ตอนี่14 หนุ่มชาวนาผู้หล่อเหลา
เสี่ยวหลันจื่อไม่สนใจบุรุษทั้งสามที่แย่งชิงเนื้อกัน นางเดินเข้าไปในครัวลวกบะหมี่เพิ่มอีกสามชามยกออกมาแล้ววางไว้ตรวหน้าพวกเขา
“ไม่อิ่มก็เอาน้ำซุปราดลงบนบะหมี่อร่อยเหมือนกัน" พูดจบนางก็หันมาหาสองผู้เฒ่าที่ตอนนี้อิ่มจนขยับตัวไม่ไหว
" ท่านตาท่านยาย กินเนื้อเยอะๆ หลังจากอิ่มแล้วพวกท่านก็เดินย่อยสักหน่อย ข้าจะต้มน้ำเอาไว้ให้ อีกครึ่งชั่วยามค่อยอาบน้ำนะ"
เสี่ยวหลันจื่อพูดจบก็เดินเข้าครัวไป
เซียวอี้เหิงมองดูเส้นบะหมี่ที่วางอยู่ตรงหน้าของตน แล้ว จึงหันไปมองตามหลังที่เดินหายเข้าครัวไป เขาดันถ้วยบะหมี่ให้ฉีเยี่ยนแล้วลุกขึ้น
“นายท่าน อิ่มแล้วหรือขอรับ ทานอีกสักหน่อยสิ"
เป็นฉีเหลยที่ดึงเขาเอาไว้อีกครั้ง
“กินเสร็จแล้วเก็บกวาดให้เรียบร้อย” ก่อนเดินตามเสี่ยวหลันจื่อไปเซียวอี้เหิงหันมาสั่งชายหนุ่มทั้งสอง
เสี่ยวหลันจื่อที่กำลังง่วนอยู่กับการใส่ฟืนลงไปในเตาเพื่อต้มน้ำจึงไม่ได้ยินเสียง เซียวอี้เหิงที่เดินมาข้างหลัง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไปจึงทำให้ชนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงของเซียวอี้เหิงจนหงายหลัง ก่อนที่เสี่ยวหลันจื่อจะหงายหลังล้มลงบนเตาที่กำลังต้มน้ำอยู่ แขนแข็งแรงของเซียวอี้เหิง ก็คว้าร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนได้อย่างทันท่วงที
“เหตุใดท่านมายืนอยู่ข้างหลังข้าเงียบๆ เช่นนี้ทำเอาข้าตกใจจนเกือบหงายหลังลงบนน้ำร้อนแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อที่ตกใจเป็นอย่างมาก ต่อว่าเขาเสียงดัง
“ข้าก็เดินมาของข้าปกติ เจ้าต่างหากที่มัวเเต่เหม่อ ลอยอันใดอยู่จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุแล้ว”
“ข้าเปล่านะ เป็นท่านต่างหากที่ผิด”
เสี่ยวหลันจื่อเถียงออกไปข้างๆคูๆ ทั้งสองคนมัวแต่เถียงกันโดยลืมไปว่ากำลังกอดกันอยู่ ฉีเหลยที่ถือชามเดินเข้ามา ตกใจจนตาค้างทำชามกับตะเกียบหลุดมือทำให้ทั้งสองคนได้สติแล้วผละออกจากกัน
“ขะ ขออภัย พวกท่านต่อเถอะข้าไม่รบกวนแล้ว”
ฉีเหลย รีบวิ่งออกจากห้องครัวไป
“ลนลานอะไรของเขากัน” เสี่ยวหลันจื่อเก็บชามกับตะเกียบที่อยู่บนพื้นขึ้นมาวางลงในอ่างที่เตรียมเอาไว้ล้างชาม
“เจ้าไม่ต้องทำหรอกปล่อยให้พวกเขาทำเถอะ ตามข้ามานี่”
เซียวอี้เหิงดึง มือของเสี่ยวหลันจือตามตนเองออกไป
“นี่ท่านจะพาข้าไปไหนจะมืดแล้วนะ” เสี่ยวหลันจื่อ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไปด้วยขาที่สั้นกว่า
หลังจาก ที่ทั้งสองเดิน ออกมาได้สักพักเซียวอี้เหิง ก็ใช้แขนอีกข้างรวบเอวของนางเข้ามาแนบอก จากนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานออกจากที่แห่งนั้นไป
“ว้าว” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นที่ข้างหูของเซียวอี้เหิง ด้วยความตื่นเต้น
“ข้าไม่นึกเลยว่าถ้าจะเก่งกาจปานนี้”
เสี่ยวหลันจื่อยกนิ้วให้เขา
“จับดีๆ หากเจ้าร่วงลงไปข้าไม่รับผิดชอบ”
เซียวอี้เหิงขู่นาง เสี่ยวหลันจื่อรีบคว้าเอวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกลงไปคอหักตาย เซียวอี้เหิงยกยิ้มมุมปากบางๆ เขาใช้วิชาตัวเบาทยาน ขึ้นภูเขามาได้สักพักจึงหยุดลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีอายุน่าจะมากกว่า หนึ่งร้อยปี จากนั้นจึงหากิ่งที่แข็งแรงและเหมาะนั่งลง เขาดึงเสี่ยวหลันจื่อมานั่งลงบนตักตัวเอง นางดิ้นต่อต้านเล็กน้อย
“นั่งลงดีๆ อยากจะตกลงไปคอหักตาย ข้างล่างหรือ” เสี่ยวหลันจื่อจึงนั่งนิ่งเลิกดิ้นทันที
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม” เสี่ยวหลันจื่อมองหน้าเขา
“ดูนั่นสิ” เซียวอี้เหิงชี้ให้เสี่ยวหลันจื่อมองไปที่ภูเขาอีกลูกด้านหน้า แสงพระอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะหายลับไปหลังยอดภูเขาลูก นั้นเปล่งประกายย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีทอง เหมาะกับเสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังนอน เสียงลมพัดใบไม้โยกไหวทำให้ให้บรรยากาศดูโรแมนติกยิ่งนัก เสี่ยวหลันจื่อ อึ้งกับภาพที่เห็น นางหลับตาสัมผัสสิ่งต่างๆรอบข้าง
มันเหมือนกับภาพวาดราคาแพงที่นางไม่มีวันจะได้จับต้อง นางรู้สึกเหมือนว่า ภาพนี้จะกลายเป็นของนางคนเดียว
ทั้งสองคนนั่งนิ่งต่างคนต่างความคิดแต่สายตากลับมองไปที่จุดเดียวกัน เสียงของเซียวอี้เหิงดังขึ้นข้างใบหูของนางทำให้ขนอ่อนบนตัวของเสี่ยวหลันจื่อลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ แก้มของนางแดงขึ้นโดยอัตโนมัติลามไปถึงใบหู
