"หงหลินซิน" ท่านหญิงอับโชคแห่งหยุนหนาน ที่ต้องเดินทางมาทำพิธีล้างความโชคร้าย โดยคำสั่งของฝ่าบาทที่ส่งเขา.... "จินอวี้หาน" ราชครูหนุ่มซึ่งควบตำแหน่ง "ที่ปรึกษา"ส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ราชครูผู้เย็นชา ดุดันและเข้มงวดในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เมื่อทั้งคู่มาพบกัน ต่างฝ่ายก็ไม่ชอบหน้ากันเท่าใดนัก จินอวี้หาน : "ก็แค่สตรีน่าคาญเพียงคนเดียวทำให้ข้าต้องมาทำหน้าที่ไร้สาระนี่ถึงสามเดือน เสียเวลายิ่งนัก" หงหลินซิน : “มาถึงก็สั่งโน่นสั่งนี่ทำนั่นทำนี่ไม่ถามความเห็นข้าสักคำ เป็นคนที่มีนิสัยขัดกับหน้าตาจริง ๆ” เมื่อความไม่ชอบหน้า แต่เมื่อทั้งสองต้องอยู่ร่วมกันถึงสามเดือน ความสัมพันธ์จึงค่อย ๆ พัฒนาขึ้น(กับผีน่ะสิ) “ดูเหมือนว่าข้าเคยเตือนแล้วว่าสถานที่เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะมาเที่ยวเล่น หากว่ามีใครพบท่านที่นี่เข้าท่านจะเดือดร้อนได้” “ข้าไม่ได้…” “เงียบเถอะแล้วฟังข้าให้ดี ตอนนี้ที่อารามหย่งอินกำลังจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของท่าน หากยังอยากรอดอยู่ก็ฟังข้า จากนี้หากกล้าออกมาโดยพลการอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าแม้ว่าท่านจะเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาท”
View Moreเมืองหลวงแคว้นชิงโจว
“นั่นอย่างไรขบวนรถม้าของ “ท่านหญิงหง” ท่านหญิงอับโชคเมืองหยุนหนานที่พึ่งถูกหงชิงอ๋องส่งเข้ามาชำระล้างโชคร้ายที่อารามหย่งอัน"
“ตายจริง เห็นว่าคู่หมั้นที่จะหมั้นหมายของนางสองคนจู่ ๆ ก็ตายอย่างไร้เหตุผล คนที่สามเกรงว่าจะอับโชคเลยชิงแต่งงานกับสตรีอื่นสุดท้ายถูกนางจับได้จึงได้พากันหนี”
เสียงซุบซิบของเหล่าชาวบ้านยังคงดังแว่วเข้ามาในรถม้าของสตรีสูงศักดิ์ นับตั้งแต่เข้าประตูเมืองหลวงมาก็ไม่พ้นคำนินทาเหล่านี้ซึ่งเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง
“เฮ้อ อันปากคนไม่ว่าจะอยู่หนใดเรื่องของผู้อื่นย่อมน่าสนใจเสมอเลยสินะ”
“คุณหนูท่านไม่โกรธพวกเขาหรือเจ้าคะ ข้าฟังแล้วยังรู้สึกโกรธแทนท่านเลย”
“เจ้าจะโกรธไปทำไมกันในเมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร อีกอย่าง… ในที่สุดข้าก็ได้มาเมืองหลวงจริง ๆ เสียที”
“คุณหนู เบาหน่อยเจ้าค่ะท่านอย่าลืมสิเจ้าคะว่าท่านป่วยอยู่”
“จริงด้วย ๆ แคก แคก”
รถม้าผ่านเข้าเมืองมาแล้วจนถึงด้านหน้า "อารามหย่งอัน" ซึ่งเป็นที่ที่นางต้องมาพักอยู่ประมาณสี่เดือนนับจากนี้
“คุณหนู อารามอยู่ข้างหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรีบเอาผ้าผูกหน้ามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อรถม้าของนางจอดก็พบว่ามีคนของราชสำนักที่ส่งมาเพื่อต้อนรับนางอยู่สองสามคนพร้อมกับทหารอารักขาเกือบยี่สิบนาย อย่างไรเสียนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาทเพราะบิดาของนางคือท่านอ๋องหงเจวี๋ย ซึ่งเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ยินดีต้อนรับท่านหญิงหง”
เมื่อขุนนางในชุดเต็มยศยืนรอต้อนรับอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวคำต้อนรับแต่ในรถม้ากลับเงียบกริบจนทุกคนล้วนแปลกใจจึงได้หันมาพูดคุยกันอีกครั้ง
“ใต้เท้าเจิ้ง นี่มันยังไงกันละนี่หรือว่าคันนี้จะไม่ใช่”
“แต่ข้าว่าใช่นะเพราะตราประจำพระองค์ของท่านอ๋องอยู่ด้านหน้ารถม้านี่”
ขุนนางหนุ่มรูปงามในชุดสีน้ำเงินเข้มแบบเต็มยศ เดินก้าวออกมาพร้อมกับเดินไปตรงหน้ารถม้าอีกครั้ง
“ข้าน้อย “จินอวี้หาน” รับราชโองการฝ่าบาทให้มารอต้อนรับท่านหญิงหงขอรับ”
ประตูรถม้าเปิดออกมาหลังจากที่ “จินอวี้หาน”พูดจบ สตรีที่เดินออกมาเป็นสาวใช้พร้อมกับเปิดประตูรอให้สตรีในชุดสีม่วงอ่อนพร้อมกับสวมผ้าปิดใบหน้าเหลือเพียงดวงตามองออกมายังขุนนางทั้งสามคนที่กำลังยืนต้อนรับอยู่
“เนี่ยถงเจ้าดูสิ ข้าเป็นถึงท่านหญิงแต่ว่าฝ่าบาทกลับส่งขุนนางมารับเพียงแค่สามคน เห็นทีข่าวที่ว่าข้าเป็นสตรีอับโชคคงจะลุกลามเข้าไปถึงวังหลวงกระมัง”
“คุณหนู เบาเสียงหน่อยเจ้าค่ะ”
“หงหลินซิน” หันไปกระซิบกับสาวใช้ข้างกาย เมื่อนางเดินลงมาจึงได้รีบสั่งให้ขุนนางและคณะต้อนรับทั้งหมดเงยหน้าขึ้น
“ทุกท่านตามสบายเถอะไม่ต้องมากพิธี”
เมื่อขุนนางหนุ่มตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง “หงหลินซิน” ก็ต้องตกตะลึงในความหล่อคมคาย ใบหน้าที่หมดจดจมูกคมดุจพญาอินทรี คิ้วดุจหมึกและสายตาพิฆาตนารีตรงหน้าทำเอานางเริ่มใจสั่นระรัวขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ท่านหญิง!!”
