เสี่ยวหลันจื่อที่นั่งอยู่ท้ายเกวียนวัวกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงยกเอาตะกร้าที่ใส่ของลงมาด้วย หน้าบ้านสกุลหลิวมีหญิงสาวหลายคนยืนอยู่หนึ่งในนั้นมีหลิวหลีรวมอยู่ด้วย
"พวกเจ้ากลับมาแล้ว "
หลิวหลีส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เซียวอี้เหิง ก่อนที่มันจะเจือนลง เมื่อมีหญิงงามแต่งตัวหรูหรางดงามเหมือนกับคุณหนูที่มาจากในเมือง
“นางเป็นใครเหตุใดนางถึงมากับพวกเจ้า”
หลิวหลีหันมาถามเสี่ยวหลันจื่อ
“ข้าคือหลู่หลิงเซียน บุตรสาวคหบดีหลู่แห่งอำเภอหยู่ปิง” พูดจบนางก็เดินเดินเชิดหน้ามายืนเซียวอี้เหิง
“แล้วคุณหนูหลู่ ผู้สูงส่งมาทำอะไรที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้” หลิวหลีถามเสียงประชดประชัน
“ข้ามาทำอะไรที่นี่เกี่ยวอันใดกับเจ้าแล้วนี่เจ้าเป็นใคร”
หลู่หลิงเซียนเมินหลิวหลี ไปโดยปริยาย มองประตู เรือนที่ดูผุพังเหมือนถูกสร้างมาแล้วหลายสิบปี
“ที่นี่คือบ้านของเจ้าหรือ” หลู่หลิงเซียงถามเสี่ยวหลันจื่อ
“ใช่แล้วที่นี่คือบ้านของข้า”
“เข้าบ้านเถอะ” เซียวอี้เหิง จูงมือเสี่ยวหลันจื่อเดินผ่านหญิงสาวหลายคนที่มายืนรุมล้อมอยู่หน้าบ้านสกุลหลิว
หลู่หลิงเซียนที่ถูกเมินก็ถอนหายใจหนักๆ อย่างไม่พอใจนัก
เมื่อเข้ามาถึงในเรือน หลู่หลิงเซียนก็ใช้สายตามองดู เรือนหลังเล็กที่ดูซอมซ่อด้วยความดูถูก
“ท่านพักที่นี่จริงหรือ ความจริงแล้วตระกูลข้ามีเรือนเช่าหลายแห่งในอำเภอถ้าหากว่าท่านต้องการข้าสามารถให้ท่านไปอยู่ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า อยู่ได้นานเท่าที่ท่านต้องการ”
หลู่หลิงเซียน ยื่นข้อเสนอให้เซียวอี้เหิง หลังจากที่เห็นเรือนสกุลหลิว
“ไม่จำเป็น” เขาพูดแค่นั้นก็ผละจากไป ผู้เฒ่าทั้งสองที่เห็นว่ามีแม่นางหน้าตางดงามตามมาด้วยเขาก็ คิดว่าเป็นสหายของเสี่ยวหลันจื่อ จึงนำน้ำชามาต้อนรับอย่างยินดี
“แม่หนูเชิญดื่มน้ำชาก่อนเป็นสหายของจื่อเอ๋อของเราหรือ”
หลู่หลิงเซียน มองชายหญิงชราชาวบ้านแต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบก็รู้สึกดูแคลน นางไม่แม้แต่จะหยิบถ้วยชาขึ้น นั่งหลังตรงเชิดคอไม่พูดสิ่งใดออกมา
ผู้เฒ่าทั้งสองไหนเลยจะมองไม่ออกว่านางรังเกียจและดูแคลนตนเอง พวกเขาจึงทิ้งนางเอาไว้แล้วเดินออกมาจากห้องโถงเเละเจอกับเสี่ยวหลันจื่อ ที่เพิ่งเก็บของเสร็จพอดี
” จื่อเอ๋อ แม่นางคนนั้นเป็นใครกันนางดูไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปเหมือนพวกเรา” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้า
"ใช่แล้วท่านตาท่านยายนางเป็นแขกของเซียวอี้เหิง ข้าว่าไม่ต้องไปยุ่งกับนางหรอกปล่อยนางไว้อย่างนั้นแหละให้เซียวอี้เหิงจัดการเองเถอะ"
เสี่ยวหลันจื่อดันหลังสองผู้เฒ่าเดินออกไปลานบ้าน ความหล่อเหลาของเขาเป็นเหตุก็ให้เขาแก้ไขเองเถอะ
เซียวอี้เหิงไหนเลยจะสนใจ เมื่อเวลาผ่านไปนานแต่กลับไม่เห็นคนที่อยู่ในเรือนออกมาต้อนรับนาง นางก็รู้สึกหงุดหงิดหลู่หลิงเซียน จึงลุกขึ้นเดินออกจากเรือนไปนอกเรือนสกุลหลิว เผื่อว่าจะสืบได้อะไรจากชาวบ้าน เมื่อนางเดินออกมาก็เจอกับหญิงสาวหลายคนที่ยังไม่ได้ผละไปจากที่นี่
นางจึงเรียกหนึ่งในพวกนั้นมาสอบถาม สาวใช้ของหลู่หลิงเซียน ยื่นเงินเล็กน้อยให้หญิงสาวนางนั้นหลังจากถามไปหลายคำถาม
“ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนักทุกอย่างเหมือนที่ข้าให้คนมาสืบก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของสองคนนั้น ข้าอาจจะต้องอยู่ที่นี่หลายวันเจ้ากลับไปแล้วแจ้งท่านพ่อของข้าว่าข้ามาพักที่บ้านสหายสักหลายวัน” หลู่หลิงเซียน สั่งสาวใช้ของนาง
จากนั้นถิงถิงสาวใช้ของหลู่หลิงเซียนจ้างเกวียนวัวในหมู่บ้านให้ไปส่งนางเดินทางเข้าอำเภอ
หลู่หลิงเซียน กลับมาที่บ้านสกุลหลิวอีกครั้งแล้วบอกกับเสี่ยวหลันจื่อว่า นางจะพักที่นี่
“คุณหนูหลู่ เช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมังเจ้าก็เห็นอยู่ว่าบ้านของข้ามีแค่สามห้องนอนถ้าหากว่าเจ้าต้องการพักที่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่มีห้องว่างแล้ว” เสี่ยวหลันจื่อปฏิเสธ
“ข้าพักห้องเดียวกับเจ้าก็ได้”
“ไม่ได้”เป็นเซียวอี้เหิง ที่ตอบปฏิเสธทันควัน
เสี่ยวหลันจื่อยักไหล่ บนใบหน้าเขียนว่าข้าบอกเจ้าแล้วเห็นหรือยัง