“เจ้ามองไปที่ภูเขาลูกนั้นเมื่อถึงยามเหมันต์ ดอกท้อจะบานสะพรั่งทั่วทั้งภูเขา”
เสี่ยวหลันจื่อ แหงนหน้ามอง คนที่พูดกับนางอยู่ตอนนี้นางมองเห็นเพียงคางแหลมได้รูปที่เกลี้ยงเกลาและลูกกระเดือกที่กำลังขยับขึ้นลงตามเสียงพูด
เสี่ยวหลันจื่อ รู้สึกลำคอแห้งผากอย่างไม่ทราบสาเหตุนาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ริมฝีปากบางได้รูปของเขาช่างเย้ายวน นางไม่เคยเห็นใครที่ ริมฝีปากน่ากินขนาดนี้
เสี่ยวหลันจื่น สะบัดหน้าตัวเองไปมาไล่ความคิดไร้สาระของตัวเอง ใบหน้าเล็กที่ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง ประเดี๋ยวครุ่นคิด ประเดี๋ยวโมโห ทำให้ดูตลกยิ่งนัก
เซียวอี้เหิงไม่เคยคิดว่าคนหนึ่งคนจะแสดงสีหน้าได้มากมายถึงเพียงนี้ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเซียวอี้เหิง ก็พาเสี่ยวหลันจื่อ กลับมาที่บ้านตระกูลหลิว
“กลับมาแล้วหรือ จื่อเอ่อเจ้าหนุ่มพวกเจ้าไปไหนกันมา” เเม่เฒ่าสวี ซักถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เสี่ยวหลันจื่อหน้าเเดง รีบเดินเข้าห้องไป ทิ้งให้เซียวอี้เหิง ยืนรับหน้าแม่เฒ่าสวี อยู่ตรงนั้น
“ออกไปเดินย่อยอาหารมาขอรับ”
เซียวอี้เหิง ตอบเพียงเท่านั้นก็เดินเลี่ยงออกไป เเม่เฒ่าสวี ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนว่าตนเองกำลังจะได้อุ้มเหลนในเร็วๆ นี้
“ตาเฒ่าข้าว่าเราน่าจะได้อุ้มเหลนในเร็วๆ นี้เเล้วเจ้าดูสิบรรยากาศระหว่างนางหนูของเรากับเจ้าหนุ่มนั่น”
เเม่เฒ่าสวีทำหน้าเพ่อฝัน ราวกับว่าในแขนของตนเองมีเด็กตัวเล็กๆ นอนอยู่
“พูดเรื่องอันใดของเจ้าข้าก็เห็นว่าพวกเขาทำตัวปกติดีไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหน”
ผู้เฒ่าหลิว มองฮูหยินคู่ยากด้วยสายตาแปลกประหลาด
“นี่เเน่ะ เจ้ามันพวกไร้จินตนาการข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว”
เเม่เฒ่าสวีตีแขนสามีของตน แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องไป ผู้เฒ่าสวียกมือเกาหัวด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่ายายเฒ่าของตนเป็นอะไร ถ้าหากจะบอกว่าเป็นช่วงประจำเดือนมาก็ไม่น่าจะใช่ยายเฒ่าของเขาอายุห้าสิบกว่าแล้วจะมีประจำเดือนได้อย่างไร
เสี่ยวหลันจื่อหลังจากกลับมา นางก็รีบอาบน้ำแต่งตัวล็อคประตูกลัวว่าเซียวอวี้เหิง จะเข้ามานอนในห้องของนางอีก แต่มีหรือประตูไม้เล็กๆ ดูอ่อนแอแบบนี้จะสามารถกันเขาเอาไว้ได้ เซียวอี้เหิงใช้มือเปิดประตูแล้วจึงรู้ว่ามันถูกล็อคจากด้านในเขาจึงใช้พลังลมปราณดันประตูเบาเบา กลอนไม้ที่ล๊อคไว้หักลงทันที
“เหตุใดจึงท่านต้องพังประตูห้องข้า ทำไมท่านทำตัวเป็นคนป่าเถื่อนไร้อารยะเช่นนี้”
เสี่ยวหลันจื่อตวาดเเหวออกไป
“ถ้าเจ้าไม่ล็อคประตูข้าก็ไม่ต้องพังประตู”
เขาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยจากนั้นจึงเดินไปที่เตียง เเล้วนั่งลง
“มานอนเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเจ้าแค่นอนเท่านั้น”
เสี่ยวหลันจื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปที่เตียงแต่โดยดี นางรีบมุดเข้าไปด้านในของเตียง จากนั้นจึงใช้ผ้าห่มคลุมร่างตนเอง
ผ่านไปสักพักเสียงลมหายใจของ นางเริ่มสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่านางหลับไปแล้ว
เซียวอี้เหิง จึงลืมตาขึ้นจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ในความมืด เขาจะทำอย่างไรดีหากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะยากต่อการควบคุม อีกอย่างเขาคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ มีทางเดียวคือทำให้นางยินยอมกลับไปกับเขา แม้จะต้องแสดงละครว่ารักนางก็ตามที เซียวอี้เหิงคิดในความมืดสายตาที่เหมือนกับรัตติกาล กลมกลืนไปกับความมืดกลับเปล่งประกายอย่างน่าแปลกประหลาดราวกับห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุด
สี่ยวหลันจื่อ งัวเงียตื่นขึ้นมาไม่เจอร่างของอีกคนที่นอนกับนางเมื่อคืนก็ถอนใจอย่างโล่งอก นางล้างหน้าล้างตาเพื่อออกไปช่วยท่านยายทำอาหารเช้าแต่ทุกอย่างเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยนางไม่เห็นบุรุษสามคนรวมถึงทั้งตาของนางจึงถามหาพวกเขากับแม่เฒ่าสวี
“ท่านยายทุกคนหายไปไหนกันหมดเหตุใดบ้านถึงเงียบเชียบเช่นนี้”
เเม่เฒ่าสวี เห็นหลานสาวคนงามตื่นขึ้นมาแล้ว ก็กุลีกุจอ รีบตักข้าวต้มมาให้นางเสี่ยวหลันจื่อกล่าวขอบคุณเบาๆ
“พวกเขาตามท่านตาของเจ้าไปที่นาของบ้านเราเพื่อถอนหญ้าตอนนี้ต้นข้าวกำลังขึ้นงามเชียว”
เสี่ยวหลันจื่อ ที่กำลังตักโจ๊กเข้าปาก ถึงกับสำลัก
