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอเหมือนกับการนั่งดูหนังหรือวิดีโอ แต่เธอมีความรู้สึกร่วมไปกับความทรงจำนั้นด้วย ผ่านไปสักพักเสี่ยวหลันจื่อถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ อวี้ซูเหยา เจ้าของร่างเดิม ต้องตายคืออะไร“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ ระบบ ระบบ ฉันอยากกลับไป พาฉันกลับไปนะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว”เสี่ยวหลันจื่อตะโกนเสียงดังคล้ายกำลังจะสติแตกอยู่เต็มที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ถึงเธอจะเคยดูหนังสยองขวัญมาเยอะแต่การถูกทรมานของอวี้ซูเหยานี่มันน่ากลัวจริง และความทรงจำที่ไหลเข้ามาในหัวเธอมันคล้ายกับว่าเป็นความทรงจำของเธอเอง และอาการหวาดกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นไม่เหมือนมาจากอวี้ซูเหยาเจ้าของร่างเดิมแต่มันเหมือนมาจากตัวเธอเอง เสี่ยวหลันจื่อคุกเข่าลงกอดตัวเองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนที่สติจะดับวูบ
สิ้นเสียงของระบบ ร่างของเสี่ยวหลันจื่อวูบไปอีกครั้งแต่ตอนี้สถานที่ที่เธอยืนอยู่คือลานโล่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง รอบด้านมืดมิดมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบและมีภูเขาล้อมรอบ ฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศ น่ากลัวกว่าเดิม ที่นี่น่าจะเป็นเชิงเขาของที่ไหนสักแห่งก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะถามระบบว่าพาเธอมาที่ไหนกันแน่ เสียงเดินของใครบางคนตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ เสี่ยวหลันจื่อรีบนั่งลงอาศัยความมืดและใช้หญ้าที่ขึ้นสูงบังร่างตนเองเอาไว้ โดยที่ลืมไปว่าตัวเองคือวิญญาณร่างโปร่งแสง เธอสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายสองคนแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณที่เคยเห็นในซีรี่ส์ย้อนยุคกำลังแบกเสื่อที่ห่ออะไรบางอย่างเป็นแท่งยาวๆ โยนลงไปในหลุ่มดวงตาของเสี่ยวหลันจื่อสว่างวาบขึ้นมาทันที ฆ่าตกรรม สามคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เสี่ยวหลันจื่อยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงออกไป ไม่นานหลังจากที่ชายสองคนจากไปเสี่ยวหลันจื่อก็ออกมาจากที่ซ่อนและตรงไปที่หลุมที่ชายสองคนโยนศพลงไป เสี่ยวหลันจื่อยกมือไหว้พนมพึมพำขอให้เขาไปสู่สุขติ เสียงของระบบก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม“เริ่มต้นการผสานวิญญาณกับร
เสียงหวอของรถกู้ภัยดังไม่ขาดสาย ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยเหลือหญิงสาวโชคร้ายที่ถูกลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของชายขี้เมาสองคน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สี่ชั่วโมง เสี่ยวหลันจื่อเดินทางจากศูนย์เด็กเล็กที่เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่มาที่ร้านอาหารในตัวอำเภอเธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาลของตาเธอที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ เสี่ยวหลันจื่ออาศัยอยู่กับตายายของเธอตั้งแต่อายุสามขวบ เพราะพ่อกับแม่ของเธอหย่าร้างกันและต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่เป็นของตนเองดังนั้นเธอจึงเป็นส่วนเกินของพ่อกับแม่ทันที มีเพียงตาและยายของเธอที่ยินดีรับเธอมาดูแล ดังนั้นทั้งชีวิตของเสี่ยวหลันจื่อจึงมีแค่ตากับยายที่เป็นผู้ปกครอง แต่ครอบครัวตายายก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมีเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีรายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและตั้งแต่ที่มาอยู่กับตายายก็ไร้การเหลียวแลจากพ่อและแม่ของเธอเสี่ยวหลันจื่อที่รู้ถึงความลำบากของตายาย เธอจึงขอเรียนแค่จบมัธยมปลายไม่เรียนต่อมหาลัย และการเรียนจบแค่มัธยมปลายของเธอเป็นผลให้การหางานยากลำบาก แต่เพราะท่านผอ. ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กเป็นเพ