“ข้าว่าเจ้ากลับไปเถอะ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่เหมาะกับคุณหนูที่ร่ำรวยอย่างเจ้าหรอก ถ้าหากว่าเกิดอันตรายกับเจ้าพวกเรารับผิดชอบไม่ไหว” เสี่ยวหลันจื่อให้เหตุผล
“ข้าจะให้ฉีเหลย ไปส่งเจ้าเข้าอำเภอก็แล้วกัน นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วท่านพ่อของเจ้าจะเป็นห่วงเอา”
เสี่ยวหลันจื่อแสดงความหวังดี
“ไม่จำเป็นถ้าข้าต้องการจะพักที่นี่ข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ” หลู่หลิงเซียนยืนกราน จากนั้นจึงเดินออกจากบ้านสกุลหลิวไป
หลังจากหลู่หลิงเซียน เดินออกไปแล้วคนทั้งหกในบ้านสกุลหลิวต่าง ไม่มีใครสนใจเรื่องของนาง ทุกคนใช้ชีวิตปกติ จนกระทั่งตอนเช้า หลู่หลิงเซียนก็มาปรากฏตัวที่บ้านสกุลหลิวอีกครั้ง เสียวหลันจื่อมองนางด้วยความสงสัย
"คุณหนูหลู่เมื่อวานเจ้าพักอยู่ที่ไหนหรือ"
หลู่หลิงเซียนถลึงตามองนาง แต่ไม่ตอบคำถามนาง เสี่ยวหลันจื่อเองก็ไม่สนใจจึงพาเสี่ยวหงออกไปเดินเล่น นางกำลังคิดว่าจะทำอะไรเพื่อให้ได้เงินมากๆ นางเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ตรงเชิงเขาจึงนั่งลงใช้ความคิด เมื่อวานใช้เงินซื้อของไปไม่น้อยแต่เงินเก็บรวมกันหลายวันมานี้มีแค่สี่ร้อยสามสิบตำลึง
นางนั่งเหม่อลอย ปล่อยความคิดให้โลดแล่นไปไกล แต่เสียงพูดคุยก็ดังมาจากทางด้านหลัง เสี่ยวหลันจื่อชะโงกหน้าออกไปมองจึงเห็นว่าเป็นหลู่หลิงเซียนกับเซียวอี้เหิงที่เดินมาด้วยกัน นางจึงแอบอยู่หลังต้นไม้ไม่ให้พวกเขาทั้งสองคนเห็น
เสียงพูดดังขึ้นเรื่อยๆ นางคิดว่าพวกเขาอยู่อีกฟากของต้นไม้
“คุณชาย ท่านรับข้อเสนอของข้าเถอะข้าจะให้ทุกอย่างที่ท่านต้องการท่านจะได้ไม่ต้องมาลำบากอยู่ที่หมู่บ้านทุรกันดารแห่งนี้” หลู่หลิงเซียนโน้มนาวและพูดต่อไปเมื่อเห็นว่าเขา ยังคงนิ่งเงียบ
"ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านต้องการอะไรข้าจะได้หามาให้ถูกใจท่าน"
เซียวอี้เหิงปรายตามองนางอย่างเจ้าเล่ห์เเล้วขยับเข้าหานาง
“เจ้าพูดจริงหรือ” หลู่หลิงเซียนพยักหน้าใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อหัวใจเต้นแรง เหมือนว่านางจะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว คนเราทุกคนมีใครบ้างทนต่ออำนาจเงินได้ต่อให้เป็นพระภิกษุก็ต้องมีความต้องการไม่สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะมาถูกทาง
เสี่ยวหลันจื่อที่เเอบดูพวกเขาอยู่ก็หัวใจเต้นแรงเหมือนกัน นางใจจดใจจ่ออยู่กับคำตอบเซียวอี้เหิง นางอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
เซียวงอี้เหิง ดึงร่างของหลู่หลิงเซียนเข้ามาในอ้อมแขนตนจากนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานหายไปในภูเขา เสี่ยวหลันจื่อที่เเอบมองอยู่ก็รู้สึกหัวใจวูบโหวงไปทันที หัวใจของนางบีบรัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก ในหัวของนางมันขาวโพลนไปหมด ไม่รู้ว่านางนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงเรียกของฉีเหลยดังขึ้น
"เเม่นางอวี้ ข้าตามหาเจ้าตั้งนานเห็นว่าใกล้จะมืดแล้วแต่เจ้าไม่กลับมาซะทีผู้เฒ่าทั้งสองต่างเป็นห่วงจึงให้ข้ามาตามเจ้า"
เสี่ยวหลันจื่อตอบ ออ ไปหนึ่งทีแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะนั่งอยู่ที่เดิมมานานทำให้ขาของเสี่ยวหลันจื่อชาจนไม่มีความรู้สึก นางลุกขึ้นยื่นได้ครู่หนึ่งจึงล้มลงฉีเหลยรีบถลาเข้ามาประคองนาง
"ขาของเจ้าเป็นอะไร" ฉีเหลยรีบตรวจดูแต่เสี่ยวหลันจื่อห้ามเอาไว้
ข้าแค่นั่งท่าเดิมนานไปหน่อยมันจึงช้าจนไร้ความรู้สึกอีกสักครู่ก็คงจะหายดี"
ฉีเหลยพยักหน้ารับรู้
"ถ้าอย่างนั้นให้ข้าอุ้มเจ้าเถอะจะได้รีบกลับเรือนตายายของเจ้าเป็นห่วงแล้ว"
ตอนนี้เสี่ยวหลันจื่อไม่อยาก คิดอะไรนางเพียงแค่อยากจะนอนหลับไปและอยากจะลืมภาพที่นางเห็นเมื่อตอนบ่าย อยากลบมันทิ้งไปให้หมด
เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้า จากนั้นฉีเหลยจึงก้มลงอุ้มนางเดินกลับเรื่อนสกุลหลิวไป
ทันทีที่เข้ามาในเรือนสองผู้เฒ่าเห็นว่าเสี่ยวหลันจื่อ ถูกอุ้มกลับมาก็คิดว่านางบาดเจ็บ
“เกิดอะไรจื่อเออขาของเจ้าเป็นอะไร” สองผู้เฒ่ารีบเข้ามาดู
“ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่ข้านั่งท่าเดิมนานเกินไป จึงทำให้เกิดเหน็บชาชั่วคราวเท่านั้นอีกสักพักก็หาย”