“ท่านว่าอย่างไรนะ ไปที่นาถอนหญ้าพวกเขาน่ะหรือไปถอนหญ้า”
เสี่ยวหลันจื่อ รีบตักโจ๊กเข้าปากจนหมด เมื่อเก็บชามในครัว เรียบร้อยแล้วนางรีบออกจากบ้านตรงไปที่นาของบ้านสกุลหลิวทันที
นางจะพลาดเรื่องสนุก ที่หาได้ยากเช่นนี้ได้อย่างไร จะมีสักกี่คนบ้างที่จะได้เห็นผู้สูงศักดิ์ถอนต้นหญ้าในแปลงนามันไม่ต่างอะไรกับการไปดูของโบราณหายากในพิพิธภัณฑ์เลยนะ ต่อให้ต้องจ่ายเงินเข้าไปดูนางเชื่อว่ามีหลายคนที่ยอมเสียเงินมาดู
เสี่ยวหลันจื่อ เดินมาสักพักก็มองเห็นแปลงนาของบ้านสกุลหลิวอยู่ไกลๆ แต่ที่น่าแปลกคือมีคนมากมายมามุงดู
เป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาสามคน กำลังถอนหญ้าอย่างขมักเขม้นในแปลงนา ด้านข้างก็มีสาวๆ ยืนคอยให้กำลังใจ
น่าสนใจดีนี่ เจ้าพวกนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ดึงดูดสตรีได้อย่างง่ายดาย
“โอ พวกเจ้าทั้งหลายมาทำอะไรที่แปลงนาของบ้านข้า” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนมาแต่ไกล
สตรีเหล่านั้นที่เห็นนางเดินมาก็พากันทำหน้าเจื่อนเล็กน้อย
“เสี่ยวหลันจื่อเจ้ามาเเล้วหรือ” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าให้นาง เด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหก เป็นบุตรสาวท่านป้าจางที่อยู่ข้างบ้านสกุลหลิว
“จางเสวี่ย เจ้าก็มาดูของหายากเหมือนกันหรือ”
เสี่ยวหลันจื่อหยอกนาง จางเสวี่ยหน้าเเดง เสี่ยวหลันจื่อไม่ถือสาทั้งยังพูดหยอกเย้านางไปหลายคำ
“เจ้าชอบคนไหน ชี้ได้เลยเดี๋ยวข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้”
เสี่ยวหลันจื่อพูดพลางหัวเราะ จางเสวี่ยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เด็กสาวคนนี้นิสัยดีชอบมาพูดคุยกับนางหลายครั้งโดยไม่สนใจว่านางเป็นคนที่มาจากที่อื่น
“เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว”
“ล้อเล่นอะไรกันข้าพูดจริงๆ นะ” พูดจบเสี่ยวหลันจื่อ ก็หัวเราะฮ่า ฮ่าขึ้นมา หญิงสาวหลายคนที่เสี่ยวหลันจื่อ คุ้นหน้าคุ้นตาก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“จ้าพูดจริงหรือ” เด็กสาวอีกคนที่เเต่งตัวดีกว่าคนอื่นๆ เดินเข้ามา
“จริงสิข้าจะโกหกเจ้าทำไม”
“ถ้าเป็นสามีเจ้าล่ะ” เสี่ยวหลันจื่อมองนางอย่างสนใจ อายุราวสิบห้าสิบหกหน้าตาพอใช้ได้ แต่ก็แค่พอใช้ได้แหละ ถ้าออกจากหมู่บ้านก็ถือว่าหน้าตาธรรมดา
“จ้าคือ” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
“ข้าคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อว่า หลิวหลี” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้า
“อ้อ หลิวหลี เจ้าอยากได้เขาหรือ ย่อมได้ถ้าเจ้าสามารถทำให้เขาชอบเจ้าได้ข้าก็จะยอมยกเขาให้เจ้า ด้วยความ เต็มใจ” เสี่ยวหลันจื่อพูทีละคำอย่างสบายๆ
“เจ้าพูดแล้วนะอย่ามาเสียใจทีหลัง”
“แน่นอนข้าพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ”
“คำไหนคำนั้น” หลิวหลี รีบรับปากด้วยความดีใจ
“เสี่ยวหลันจื่น เจ้าทำแบบนี้จะทำให้สามีเจ้าเสียใจได้นะ” จางเสวี่ย หันมาพูดกับนาง
“เจ้าคิดว่านางจะทำสำเร็จหรือ นางไม่มีทางทำสำเร็จหรอก”
เสี่ยวหลันจื่อพูดเบาๆ กับจางเสวี่ย ด้วยความมั่นใจ หญิงสาวหลายคนเมื่อเห็นว่าหลิวหลีกล้าท้าชิงแย่งสามีกับเสี่ยวหลันจื่อ ตนก็อยากจะทำบ้างแต่ไม่มีความกล้าเสี่ยวหลันจื่อมีหรือ จะมองพวกนางไม่ออก
“พวกเจ้าก็เหมือนกันสู้กันอย่างแฟร์แฟร์ ….. ข้าหมายถึงด้วยความยุติธรรม ถ้าหากว่าพวกเจ้าคนใดสามารถทำให้เขา ชอบพวกเจ้าได้ข้าก็ยอมยกเขาให้พวกเจ้า”
เสี่ยวหลันจื่อพูดพลางชี้ ไปที่เซียวอี้เหิง
เรื่องที่เสี่ยวหลันจื่อพนันกับหญิงสาวในหมู่บ้าน บุรุษสามคนที่กำลังถอนหญ้าอยู่ในทุ่งนาล้วนได้ยินกันทั้งหมด“นางทำเช่นนี้ได้อย่างไรนายท่านให้ข้าจัดการกับนางดีหรือไม่ขอรับ”ฉีเยี่ยนพูดขึ้นมาอย่างฮึดฮัด“เจ้าคิดว่าข้าจะแพ้หรือ”เซียวอี้เหิง ปรายตามองเขาเรียบๆ“ย่อมต้องไม่เเพ้อยู่แล้วขอรับนายท่านเป็นถึงชินอ๋องจะแพ้ได้อย่างไร ข้าแค่ไม่ชอบที่นางลบหลู่เกียรติของท่าน”ฉีเหลย อยากจะฟาดกบาลเจ้าโง่นี่จริงๆ“ถ้าหากนางอยากจะเล่นพนันนักย่อมได้แต่ว่าข้าก็ต้องได้ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน”เซียวอี้เหิง ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์จากนั้นจึงเดินมาทางที่หญิงสาวในหมู่บ้านยืนชุมนุมกัน เซียวอี้เหิงเดินผ่านเสี่ยวหลันจื่อโดยไม่มองหน้านางเลยสักนิดแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าหลิวหลี บุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน“เจ้าก็งดงามไม่น้อย”เซี่ยวอี้เหิงใช้มือที่เปื้อนโคลนสัมผัสใบหน้าของหลิวหลี หญิงสาวในหมู่บ้านหลายคนถึงกับเอียงอายกับท่าทางที่เขากระทำกับหลิวหลี“ขะ….ข้า จะช่วยท่านถอนหญ้าเอง”พูดจบหลิวหลีก็รีบวิ่งไปที่ผู้เฒ่าหลิวกำลังถอนหญ้าอยู่ ด้วยใบหน้าเขินอาย“ท่านตาหลิวข้ามาช่วยท่านแล้ว”หลิวหลีลงมือถอนหญ้าด้วยความขมักเขม้น ตลอดม