เสี่ยวหลันจื่อบอกทั้งสองให้คลายกังวล เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้องโถงก็เห็นว่ามีเซียวอี้เหิงกับหลู่หลิงเซียน นั่งอยู่ข้างกัน เสี่ยวหลันจื่อจึงก้มหน้าลงไม่สบตาพวกเขา
“ท่านยายข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อยขอตัวไปพักผ่อนก่อน” พูดเสร็จเสี่ยวหลันจื่อก็ให้ฉีเหลยอุ้มนางเข้าห้องไป
เมื่อเข้ามาในห้องของตัวเองเเล้ว เสี่ยวหลันจื่อเอาผ้าห่มคลุมโปงตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด จากนั้นภาพที่นางเห็นเซียวอี้เหิงกอดหลู่หลิงเซียนก็ฉายซ้ำในหัวนาง
เจ้าคงจะพานางไปดูป่าท้อมาสินะ เหมือนที่เจ้าพาข้าไป เสี่ยวหลันจื่อเสียใจมาก คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของภาพนั้นแต่เพียงผู้เดียว ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ยิ่งคิดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ทั้งวันก็พลันไหลบ่าออกมาราวทำนบแตก นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร ความรู้สึกที่เหมือนหายใจไม่ออก มันเหมือนนางกำลังจะขาดใจตาย นางรู้สึกเจ็บที่ตรงหน้าอกด้านซ้าย ตรงหัวใจ
เสี่ยวหลันจื่อร้องไห้ในผ้าห่มจนหลับไป
ผ่านไปสักพักเสียงเปิดของประตูดังขึ้นเบาๆ ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาช้าๆในความมืด เพราะห้องไม่ได้จุดเทียนจึงมีเพียงแสงสลัว ของพระจันทร์ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้เขามองเห็นร่างเล็ก ที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มนอนขดอยู่ตรงมุมด้านในของเตียง
เซียวอี้เหิงค่อยๆ เปิดผ้าห่มออกอย่างเบามือ จนกระทั่งมองเห็นร่างเล็กของเสี่ยวหลันจื่อ ที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ขอบตาบวมแดงที่เกิดจาการร้องไห้อย่างหนัก เซี่ยวอี้เหิงถอนหายใจ
“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าทำเช่นนี้เอง หาเจ้าไม่เอาเเต่ดื้อดึงผลักไสข้า.....” เซียวอี้เหิงพูดเพียงเท่านั้น
จากนั้นเขาก็ออกไปเอากะละมังใส่น้ำอุ่นเข้ามา ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอมดังเช่นสิ่งล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในชีวิต
เสี่ยวหลันจื่อตื่นมาด้วยอาการงัวเงียนางรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก เมื่อวานตอนเที่ยงกับตอนเย็นไม่ได้ทานข้าวทำให้นางรู้สึกไร้กำลัง เสี่ยวหงที่นอนอยู่ข้างๆ นางเอาหัวเล็กๆ มาคลอเคลียข้างแก้มออดอ้อน เมื่อวานมันเห็นนางร้องไห้มันก็รู้สึกเศร้าไปกับนางด้วยวันนี้จึงอยากทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง“ยังเป็นเจ้าที่ดีกับข้าที่สุดนะเสี่ยวหง” เสี่ยวหลันจื่อกอดมันจากนั้นก็ลุกออกไปล้างหน้าล้างตา ท่านยายที่เห็นหลานสาวตื่นแล้วก็รีบเข้ามาดูทันที“เป็นอย่างไรบ้างจื่อเอ๋อดีขึ้นบ้างหรือยัง”แม่เฒ่าสวียกมือขึ้นอังหน้าผากของนาง“ข้าสบายดีเจ้าค่ะท่านยาย ไม่ต้องห่วงข้าไม่เป็นอะไร”เสี่ยวหลันจื่อ ยิ้มให้นางจากนั้นจึงเดินเข้าไปตักโจ๊กมากินเล็กน้อย“เหตุใดถึงเงียบขนาดนี้ ไปไหนกันหมดเจ้าคะ”เสี่ยวหลันจื่อถามออกไปรวมๆ ไม่ได้เจาะจงว่าถามหาใครแม่เฒ่าสวีจึงไขความกระจ่างว่า“เมื่อวานตอนเย็น คุณหนูหลู่ทะเลาะกับหลิวหลีบุตรสาวหัวหน้าหมู่บ้านจึงมาขอให้พ่อหนุ่มช่วย พ่อหนุ่มเลยส่งนางกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”เสี่ยวหลันจื่อที่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป ภาพที่นางเห็นตรงเชิงเขาเมื่อวาน ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำข
เสี่ยวหลันจื่อและเซียวอี้เหิงหันขวับไปในทันที เสี่ยงที่ตะโกนมาจากทางด้านหลังของพวกเขาคือเสียงของ หลิวหลีบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน“พวกเจ้ากำลังเรื่องบัดสีอะไรกัน” เสี่ยวหลันจื่อที่เห็นนางพูดจาใส่ร้ายตนก็ขมวดคิ้วทันที“เจ้าต่างหากพูดจาน่าเกลียดอะไรกัน ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยาที่นอนร่วมห้องกัน จะทำสิ่งใดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เป็นเจ้าต่างหากที่แส่ไม่เข้าเรื่องเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนก็เที่ยววิ่งตามบุรุษที่มีภรรยาแล้ว หากว่าพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้าคิดหวังแย่งชิงสามีคนอื่น พ่อเจ้าจะทำหน้ายังไงแล้วในอนาคตหากข่าวลือแพร่ออกไปเจ้ายังจะแต่งให้ใครได้อีก “เสี่ยวหลันจื่อพูดรวดเดียวจบ นางรำคาญเรื่องวุ่นวายพวกนี้แล้วยิ่งนางหลบเลี่ยงก็ดูเหมือนเรื่องวุ่นวายจะยิ่งวิ่งเข้ามาหานาง“จ้า เจ้า “ หลิวหลีพูดไม่ออกสักคำ นางได้แต่ติดอ่างอยู่อย่างนั้น เรื่องข่าวลือเสียหายเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิงโบราณ และเสี่ยวหลันจื่อก็จี้ได้ตรงจุดยิ่งนัก หลิวหลีที่หวาดกลัวว่าหากมีข่างลือแพร่ออกไปว่านางคิดแย่งสามีคนอื่น นางจะต้องถูกท่านพ่อที่รักหน้าตายิ่งกว่าชีวิตฆ่าตายแน่ไหนจะตาเฒ่าหลิวนั่นอีก เมื่อก่อนใครๆ ต่างเล่าว่าเขาโหด
เสี่ยวหลันจื่อขยับตัวเล็กน้อยเพราะนางนั่งเกร็งเป็นเวลานาน เซียวอี้เหิงผละออกจากซอกคอของนางใช้มือเรียวยาวเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากับเขา"ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่" เสี่ยวหลันจื่อหลบตาเขา“มองตาข้า มองเข้าไปในดวงตาของข้า เท่าที่เจ้ารู้มาข้าเคยทำเช่นนี้กับสตรีใดหรือไม่”เสี่ยวหลันจื่อหน้าแดงก่ำด้วยความอาย นางมุดหลบเข้าไปในอกเขาอีกรอบเหมือนที่เสี่ยวหงชอบทำตอนที่อยู่กับนาง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหูของนาง ยิ่งทำให้นางอับอายยิ่งกว่าเดิม“จื่อเอ๋อ หากเจ้ายังทำเช่นนี้ต่อไปข้าจะไม่ทนอีกแล้วนะ”เสี่ยวหลันจื่อสะดุ้งทันทีเขาหัวเราะท่าทางขี้ขลาดของนางจนอกกระเพื่อมขึ้นลง“ท่านแกล้งข้า” นางตีที่หน้าอกเขาอย่างไม่แรงนักหนึ่งที“เอาล่ะข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” เซียวอี้เหิงยกตัวนางขึ้นเหมือนท่าอุ้มเด็ก เสี่ยวหลันจื่อตกใจจนต้องรีบคว้าคอของเขาเอาไว้“เราจะไม่ทะเลาะกันอีกแล้วนะ เจ้าก็ห้ามทดสอบข้าเหมือนกันหากมีคราหน้าข้าจะทำให้เจ้าท้องป่องจนไม่กล้าออกไปก่อเรื่องข้างนอกอีก” เสี่ยวหลันจื่ออายจนต้องก้มหน้าซุกที่ซอกคอเขาเสี่ยวหลันจื่อเซียวอี้เหิงและเสี่ยวหง เก็บสมุนไพรจนกระทั่งบ่ายคล้อยจึงพากันกลับไปที่เ
“ท่านอ๋อง หยุดก่อน” เสี่ยวหลันจื่อใช้มือสองข้างดันคางของเขาที่กำลังซุกซบอยู่ตรงซอกคอของนาง“จื่อเอ๋อข้าทนไม่ไหวแล้ว อย่าห้ามข้าเลย”เซียวอี้เหิงยังคงพยายามก้มหน้าซุกไซร้ซอกคอของนาง มือสองข้างก็ไม่อยู่นิ่งทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม คอยเคล้นคลึงอกอวบ ส่วนมืออีกข้างบีบบั้นท้ายกลมกลึงของนางอย่างเมามัน เสี่ยวหลันจื่อเริ่มโมโหจึงกัดใบหูของเขาอย่างแรงคราวนี้ได้ผลทันที เซียวอี้เหิงร้องเสียงหลงออกมาเพราะความเจ็บ ฉีเหลยกับฉีเยี่ยนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ รีบพังประตูเข้ามาทันที เพราะคิดว่ามีนักฆ่ามาลอบทำร้ายท่านอ๋อง โชคดีที่มีมุ้งโปร่งบางบังร่างทั้งสองคนเอาไว้และเสี่ยวหลันจื่อที่ตัวเล็กจึงถูกร่างของเขาบังจนมิด“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้น มีนักฆ่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”เป็นฉีเยี่ยนที่บุกเข้ามาในห้องก่อนแต่ฉีเหลยที่หลบอยู่นอกห้องเพราะเขารู้สึกสะกิดใจว่าหากมีนักฆ่ากลางดึกท่านอ๋องคงไม่ร้องเสียงดังเพียงนี้คงจะฆ่าพวกมันเงียบๆ แล้วทำลายศพไม่เหลือซากไปแล้ว เซียวอี้เหิงที่โมโหคนที่มาขัดจังหวะเขาจึงใช้ลมปราณซัดฉีเยี่ยนออกไปนอกห้องทันที“ฉีเยี่ยนคืนนี้เจ้าคงจะยังไม่ง่วงนอน ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นเขาไปฝึกจนถึงเช้า”ฉีเยี่
เสี่ยวหลันจื่อนั่งนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายระหว่างที่นั่งรถม้าไปเมืองหลวงนางเอกแต่งกับพระเอก องค์ชายสามสมคบแคว้นฉู่ก่อกบฏแต่ล้มเหลวจึงถูกปลดเป็นสามัญชนแล้วเนรเทศไปชายแดนทางภาคเหนือ ที่รกร้างและมีหิมะตกถึงแปดเดือนในหนึ่งปีขุนนางที่เข้าร่วมการกบฏในครั้งนี้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรลำเอียงเห็นๆ ฮ่องเต้ไม่กล้าฆ่าลูกตัวเองแต่ครอบครัวคนอื่นกลับฆ่าได้อยางง่ายดายจะประหารองค์ชายสามเก้าชั่วโคตรได้ยังไงล่ะ มิใช่ต้องประหารตัวเองไปด้วยหรือ แบบนั้นสกุลเซียวได้สิ้นเผ่าพันธุ์แน่ๆออกมาจากอำเภอหยู่เปิงมาได้สักพัก เสี่ยวหลันจื่อสังเกตเห็นว่าเริ่มมีผู้คนเดินเท้ามากขึ้น มีรถม้าบนถนนมากขึ้น นางจึงถามสารถีเพราะเขาประจำอยู่ในอำเภอหยู่เปิงเขาอาจจะรู้อะไรมาบ้าง“สารถีเหตุใดมีผู้คนมากมายเพียงนี้” เสี่ยวหลันจื่อตะโกนถามออกไป“แม่นางตอนนี้ทางใต้กำลังมีสงครามผู้คนเหล่านี้น่าจะอพยพมาจากทางใต้เพื่อหนีสงครามแน่นอน ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องของแคว้นเราเป็นผู้นำทัพออกต่อสู้พวกแคว้นฉู่ด้วยตัวเองทั้งยังมีแม่ทัพกู้ร่วมออกเดินทางไปรบครั้งนี้ด้วย”กู้ห้าวเหวินงั้นหรือ แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินพ่อขอกู้รั่วอวิ๋น นางเอกของเรื่อง“พวกเข