เมื่อเกวียนวัวของเสี่ยวหลันจื่อไปถึงอำเภอนางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย"ทำไมเป็นท่านล่ะ เเล้วฉีเหลยไปไหน"เสี่ยวหลันจื่อมองหาฉีเหลย"ทำไมถึงจะเป็นข้าไม่ได้ "เซี่ยวอี้เหิงปรายตามองเสี่ยวหลันจื่อเรียบๆ"ก็ไม่ทำไม ข้าเพียงคิดว่าฉีเหลยจะมาด้วยเพราะ ข้าจะให้เขาช่วยถือของที่ข้าจะซื้อวันนี้""ข้าก็ถือได้" เซียวอี้เหิงพูดจบก็เดินนำหน้านางไปเสี่ยวหลันจื่อเกาหัว ไม่เข้าใจอารมณ์และความคิดของเขาเอาซะเลยหลังจากขายสมุนไพรแล้วเสี่ยวหลันจื่อก็ไปที่ร้านจี้ชิงหรูอีกครั้ง คราวที่แล้วนางไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้พวกเขาทั้งสามคนวันนี้จึงคิดว่าจะซื้อให้พวกเขาซะหน่อย จะปล่อยให้ใส่เเต่ชุดหรูหราเดินลอยไปลอยมาในหมู่บ้านมันรู้สึกทิมแทง สายตานางยังไงไม่รู้"โอ้ ดูซินั่นใครมาเสี่ยวหลันจื่อขอเราไมใช่หรือ สร้างเรื่องเอาไว้ใหญ่โตแล้ว หนีหายไปเลยนะ"เจียงฉงเหนียง ผู้ดูแลจี้ชิงหรูรีบออกมาคล้องเเขนนาง อย่างสนิทสนมที่หน้าร้าน"เจ้าคิดมากไปแล้วข้าสร้างเรื่องที่ได้กันเป็นเขาต่างหาก"เสี่ยวหลันจื่อชี้ไปที่เซียวอี้เหิงที่ยืนใบหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างๆ นาง"เจ้าไม่รู้อะไรหลังจากที่เจ้ากลับไปสตรีทั้งหลายในอำเภอต่างพากันมาที่นี่เพื่อสอบถาม
เสี่ยวหลันจื่อที่นั่งอยู่ท้ายเกวียนวัวกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงยกเอาตะกร้าที่ใส่ของลงมาด้วย หน้าบ้านสกุลหลิวมีหญิงสาวหลายคนยืนอยู่หนึ่งในนั้นมีหลิวหลีรวมอยู่ด้วย"พวกเจ้ากลับมาแล้ว "หลิวหลีส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เซียวอี้เหิง ก่อนที่มันจะเจือนลง เมื่อมีหญิงงามแต่งตัวหรูหรางดงามเหมือนกับคุณหนูที่มาจากในเมือง“นางเป็นใครเหตุใดนางถึงมากับพวกเจ้า”หลิวหลีหันมาถามเสี่ยวหลันจื่อ“ข้าคือหลู่หลิงเซียน บุตรสาวคหบดีหลู่แห่งอำเภอหยู่ปิง” พูดจบนางก็เดินเดินเชิดหน้ามายืนเซียวอี้เหิง“แล้วคุณหนูหลู่ ผู้สูงส่งมาทำอะไรที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้” หลิวหลีถามเสียงประชดประชัน“ข้ามาทำอะไรที่นี่เกี่ยวอันใดกับเจ้าแล้วนี่เจ้าเป็นใคร” หลู่หลิงเซียนเมินหลิวหลี ไปโดยปริยาย มองประตู เรือนที่ดูผุพังเหมือนถูกสร้างมาแล้วหลายสิบปี“ที่นี่คือบ้านของเจ้าหรือ” หลู่หลิงเซียงถามเสี่ยวหลันจื่อ“ใช่แล้วที่นี่คือบ้านของข้า”“เข้าบ้านเถอะ” เซียวอี้เหิง จูงมือเสี่ยวหลันจื่อเดินผ่านหญิงสาวหลายคนที่มายืนรุมล้อมอยู่หน้าบ้านสกุลหลิวหลู่หลิงเซียนที่ถูกเมินก็ถอนหายใจหนักๆ อย่างไม่พอใจนักเมื่อเข้ามาถึงในเรือน หลู่หลิงเซีย
เสี่ยวหลันจื่อตื่นมาด้วยอาการงัวเงียนางรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก เมื่อวานตอนเที่ยงกับตอนเย็นไม่ได้ทานข้าวทำให้นางรู้สึกไร้กำลัง เสี่ยวหงที่นอนอยู่ข้างๆ นางเอาหัวเล็กๆ มาคลอเคลียข้างแก้มออดอ้อน เมื่อวานมันเห็นนางร้องไห้มันก็รู้สึกเศร้าไปกับนางด้วยวันนี้จึงอยากทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง“ยังเป็นเจ้าที่ดีกับข้าที่สุดนะเสี่ยวหง” เสี่ยวหลันจื่อกอดมันจากนั้นก็ลุกออกไปล้างหน้าล้างตา ท่านยายที่เห็นหลานสาวตื่นแล้วก็รีบเข้ามาดูทันที“เป็นอย่างไรบ้างจื่อเอ๋อดีขึ้นบ้างหรือยัง”แม่เฒ่าสวียกมือขึ้นอังหน้าผากของนาง“ข้าสบายดีเจ้าค่ะท่านยาย ไม่ต้องห่วงข้าไม่เป็นอะไร”เสี่ยวหลันจื่อ ยิ้มให้นางจากนั้นจึงเดินเข้าไปตักโจ๊กมากินเล็กน้อย“เหตุใดถึงเงียบขนาดนี้ ไปไหนกันหมดเจ้าคะ”เสี่ยวหลันจื่อถามออกไปรวมๆ ไม่ได้เจาะจงว่าถามหาใครแม่เฒ่าสวีจึงไขความกระจ่างว่า“เมื่อวานตอนเย็น คุณหนูหลู่ทะเลาะกับหลิวหลีบุตรสาวหัวหน้าหมู่บ้านจึงมาขอให้พ่อหนุ่มช่วย พ่อหนุ่มเลยส่งนางกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”เสี่ยวหลันจื่อที่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป ภาพที่นางเห็นตรงเชิงเขาเมื่อวาน ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำข
เสี่ยวหลันจื่อและเซียวอี้เหิงหันขวับไปในทันที เสี่ยงที่ตะโกนมาจากทางด้านหลังของพวกเขาคือเสียงของ หลิวหลีบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน“พวกเจ้ากำลังเรื่องบัดสีอะไรกัน” เสี่ยวหลันจื่อที่เห็นนางพูดจาใส่ร้ายตนก็ขมวดคิ้วทันที“เจ้าต่างหากพูดจาน่าเกลียดอะไรกัน ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยาที่นอนร่วมห้องกัน จะทำสิ่งใดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เป็นเจ้าต่างหากที่แส่ไม่เข้าเรื่องเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนก็เที่ยววิ่งตามบุรุษที่มีภรรยาแล้ว หากว่าพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้าคิดหวังแย่งชิงสามีคนอื่น พ่อเจ้าจะทำหน้ายังไงแล้วในอนาคตหากข่าวลือแพร่ออกไปเจ้ายังจะแต่งให้ใครได้อีก “เสี่ยวหลันจื่อพูดรวดเดียวจบ นางรำคาญเรื่องวุ่นวายพวกนี้แล้วยิ่งนางหลบเลี่ยงก็ดูเหมือนเรื่องวุ่นวายจะยิ่งวิ่งเข้ามาหานาง“จ้า เจ้า “ หลิวหลีพูดไม่ออกสักคำ นางได้แต่ติดอ่างอยู่อย่างนั้น เรื่องข่าวลือเสียหายเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิงโบราณ และเสี่ยวหลันจื่อก็จี้ได้ตรงจุดยิ่งนัก หลิวหลีที่หวาดกลัวว่าหากมีข่างลือแพร่ออกไปว่านางคิดแย่งสามีคนอื่น นางจะต้องถูกท่านพ่อที่รักหน้าตายิ่งกว่าชีวิตฆ่าตายแน่ไหนจะตาเฒ่าหลิวนั่นอีก เมื่อก่อนใครๆ ต่างเล่าว่าเขาโหด
เสี่ยวหลันจื่อขยับตัวเล็กน้อยเพราะนางนั่งเกร็งเป็นเวลานาน เซียวอี้เหิงผละออกจากซอกคอของนางใช้มือเรียวยาวเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากับเขา"ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่" เสี่ยวหลันจื่อหลบตาเขา“มองตาข้า มองเข้าไปในดวงตาของข้า เท่าที่เจ้ารู้มาข้าเคยทำเช่นนี้กับสตรีใดหรือไม่”เสี่ยวหลันจื่อหน้าแดงก่ำด้วยความอาย นางมุดหลบเข้าไปในอกเขาอีกรอบเหมือนที่เสี่ยวหงชอบทำตอนที่อยู่กับนาง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูของนาง ยิ่งทำให้นางอับอายยิ่งกว่าเดิม“จื่อเอ๋อ หากเจ้ายังทำเช่นนี้ต่อไปข้าจะไม่ทนอีกแล้วนะ”เสี่ยวหลันจื่อสะดุ้งทันทีเขาหัวเราะท่าทางขี้ขลาดของนางจนอกกระเพื่อมขึ้นลง“ท่านแกล้งข้า” นางตีที่หน้าอกเขาอย่างไม่แรงนักหนึ่งที“เอาล่ะข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” เซียวอี้เหิงยกตัวนางขึ้นเหมือนท่าอุ้มเด็ก เสี่ยวหลันจื่อตกใจจนต้องรีบคว้าคอของเขาเอาไว้“เราจะไม่ทะเลาะกันอีกแล้วนะ เจ้าก็ห้ามทดสอบข้าเหมือนกันหากมีคราหน้าข้าจะทำให้เจ้าท้องป่องจนไม่กล้าออกไปก่อเรื่องข้างนอกอีก” เสี่ยวหลันจื่ออายจนต้องก้มหน้าซุกที่ซอกคอเขาเสี่ยวหลันจื่อเซียวอี้เหิงและเสี่ยวหง เก็บสมุนไพรจนกระทั่งบ่ายคล้อยจึงพากันกลับไปที่เ
“ท่านอ๋อง หยุดก่อน” เสี่ยวหลันจื่อใช้มือสองข้างดันคางของเขาที่กำลังซุกซบอยู่ตรงซอกคอของนาง“จื่อเอ๋อข้าทนไม่ไหวแล้ว อย่าห้ามข้าเลย”เซียวอี้เหิงยังคงพยายามก้มหน้าซุกไซร้ซอกคอของนาง มือสองข้างก็ไม่อยู่นิ่งทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม คอยเคล้นคลึงอกอวบ ส่วนมืออีกข้างบีบบั้นท้ายกลมกลึงของนางอย่างเมามัน เสี่ยวหลันจื่อเริ่มโมโหจึงกัดใบหูของเขาอย่างแรงคราวนี้ได้ผลทันที เซียวอี้เหิงร้องเสียงหลงออกมาเพราะความเจ็บ ฉีเหลยกับฉีเยี่ยนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ รีบพังประตูเข้ามาทันที เพราะคิดว่ามีนักฆ่ามาลอบทำร้ายท่านอ๋อง โชคดีที่มีมุ้งโปร่งบางบังร่างทั้งสองคนเอาไว้และเสี่ยวหลันจื่อที่ตัวเล็กจึงถูกร่างของเขาบังจนมิด“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้น มีนักฆ่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”เป็นฉีเยี่ยนที่บุกเข้ามาในห้องก่อนแต่ฉีเหลยที่หลบอยู่นอกห้องเพราะเขารู้สึกสะกิดใจว่าหากมีนักฆ่ากลางดึกท่านอ๋องคงไม่ร้องเสียงดังเพียงนี้คงจะฆ่าพวกมันเงียบๆ แล้วทำลายศพไม่เหลือซากไปแล้ว เซียวอี้เหิงที่โมโหคนที่มาขัดจังหวะเขาจึงใช้ลมปราณซัดฉีเยี่ยนออกไปนอกห้องทันที“ฉีเยี่ยนคืนนี้เจ้าคงจะยังไม่ง่วงนอน ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นเขาไปฝึกจนถึงเช้า”ฉีเยี่