เช้าวันถัดมาทุกคนต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางเสี่ยวหลันจื่อรู้สึกอ่อนเพลียจากเมื่อวานที่ต้องเดินทั้งวันแล้วยังต้องแบกเจ้าชุดเกราะหนักหลายชั่งอีก นางแทบไม่มีแรงเหลือแล้วแต่ก็ต้องฝืนเดินต่อไป เสี่ยวหลันจื่อไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิดแต่ก็ต้องฝืนกิน กองทัพออกเดินอีกครั้งเสี่ยวหลันจื่อไม่รู้ว่าตันเองเดินมานานแค่ไหน ตอนนี้นางแทบไม่รู้สึกถึงขาของตนเองแล้ว นางอยากจะนั่งลงเอาเท้ายันพื้นแล้วร้องไห้งอแงเหมือนที่เด็กๆ ทำ อยากตะโกนว่าเหนื่อยโว้ย อยากด่าเซียวอี้เหิงที่ไม่ยอมพาพวกเขาพักสักทีแต่นางทำไม่ได้เสี่ยวหลันจื่อที่อัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่อดทน อดทนจนกว่าจะทนไม่ไหวและก่อนที่ความอดทนของนางจะหมดลง กองทัพก็ถูกสั่งให้หยุดพัก นางเกือบจะร้องไชโยออกมาดังๆวันที่สามเสี่ยวหลันจื่อรู้สึกตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ นางรู้ว่าตัวเองกำลังท้องแต่นางจะป่วยตอนนี้ไม่ได้ดังนั้นจึงกินยาแก้ไข้กันเอาไว้ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรเลยช่วงที่กองทัพพักเที่ยงเสี่ยวหลันจื่อกินอาหารไปเล็กน้อยจึงนั่งพิงเกวียนที่ใช้ขนอาวุธหลับไป นางฝันอีกครั้งนางฝันว่ากองทัพได้เดินผ่านช่องเขาแคบๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินผ
วันต่อมาข่าวลือเรื่องที่มีกลุ่มคนต้องการลอบสังหารและสกัดกั้นกองทัพถูกท่านอ๋องจัดการก็แพร่ไปทั่วกองทัพ ชื่อเสียงของเซียวอี้เหิงยิ่งทำให้ทหารในกองทัพศรัทธาเขามากกว่าเดิมหลังจาเรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเซียวอี้เหิงจึงเรียกฉีเหลยมาสอบถามว่าใครคือผู้ให้ข้อมูลนี้ เพราะตอนที่ฉีเหลยมารายงานเขาเรื่องนี้นั้น มีข้อแม้ว่าต้องรอให้ผ่านไปสองวันก่อนฉีเหลยยื่นหยกม่วงมังกรจันทร์เสี้ยวคืนให้เขา เซียวอี้เหิงชะงักไปทันที“ใครให้หยกนี่กับเจ้า”เซี่ยวอี้เหิงรุ้สึกสังหรณ์ใจว่าตนเองกำลังพลาดอะไรบางอย่าง“แม่นางอวี้พ่ะย่ะค่ะ” ฉีเหลยตอบเสียงเบา“นางมาที่หรือ เหตุใดนางไม่มาพบข้า”เซียวอี้เหิงคาดคั้นเอากับฉีเหลย“นางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋องไม่ต้องการคุยกับนาง”แล้วเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนก็ฉายแวบขึ้นมาในหัว“ทหารใหม่สามารถคุยกับข้าผู้เป็นอ๋องได้ตั้งแต่เมื่อใด กลับไปซะบังอาจขวางเวลาส่วนตัวที่ข้าต้องอยู่กับคุณหนูกู้ช่างหน้าตายนัก ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปก่อน หากมีครั้งหน้า....”ทหารตัวดำนั่น เซียวอี้เหิงหันขวับไปมองฉีเหลยในทันที ฉีเหลยหดคอเหมือนนกกระทาด้วยความกลัว“ท่านอ๋องเป็นคนไล่นางเองนะพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้เหิงถล
เสี่ยวหลันจื่อหลับไปราวสองชั่วยาม เมื่อตื่นขึ้นมานางมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ทำให้นางทั้งรักทั้งชัง นางสะบัดหน้าหนีเขาทันที“เหตุใดยังโกรธอยู่เล่า อย่าโกรธเลยนะคนดี มันไม่ดีต่อลูกชายของเรานะ”“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นลูกชาย อาจเป็นลูกสาวก็ได้นะ” เสี่ยวหลันจื่อเถียงเขาเสียงเขียว“เอ๊ะ ท่านรู้ได้อย่างไร” เสี่ยวหลันจื่อจ้องหน้าเขา“สำคัญด้วยหรือว่าข้ารู้ได้อย่างไร ที่สำคัญคือเจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลัง หนทางไกลเพียงนั้น แถมยังต้องใส่ชุดเกราะที่หนักหลายชั่ง จื่อเอ๋อเจ้าอย่าทำให้ข้าเป็นห่วงได้หรือไม่” เซียวอี้เหิงดุนางเสียงอ่อน“ถ้าหากว่าเจ้ากับลูกเป็นอะไรไปข้าคงต้องตายตามพวกเจ้าไปเป็นแน่ข้าจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเจ้า” เซียวอี้เหิงดึงร่างเล็กของนางเข้ามาในอ้อมกอด“ไม่ใช่ว่าท่านมีคุณหนูกู้คนนั้นอยู่หรอกหรือ”เสี่ยวหลันจื่อพูดเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าของนางถูกดันให้แนบชิดอกเขา“ยังจะพูดเรื่องนี้อีก ชาตินี้ของข้าถ้าหากไม่ใช่เจ้าข้ายอมอยู่ผู้เดียวไปตลอดกาล”เซียวอี้เหิงพูดด้วยเสียงจริงจัง“แล้วทำไมท่านต้องอยู่กับนางสองต่อสอง”เสี่ยวหลันจื่อพูดด้วยเสียงแง่งอน เซียวอี้เหิงถอนหายใจอย