เสี่ยวหลันจื่อนั่งนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายระหว่างที่นั่งรถม้าไปเมืองหลวงนางเอกแต่งกับพระเอก องค์ชายสามสมคบแคว้นฉู่ก่อกบฏแต่ล้มเหลวจึงถูกปลดเป็นสามัญชนแล้วเนรเทศไปชายแดนทางภาคเหนือ ที่รกร้างและมีหิมะตกถึงแปดเดือนในหนึ่งปีขุนนางที่เข้าร่วมการกบฏในครั้งนี้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรลำเอียงเห็นๆ ฮ่องเต้ไม่กล้าฆ่าลูกตัวเองแต่ครอบครัวคนอื่นกลับฆ่าได้อยางง่ายดายจะประหารองค์ชายสามเก้าชั่วโคตรได้ยังไงล่ะ มิใช่ต้องประหารตัวเองไปด้วยหรือ แบบนั้นสกุลเซียวได้สิ้นเผ่าพันธุ์แน่ๆออกมาจากอำเภอหยู่เปิงมาได้สักพัก เสี่ยวหลันจื่อสังเกตเห็นว่าเริ่มมีผู้คนเดินเท้ามากขึ้น มีรถม้าบนถนนมากขึ้น นางจึงถามสารถีเพราะเขาประจำอยู่ในอำเภอหยู่เปิงเขาอาจจะรู้อะไรมาบ้าง“สารถีเหตุใดมีผู้คนมากมายเพียงนี้” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนถามออกไป“แม่นางตอนนี้ทางใต้กำลังมีสงครามผู้คนเหล่านี้น่าจะอพยพมาจากทางใต้เพื่อหนีสงครามแน่นอน ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องของแคว้นเราเป็นผู้นำทัพออกต่อสู้พวกแคว้นฉู่ด้วยตัวเองทั้งยังมีแม่ทัพกู้ร่วมออกเดินทางไปรบครั้งนี้ด้วย”กู้ห้าวเหวินงั้นหรือ แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินพ่อขอกู้รั่วอวิ๋น นางเอกของเรื่อง“พวกเข
เซียวอี้เหิงเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นคนตัดสินโทษกบฏของตระกูลกู้ วันนี้เขาจึงต้องมาเป็นพยานที่ลานประหารในใจเขาคิดว่ายังไงกู้รั่วอวิ๋นจะต้องมาชิงตัวนักโทษแน่ คนของตระกูลกู้ร้อยกว่าชีวิตถูกทหารคุมตัวเดินออกมานั่งคุกเข่าที่ลานประหาร ด้านหน้าของพวกเขาคือกู้เฟิงพี่ชายของกู้รั่วอวิ๋นและกู้ห้าวเหวินอดีตแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินที่ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่สภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากซากศพเท่าใดนักชาวเมืองนับพันที่มาดูการประหารตระกูลกู้ที่ยิ่งใหญ่และเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายยาวนานมานับร้อยปี ทั้งสตรีและเด็กของตระกูลกู้ต่างร่ำไห้ขอความเป็นธรรมมีเพียงกู้เฟิงที่ยังคงมีสายตาแข็งกร้าวเซียวอี้เหิงมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังรออยู่ รอเวลาที่กู้รั่วอวิ๋นจะปรากฏตัว กู้รั่วอวิ๋นที่แฝงตัวมากับชาวเมืองมองไปที่บิดาและพี่ชายของนางด้วยดวงตาแดงก่ำ นางไม่รู้ว่าจะมีโอกาสช่วยเหลือบิดาและพี่ชายของนางมากเท่าใด แต่ที่แน่ๆ เซียวอี้เหิงจะต้องวางกับดักไว้รอนางแล้วอย่างแน่นอน เป็นนางที่จะยอมกระโดดลงไปในกับดักนั่นหรือไม่การประหารเริ่มต้นขึ้นนายทหารที่ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตกว่ายี่สิบคนเดินตรงมาที่สมาชิกของสกุลกู้ พวกเขาต่าง
ก่อนการประหารสกุลกู้ในข้อหาก่อกบฏเสี่ยวหลันจื่อ ที่ออดอ้อนขอให้เซียวอี้เหิง พานางและทุกคนออกไปเดินเที่ยวตลาดของเมืองหลวง เซียวอี้เหิงที่ทนการรบเร้าของนางไม่ได้จึงให้ฉีเหลยเป็นองครักษ์พร้อมด้วยฉีอิงกับฉีหลิงเขายังไม่วางใจเรื่องของกู้รั่วอวิ๋น เขาเกรงว่าข่าวที่ได้มาว่านางอยู่ที่แคว้นฉู่จะกลายเป็นข่าวลวง บางทีนางอาจอยู่ที่นี่แล้วก็ได้เซียวอี้เหิงให้คนของเขาตามหาทั้งในที่ลับและที่แจ้งติดประกาศไปทั่วเมืองวางเงินรางวัลนำจับสูงลิ่วเพื่อกดดันให้นางออกมา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากให้เสี่ยวหลันจื่อออกไปนอกจวน เพราะเขาเกรงว่านางจะถูกคนของกู้รั่วอวิ๋นทำร้าย“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงรับรองว่าข้าจะไม่ดื้อเด็ดขาดออกไปแค่เพียงไม่นานข้าจะรีบกลับมาแล้วจะซื้อขนมมาฝากท่านนะ”เสี่ยวหลันจื่อทำเสียงออดอ้อน เซียวอี้เหิงนั้นรู้สึกหนักใจแต่ทำอย่างไรได้นางไม่ใช่สัตว์แต่นางเป็นมนุษย์ จะขังนางเอาไว้แต่ภายในจวนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ มันไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา ทางที่ดีคือเขาต้องจับตัวกู้รั่วอวิ๋นให้ได้เขาจึงจะรู้สึกวางใจที่เสี่ยวหลันจื่ออยากออกมาเที่ยวข้างนอกในวันนี้ก็เป็นเพราะหลิวหลี เมื่อวานนางมาหาเสี่
เมื่อข้ารับใช้ในเรือนมารวมตัวกันที่เรือนหลักของเซียวอี้เหิงเรียบร้อยแล้ว เซียวอี้เหิงประคองเสี่ยวหลันจื่อเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าทุกคนนางเงยหน้ามองเซียวอี้เหิงว่าเขากำลังจะทำอะไร ทุกคนในจวนชินอ๋องต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเสี่ยวหลันจื่อชัดๆ นางคือนางกำนัลที่ถูกส่งมาโดยไทเฮานั่นเองพวกเขาต่างทำสีหน้าหวาดกลัว มิใช่ว่านางถูกท่านอ๋องฆ่าไปแล้วหรือในตอนนั้น นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมตอนนี้นางยังตั้งครรภ์อยู่ เสียงวิจารณ์ของเหล่าข้ารับใช้เริ่มดังขึ้น“พวกเจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดพระชายาของข้าถึงมีใบหน้าเหมือนกับอวี้ซูเหยาใช่หรือไม่ ถึงแม้นางจะมีใบหน้าที่เหมือนกันมากเช่นไรแต่นางคือคนละคน ที่นั่งอยู่ต่อหน้าของพวกเจ้าคือพระชายาเพียงคนเดียวของข้า นามของนางคืออวี้หลันจื่อ ข้าขอห้ามทุกคนพูดเรื่องของอวี้ซูเหยาอีกไม่ว่ากรณีใดก็ตามถ้าหากว่ามีใครที่ไม่ทำตามคิดต่อต้านคำสั่งของข้า จะต้องถูกลงโทษขั้นสูงสุดตามกฏของจวนชินอ๋อง”เมื่อได้ยินเช่นนั้นข้ารับใช้ต่างหวาดกลัวไม่มีใครกล้าปริปากแม้แต่คนเดียวใครเล่าจะกล้าเหิมเกริมต่อต้านคำสั่งของท่านอ๋อง“อีกอย่างหากมีใครคิดไม่ซื่อกับข้าเหมือนที่อวี้ซูเหยาท
หลังจากที่พูดคุยกับหลิวหลีและปลอบใจนางเล็กน้อยเสี่ยวหลันจื่อก็กลับมาที่เรือนของนาง เมื่อฉีหลิงเปิดประตูเรือนทั้งสองก็เห็นเซียวอี้เหิงที่ยืนใบหน้าถมึงทึงอยู่ที่ลานบ้าน“ไปไหนมาอีกแล้วเจ้าตัวดี ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้ระวังอย่าเที่ยวออกไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าข้าจะทำอย่างไร เหตุใดถึงได้ดื้อดึงเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้”เซียวอี้เหิงดุเสี่ยวหลันจื่อเสียงอ่อน เขาไม่รู้แล้วว่าจะรับมือกับนางอย่างไรดี ดุก็ไม่ได้ตีก็ไม่ได้ หากทำให้นางร้องไห้ก็เป็นเขาซะเองที่เจ็บปวด เสี่ยวหลันจื่อยืนก้มหน้าท่าทางหูลู่หางตกเหมือนเสี่ยวหงตอนที่โดนดุ ดูน่าสงสารยิ่งนักเซียวอี้เหิงถอนหายใจ ท่าทางเช่นนี้มีหรือเขาจะใจแข็งกับนางได้“ช่างเถอะๆ ข้าไม่ดุเจ้าแล้วเลิกทำท่างทางเหมือนเสี่ยวหงเสียที มานี่มาข้างนอกอากาศยังหนาวเย็นอยู่เข้าไปในเรือนเถอะอย่าอยู่ตรงนี้เลยเดี๋ยวจะไม่สบาย”เสี่ยวหลันจื่อเดินก้มหน้าไปหาเซียวอี้เหิงเกาะแขนเขาทำท่าทางเหมือนยังเศร้าอยู่ แต่ดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาหนาของนางกลับเปล่งประกายซุกซน ตอนที่เดินตามเซียวอี้เหิงไปเสี่ยวหลันจื่อยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ฉีหลิง ท่าทางทั้งหม
อาหารมื้อเย็นผ่านไป เสี่ยวหลันจื่อรั้งผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้เพื่อคุยเรื่องที่นางจะกลับไปที่จวนชินอ๋อง และเสี่ยวหลันจื่อต้องการให้ท่านตากับท่านยายไปอยู่ที่นั่นกับนางด้วย“ท่านตาท่านยายเจ้าคะข้ามีเรื่องจะปรึกษากับกับท่านทั้งสอง ตอนนี้ครรภ์ของข้าก็เกือบจะแปดเดือนแล้ว อีกไม่นานก็จะคลอดเด็กสองคนนี้ ท่านอ๋องอยากให้ข้าไปคลอดที่เมืองหลวงเพราะที่นั่นมีหมอตำแยและยังมีหมอหลวงที่เก่งกว่าที่นี่ อีกทั้งเพราะข้าต้องคลอดทีเดียวถึงสองคนเขาจึงรู้สึกไม่วางใจ แต่ข้าไม่อยากไปอยู่ที่นั่นคนเดียวข้ากลัวว่าตัวเองจะเหงาและตอนที่ข้าคลอดข้าอยากให้ท่านทั้งสองอยู่เคียงข้างข้า จะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ท่านทั้งสองไปกับข้านะเจ้าคะ”เสี่ยวหลันจื่อใช้เสียงออดอ้อนสุดฤทธิ์ นางกลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะตัดใจทิ้งบ้านเกิดของตนเพื่อไปกับนางไม่ได้“ได้สิ เจ้าเป็นหลานเพียงคนเดียวของข้า ต่อให้เจ้าไม่ขอร้องข้ากับตาแก่นี่ก็จะต้องตามเจ้าไปแน่นอน จื่อเอ๋อเจ้าสบายใจได้และคลอดเด็กทั้งสองคนออกมาอย่างปลอดภัยเถอะ”เสี่ยวหลันจื่อโน้มตัวไปกอดแม่เฒ่าสวีเเละใช้ใบหน้าถูไถที่ไหล่ของนางอย่างที่ชอบทำประจำ แต่เซียวอี้เหิงดึงนางออกมาแล้วอุ้มนางเข้าห้องไ
เซียวอี้เหิงวางเสี่ยวหลันจื่อเอาไว้ที่เก้าอี้ในห้องโถงของเรือน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะท่านตากับท่านยายไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าแล้ว น่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานของหลิวหลี ถ้าจะให้พูดคือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นลูกชายของพี่ชายผู้เฒ่าหลิวดังนั้นหลิวหลีจึงนับเป็นญาติของผู้เฒ่าหลิวเช่นกัน“ฉีหลิงตอนนี่เจ้าอายุเท่าไหร่” เสี่ยวหลันจื่อที่นั่งเรียบร้อยแล้วหันมาซักทันทีที่ฉีหลิงเดินตามเข้ามาในเรือน“อายุสิบเจ็ดเจ้าค่ะ” ฉีหลิงตอบทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่“เจ้ายืนคุยกับข้าได้หรือไม่ คุกเข่าเช่นนี้ข้าจะคุยกับเจ้าได้สะดวกได้อย่างไร” เสี่ยวหลันจื่อสั่งนาง ฉีหลิงมีท่าทีลังเล มองไปที่เซียวอี้เหิงอย่างหวาดๆ นางรู้ว่าพระชายานั้นใจดีขนาดไหน แต่กับนายเหนือหัวของพวกเขาแล้วต่างไม่กล้าล่วงเกิน“เจ้าทำตามที่นางบอกเถอะ ต่อไปนี้ทุกเรื่องของเจ้าสองพี่น้องข้าจะยกให้พระชายาเป็นคนดูแล นางสั่งอะไรเจ้าก็ทำตาม” เซียวอี้เหิงสั่งเสียงเรียบ“เพคะ” ฉีหลิงลุกขึ้นยืนแต่ยังคงก้มหน้า พวกเขาถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ที่เริ่มเข้าฝึกเป็นองครักษ์เงาว่าห้ามมองหน้าเจ้านายเมื่ออยู่ต่อหน้า“ฉีหลิงตั้งแต่นี้ไปเจ้าสองพี่น้องมาเป็นคนของข้าเจ้าย