เซียวอี้เหิงเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นคนตัดสินโทษกบฏของตระกูลกู้ วันนี้เขาจึงต้องมาเป็นพยานที่ลานประหารในใจเขาคิดว่ายังไงกู้รั่วอวิ๋นจะต้องมาชิงตัวนักโทษแน่ คนของตระกูลกู้ร้อยกว่าชีวิตถูกทหารคุมตัวเดินออกมานั่งคุกเข่าที่ลานประหาร ด้านหน้าของพวกเขาคือกู้เฟิงพี่ชายของกู้รั่วอวิ๋นและกู้ห้าวเหวินอดีตแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินที่ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่สภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากซากศพเท่าใดนักชาวเมืองนับพันที่มาดูการประหารตระกูลกู้ที่ยิ่งใหญ่และเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายยาวนานมานับร้อยปี ทั้งสตรีและเด็กของตระกูลกู้ต่างร่ำไห้ขอความเป็นธรรมมีเพียงกู้เฟิงที่ยังคงมีสายตาแข็งกร้าวเซียวอี้เหิงมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังรออยู่ รอเวลาที่กู้รั่วอวิ๋นจะปรากฏตัว กู้รั่วอวิ๋นที่แฝงตัวมากับชาวเมืองมองไปที่บิดาและพี่ชายของนางด้วยดวงตาแดงก่ำ นางไม่รู้ว่าจะมีโอกาสช่วยเหลือบิดาและพี่ชายของนางมากเท่าใด แต่ที่แน่ๆ เซียวอี้เหิงจะต้องวางกับดักไว้รอนางแล้วอย่างแน่นอน เป็นนางที่จะยอมกระโดดลงไปในกับดักนั่นหรือไม่การประหารเริ่มต้นขึ้นนายทหารที่ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตกว่ายี่สิบคนเดินตรงมาที่สมาชิกของสกุลกู้ พวกเขาต่าง
ก่อนการประหารสกุลกู้ในข้อหาก่อกบฏเสี่ยวหลันจื่อ ที่ออดอ้อนขอให้เซียวอี้เหิง พานางและทุกคนออกไปเดินเที่ยวตลาดของเมืองหลวง เซียวอี้เหิงที่ทนการรบเร้าของนางไม่ได้จึงให้ฉีเหลยเป็นองครักษ์พร้อมด้วยฉีอิงกับฉีหลิงเขายังไม่วางใจเรื่องของกู้รั่วอวิ๋น เขาเกรงว่าข่าวที่ได้มาว่านางอยู่ที่แคว้นฉู่จะกลายเป็นข่าวลวง บางทีนางอาจอยู่ที่นี่แล้วก็ได้เซียวอี้เหิงให้คนของเขาตามหาทั้งในที่ลับและที่แจ้งติดประกาศไปทั่วเมืองวางเงินรางวัลนำจับสูงลิ่วเพื่อกดดันให้นางออกมา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากให้เสี่ยวหลันจื่อออกไปนอกจวน เพราะเขาเกรงว่านางจะถูกคนของกู้รั่วอวิ๋นทำร้าย“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงรับรองว่าข้าจะไม่ดื้อเด็ดขาดออกไปแค่เพียงไม่นานข้าจะรีบกลับมาแล้วจะซื้อขนมมาฝากท่านนะ”เสี่ยวหลันจื่อทำเสียงออดอ้อน เซียวอี้เหิงนั้นรู้สึกหนักใจแต่ทำอย่างไรได้นางไม่ใช่สัตว์แต่นางเป็นมนุษย์ จะขังนางเอาไว้แต่ภายในจวนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ มันไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา ทางที่ดีคือเขาต้องจับตัวกู้รั่วอวิ๋นให้ได้เขาจึงจะรู้สึกวางใจที่เสี่ยวหลันจื่ออยากออกมาเที่ยวข้างนอกในวันนี้ก็เป็นเพราะหลิวหลี เมื่อวานนางมาหาเสี่
เมื่อข้ารับใช้ในเรือนมารวมตัวกันที่เรือนหลักของเซียวอี้เหิงเรียบร้อยแล้ว เซียวอี้เหิงประคองเสี่ยวหลันจื่อเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าทุกคนนางเงยหน้ามองเซียวอี้เหิงว่าเขากำลังจะทำอะไร ทุกคนในจวนชินอ๋องต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าของเสี่ยวหลันจื่อชัดๆ นางคือนางกำนัลที่ถูกส่งมาโดยไทเฮานั่นเองพวกเขาต่างทำสีหน้าหวาดกลัว มิใช่ว่านางถูกท่านอ๋องฆ่าไปแล้วหรือในตอนนั้น นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมตอนนี้นางยังตั้งครรภ์อยู่ เสียงวิจารณ์ของเหล่าข้ารับใช้เริ่มดังขึ้น“พวกเจ้าคงจะสงสัยว่าเหตุใดพระชายาของข้าถึงมีใบหน้าเหมือนกับอวี้ซูเหยาใช่หรือไม่ ถึงแม้นางจะมีใบหน้าที่เหมือนกันมากเช่นไรแต่นางคือคนละคน ที่นั่งอยู่ต่อหน้าของพวกเจ้าคือพระชายาเพียงคนเดียวของข้า นามของนางคืออวี้หลันจื่อ ข้าขอห้ามทุกคนพูดเรื่องของอวี้ซูเหยาอีกไม่ว่ากรณีใดก็ตามถ้าหากว่ามีใครที่ไม่ทำตามคิดต่อต้านคำสั่งของข้า จะต้องถูกลงโทษขั้นสูงสุดตามกฏของจวนชินอ๋อง”เมื่อได้ยินเช่นนั้นข้ารับใช้ต่างหวาดกลัวไม่มีใครกล้าปริปากแม้แต่คนเดียวใครเล่าจะกล้าเหิมเกริมต่อต้านคำสั่งของท่านอ๋อง“อีกอย่างหากมีใครคิดไม่ซื่อกับข้าเหมือนที่อวี้ซูเหยาท
หลังจากที่พูดคุยกับหลิวหลีและปลอบใจนางเล็กน้อยเสี่ยวหลันจื่อก็กลับมาที่เรือนของนาง เมื่อฉีหลิงเปิดประตูเรือนทั้งสองก็เห็นเซียวอี้เหิงที่ยืนใบหน้าถมึงทึงอยู่ที่ลานบ้าน“ไปไหนมาอีกแล้วเจ้าตัวดี ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้ระวังอย่าเที่ยวออกไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าข้าจะทำอย่างไร เหตุใดถึงได้ดื้อดึงเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้”เซียวอี้เหิงดุเสี่ยวหลันจื่อเสียงอ่อน เขาไม่รู้แล้วว่าจะรับมือกับนางอย่างไรดี ดุก็ไม่ได้ตีก็ไม่ได้ หากทำให้นางร้องไห้ก็เป็นเขาซะเองที่เจ็บปวด เสี่ยวหลันจื่อยืนก้มหน้าท่าทางหูลู่หางตกเหมือนเสี่ยวหงตอนที่โดนดุ ดูน่าสงสารยิ่งนักเซียวอี้เหิงถอนหายใจ ท่าทางเช่นนี้มีหรือเขาจะใจแข็งกับนางได้“ช่างเถอะๆ ข้าไม่ดุเจ้าแล้วเลิกทำท่างทางเหมือนเสี่ยวหงเสียที มานี่มาข้างนอกอากาศยังหนาวเย็นอยู่เข้าไปในเรือนเถอะอย่าอยู่ตรงนี้เลยเดี๋ยวจะไม่สบาย”เสี่ยวหลันจื่อเดินก้มหน้าไปหาเซียวอี้เหิงเกาะแขนเขาทำท่าทางเหมือนยังเศร้าอยู่ แต่ดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาหนาของนางกลับเปล่งประกายซุกซน ตอนที่เดินตามเซียวอี้เหิงไปเสี่ยวหลันจื่อยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ฉีหลิง ท่าทางทั้งหม
อาหารมื้อเย็นผ่านไป เสี่ยวหลันจื่อรั้งผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้เพื่อคุยเรื่องที่นางจะกลับไปที่จวนชินอ๋อง และเสี่ยวหลันจื่อต้องการให้ท่านตากับท่านยายไปอยู่ที่นั่นกับนางด้วย“ท่านตาท่านยายเจ้าคะข้ามีเรื่องจะปรึกษากับกับท่านทั้งสอง ตอนนี้ครรภ์ของข้าก็เกือบจะแปดเดือนแล้ว อีกไม่นานก็จะคลอดเด็กสองคนนี้ ท่านอ๋องอยากให้ข้าไปคลอดที่เมืองหลวงเพราะที่นั่นมีหมอตำแยและยังมีหมอหลวงที่เก่งกว่าที่นี่ อีกทั้งเพราะข้าต้องคลอดทีเดียวถึงสองคนเขาจึงรู้สึกไม่วางใจ แต่ข้าไม่อยากไปอยู่ที่นั่นคนเดียวข้ากลัวว่าตัวเองจะเหงาและตอนที่ข้าคลอดข้าอยากให้ท่านทั้งสองอยู่เคียงข้างข้า จะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ท่านทั้งสองไปกับข้านะเจ้าคะ”เสี่ยวหลันจื่อใช้เสียงออดอ้อนสุดฤทธิ์ นางกลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะตัดใจทิ้งบ้านเกิดของตนเพื่อไปกับนางไม่ได้“ได้สิ เจ้าเป็นหลานเพียงคนเดียวของข้า ต่อให้เจ้าไม่ขอร้องข้ากับตาแก่นี่ก็จะต้องตามเจ้าไปแน่นอน จื่อเอ๋อเจ้าสบายใจได้และคลอดเด็กทั้งสองคนออกมาอย่างปลอดภัยเถอะ”เสี่ยวหลันจื่อโน้มตัวไปกอดแม่เฒ่าสวีเเละใช้ใบหน้าถูไถที่ไหล่ของนางอย่างที่ชอบทำประจำ แต่เซียวอี้เหิงดึงนางออกมาแล้วอุ้มนางเข้าห้องไ
เซียวอี้เหิงวางเสี่ยวหลันจื่อเอาไว้ที่เก้าอี้ในห้องโถงของเรือน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะท่านตากับท่านยายไปที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าแล้ว น่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานของหลิวหลี ถ้าจะให้พูดคือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นลูกชายของพี่ชายผู้เฒ่าหลิวดังนั้นหลิวหลีจึงนับเป็นญาติของผู้เฒ่าหลิวเช่นกัน“ฉีหลิงตอนนี่เจ้าอายุเท่าไหร่” เสี่ยวหลันจื่อที่นั่งเรียบร้อยแล้วหันมาซักทันทีที่ฉีหลิงเดินตามเข้ามาในเรือน“อายุสิบเจ็ดเจ้าค่ะ” ฉีหลิงตอบทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่“เจ้ายืนคุยกับข้าได้หรือไม่ คุกเข่าเช่นนี้ข้าจะคุยกับเจ้าได้สะดวกได้อย่างไร” เสี่ยวหลันจื่อสั่งนาง ฉีหลิงมีท่าทีลังเล มองไปที่เซียวอี้เหิงอย่างหวาดๆ นางรู้ว่าพระชายานั้นใจดีขนาดไหน แต่กับนายเหนือหัวของพวกเขาแล้วต่างไม่กล้าล่วงเกิน“เจ้าทำตามที่นางบอกเถอะ ต่อไปนี้ทุกเรื่องของเจ้าสองพี่น้องข้าจะยกให้พระชายาเป็นคนดูแล นางสั่งอะไรเจ้าก็ทำตาม” เซียวอี้เหิงสั่งเสียงเรียบ“เพคะ” ฉีหลิงลุกขึ้นยืนแต่ยังคงก้มหน้า พวกเขาถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ที่เริ่มเข้าฝึกเป็นองครักษ์เงาว่าห้ามมองหน้าเจ้านายเมื่ออยู่ต่อหน้า“ฉีหลิงตั้งแต่นี้ไปเจ้าสองพี่น้องมาเป็นคนของข้าเจ้าย