ในตอนสายสองผู้เฒ่ากลับมาที่เรือนเห็นฉีเหลยนั่งอยู่ที่ห้องโถงก็รีบเข้าไปทักทายทันที“เจ้าหนุ่มเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งไปชายแดนเมื่อเดือนก่อนหรือเหตุใดกลับมาที่นี่อีกแล้วเล่า เจ้านี่ช่างทุ่มเทให้กับงานเหลือเกินคราวนี้มาด้วยเรื่องอะไรล่ะ หรือว่ามีความลับอะไรที่ต้องมาบอกพวกเราอีกหรือ ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทถูกคุมขังไปแล้วหรืออย่างไร”ผู้เฒ่าหลิวซักฉีเหลยยาวเหยียดอย่างอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนสายลับเข้าไปทุกที ตอนนั้นเขายังเคยรู้เรื่องที่เป็นความลับระดับแคว้นเชียวนะ ช่างน่าปลาบปลื้มใจเสียจริงเหมือนกับว่าเขาเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้นผู้เฒ่าหลิวทำท่าทางฝันเคลิ้มอยู่ในภวังค์คนดียว แม่เฒ่าสวีมองสามีของนางอย่างหมั่นไส้ สักวันตาเฒ่านี่คงได้ตายเพราะชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านเป็นแน่ แม่เฒ่าสวีไม่สนใจคู่ยากของตนหันมาหาฉีเหลยมองอย่างจับผิดนางกลัวว่าครั้งนี้จะมีเรื่องอีกฉีเหลยทำหน้าเหมือนกลืนหวงเหลียนเข้าไป จะทำอย่างไรได้พอเขาไปถึงที่ชายแดน ท่านอ๋องก็สั่งให้เขาติดตามกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้งเกิดเป็นฉีเหลยช่างทรมานยิ่งนัก ก้นของเขาด้านหมดแล้วเพราะขี่ม้ากลับไปกลับมาไม่ได้หย
เสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูออกไปพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือหลู่หลิงเซียน“คุณหนูหลู่ ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” เสี่ยวหลันจื่อคิดว่าตั้งแต่วันนั้นนางน่าจะเลิกราไปเล้วไม่คิดว่าจะยังมาที่นี่อีก“เจ้าไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปข้างในหน่อยหรือ”เสี่ยวหลันจื่อเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามาด้านใน เมื่อเข้ามานั่งที่ห้องโถงเรียบร้อยแล้ว หลู่หลิงเซียนเป็นคนกล่าวขึ้นก่อน“ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าบางอย่าง”หลู่หลิงเซียนเหมือนจะรู้ว่าเสี่ยวหลันจื่อคิดอะไร จึงชิงออกตัวก่อน“ดูเหมือนเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันจนสามารถไปมาหาสู่ ข้าเองก็เป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นจะช่วยอะไรคุณหนูหลู่ได้กัน”หลู่หลิงเซียนขยับตัวอย่างอึดอัด“ความจริงข้ากำลังจะแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก และมีเรื่องบางอย่างที่ข้ายังติดใจอยู่ สามีของเจ้าผู้นั้นเป็นใครกันแน่”เสี่ยวหลันจื่อมองหลู่หลิงเซียนอย่างครุ่นคิด“เจ้ารู้อะไรมา” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง“ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน การค้าของตระกูลหลู่เหมือนจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น เดิมทีตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นแต่นึกไม่ถึงว่าถึงขั้น ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องล้มป่วยลง ตระกูลห
เซียวเทียนฉีเดินตรงมาที่หน้าโต๊ะทรงงานของหยวนหมิงฮ่องเต้เพื่อคุกเข่าคารวะ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำความเคารพแท่นฝนหมึกก็ลอยมาที่หัวของเซียวเทียนฉีอย่างแม่นยำ เลืออาบหน้าของเขาทันที ขันทีหลีที่เห็นดังนั้นถึงกับตกใจ ฝ่าบาทตีองค์ชายที่ตนเองรักที่สุด เขาได้เห็นในสิ่งทีไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว“สำนึกผิดหรือยัง เจ้าลูกอกตัญญู” หยวนหมิงฮ่องเต้ตะโกนด่าเขาลั่นห้อง“ไม่ทราบว่าลูกทำสิ่งใดผิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดบอกลูกให้เข้าใจ”หยวนหมิงฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือที่สุดไปที่เซียวเทียนฉีอีกครั้ง มันตกกระทบพื้นแตกกระจาย มีเศษของแก้วกระเด็นขึ้นมาบาดที่ใบหน้าของเขาจนเลือดออก“ยังจะมาทำไขสือ เรามีทั้งหลักฐานและพยานว่าเจ้าสมคบคิดกับรัชทายาทแคว้นฉู่เพื่อก่อสงครามขึ้น ไหนเจ้าลองหาเหตุผลดีๆ มาสักข้อให้เราไม่ต้องปลดเจ้าออกจากตำแหน่งรัชทายาทที”เซียวเทียนฉีหนังศรีษะชาวาบหลังจากที่ได้ยินหยวนหมิงฮ่องเต้พูดว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัชทายาท“ใครเป็นคนบอกเสด็จพ่อว่าลูกสมคบคิดกับแคว้นฉู่เพื่อก่อสงคราพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นเสด็จอาชินอ๋อง เสด็จพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ใส่ความลูกหรือแท้จริงเขาอาจหวังบัลลังที่เป็น