ในตอนสายสองผู้เฒ่ากลับมาที่เรือนเห็นฉีเหลยนั่งอยู่ที่ห้องโถงก็รีบเข้าไปทักทายทันที“เจ้าหนุ่มเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งไปชายแดนเมื่อเดือนก่อนหรือเหตุใดกลับมาที่นี่อีกแล้วเล่า เจ้านี่ช่างทุ่มเทให้กับงานเหลือเกินคราวนี้มาด้วยเรื่องอะไรล่ะ หรือว่ามีความลับอะไรที่ต้องมาบอกพวกเราอีกหรือ ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทถูกคุมขังไปแล้วหรืออย่างไร”ผู้เฒ่าหลิวซักฉีเหลยยาวเหยียดอย่างอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนสายลับเข้าไปทุกที ตอนนั้นเขายังเคยรู้เรื่องที่เป็นความลับระดับแคว้นเชียวนะ ช่างน่าปลาบปลื้มใจเสียจริงเหมือนกับว่าเขาเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้นผู้เฒ่าหลิวทำท่าทางฝันเคลิ้มอยู่ในภวังค์คนดียว แม่เฒ่าสวีมองสามีของนางอย่างหมั่นไส้ สักวันตาเฒ่านี่คงได้ตายเพราะชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านเป็นแน่ แม่เฒ่าสวีไม่สนใจคู่ยากของตนหันมาหาฉีเหลยมองอย่างจับผิดนางกลัวว่าครั้งนี้จะมีเรื่องอีกฉีเหลยทำหน้าเหมือนกลืนหวงเหลียนเข้าไป จะทำอย่างไรได้พอเขาไปถึงที่ชายแดน ท่านอ๋องก็สั่งให้เขาติดตามกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้งเกิดเป็นฉีเหลยช่างทรมานยิ่งนัก ก้นของเขาด้านหมดแล้วเพราะขี่ม้ากลับไปกลับมาไม่ได้หย
เสี่ยวหลันจื่อเปิดประตูออกไปพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือหลู่หลิงเซียน“คุณหนูหลู่ ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” เสี่ยวหลันจื่อคิดว่าตั้งแต่วันนั้นนางน่าจะเลิกราไปเล้วไม่คิดว่าจะยังมาที่นี่อีก“เจ้าไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปข้างในหน่อยหรือ”เสี่ยวหลันจื่อเบี่ยงตัวหลบให้นางเข้ามาด้านใน เมื่อเข้ามานั่งที่ห้องโถงเรียบร้อยแล้ว หลู่หลิงเซียนเป็นคนกล่าวขึ้นก่อน“ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าบางอย่าง”หลู่หลิงเซียนเหมือนจะรู้ว่าเสี่ยวหลันจื่อคิดอะไร จึงชิงออกตัวก่อน“ดูเหมือนเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันจนสามารถไปมาหาสู่ ข้าเองก็เป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นจะช่วยอะไรคุณหนูหลู่ได้กัน”หลู่หลิงเซียนขยับตัวอย่างอึดอัด“ความจริงข้ากำลังจะแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก และมีเรื่องบางอย่างที่ข้ายังติดใจอยู่ สามีของเจ้าผู้นั้นเป็นใครกันแน่”เสี่ยวหลันจื่อมองหลู่หลิงเซียนอย่างครุ่นคิด“เจ้ารู้อะไรมา” เสี่ยวหลันจื่อถามนาง“ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน การค้าของตระกูลหลู่เหมือนจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น เดิมทีตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นแต่นึกไม่ถึงว่าถึงขั้น ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องล้มป่วยลง ตระกูลห
เซียวเทียนฉีเดินตรงมาที่หน้าโต๊ะทรงงานของหยวนหมิงฮ่องเต้เพื่อคุกเข่าคารวะ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำความเคารพแท่นฝนหมึกก็ลอยมาที่หัวของเซียวเทียนฉีอย่างแม่นยำ เลืออาบหน้าของเขาทันที ขันทีหลีที่เห็นดังนั้นถึงกับตกใจ ฝ่าบาทตีองค์ชายที่ตนเองรักที่สุด เขาได้เห็นในสิ่งทีไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว“สำนึกผิดหรือยัง เจ้าลูกอกตัญญู” หยวนหมิงฮ่องเต้ตะโกนด่าเขาลั่นห้อง“ไม่ทราบว่าลูกทำสิ่งใดผิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดบอกลูกให้เข้าใจ”หยวนหมิงฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือที่สุดไปที่เซียวเทียนฉีอีกครั้ง มันตกกระทบพื้นแตกกระจาย มีเศษของแก้วกระเด็นขึ้นมาบาดที่ใบหน้าของเขาจนเลือดออก“ยังจะมาทำไขสือ เรามีทั้งหลักฐานและพยานว่าเจ้าสมคบคิดกับรัชทายาทแคว้นฉู่เพื่อก่อสงครามขึ้น ไหนเจ้าลองหาเหตุผลดีๆ มาสักข้อให้เราไม่ต้องปลดเจ้าออกจากตำแหน่งรัชทายาทที”เซียวเทียนฉีหนังศรีษะชาวาบหลังจากที่ได้ยินหยวนหมิงฮ่องเต้พูดว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัชทายาท“ใครเป็นคนบอกเสด็จพ่อว่าลูกสมคบคิดกับแคว้นฉู่เพื่อก่อสงคราพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นเสด็จอาชินอ๋อง เสด็จพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ใส่ความลูกหรือแท้จริงเขาอาจหวังบัลลังที่เป็น