“เนี่ยถง” สาวใช้รีบเข้ามาพยุงนางในทันทีเพราะหลินซินที่ยืนไม่อยู่เมื่อเห็นหน้าของราชครูหนุ่มตรงหน้าแต่เขาเพียงแค่มองนางนิ่ง ๆ เพียงสงสัยว่านางอาจจะเดินทางนานจนไม่สบายเพราะข่าวที่เขาได้รับรายงานมา ท่านหญิงหงผู้นี้ค่อนข้างอ่อนแอ ขี้โรคและยังอับโชคจึงต้องเดินทางมาทำพิธีขับไล่โชคร้ายที่อารามหย่งอัน
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านหญิงคงจะเดินทางนาน ใยพวกเจ้ายังไม่รีบไปเตรียมน้ำให้ท่านหญิงอาบกันอีก”
“เจ้าค่ะท่านราชครู”
สาวใช้สี่คนที่ตามเหล่าขุนนางมารีบร้อนวิ่งเข้าไปด้านในก่อนที่ขุนนางที่เหลือจะหันมามองหน้าท่านหญิงอีกครั้ง แม้ว่าจะมีผ้าขาวผูกใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้แต่พวกเขาก็พอจะรู้ว่าท่านหญิงหงผู้นี้คงจะรูปงามอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณทุกท่านที่มาต้อนรับ ที่จริงไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพียงแค่… รักษาอาการป่วยเท่านั้น”
“ข้าน้อยรับบัญชาฝ่าบาทให้มาดูแลองค์หญิงและอยู่ร่วมพิธีกรรมกับโหรหลวงตลอดช่วงสามเดือนนี้”
“ท่านหรือ ท่านคือ…”
“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าน้อยจินอวี้หานเป็นราชครูและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ส่วนอีกสองท่านคือใต้เท้าเจิ้งซางกรมพิธีการ ดูแลเรื่องการจัดพิธีขับไล่ความชั่วร้ายและที่พักให้ท่านหญิง อีกท่านคือใต้เท้าเสิ่นเจี๋ย ดูแลเรื่องความเรียบร้อยเรื่องการเงิน หากท่านหญิงต้องการเบิกจ่ายหรือต้องการสิ่งใดเพิ่มก็แจ้งกับใต้เท้าเสิ่นได้เลย ส่วนข้าน้อยจินอวี้หานจากนี้จะรับหน้าที่ดูแลความสะดวกสบายและอารักขาท่านตลอดเวลาที่ท่านพำนักอยู่ที่เมืองหลวง”
“ขอบคุณใต้เท้าทั้งสามมาก”
“ท่านหญิงเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักสักหน่อยจะดีกว่าเชิญตามข้าน้อยมาทางนี้”
“ขอบคุณ”
ใต้เท้าเจิ้งและใต้เท้าเสิ่นเดินทางกลับไปที่ประจำของตนเองโดยมิได้ตามจินอวี้หานมาด้วย ขุนนางหนุ่มผู้นี้แม้จะอายุน้อยแต่กลับพูดจาคล่องแคล่วและดูมีความรู้มากกว่าที่หงหลินซินจะกล้าพูดเล่นกับเขา
“หากท่านหญิงต้องการสิ่งใดเพิ่มก็แจ้งข้าได้ ข้าน้อยจะให้คนจัดหามาให้ตามที่ท่านต้องการ ฝ่าบาททรงกำชับมาแล้วว่าท่านหญิงต้องพักอยู่ที่นี่ด้วยความสะดวกสบายที่สุด”
“ขอบคุณใต้เท้าจิน แล้วถ้าหากข้าอยากจะไปเดินเล่นในเมือง จะสามารถทำได้หรือไม่”
“เรื่องนั้น… ย่อมได้แต่ทุกครั้งต้องมีคนออกไปด้วย”
“อะไรนะ ออกไปเองไม่ได้เช่นนั้นก็ลำบากแล้วสิ”
“ท่านหญิง ทุกอย่างฝ่าบาทคำนึงถึงความปลอดภัยของท่านหญิงมาก่อนเสมอ โปรดเข้าใจด้วย”
“ก็ได้ ๆ เช่นนั้นถ้าจะไปก็ต้องไปกับท่านแบบนี้ก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่”
“เอ่อ… เรื่องนี้ข้าคิดว่า...”
“หากไม่ได้ท่านก็แค่หลับตาข้างเดียวแล้วปล่อยข้าไป มิเช่นนั้นข้าก็จะ…”
“ท่านหญิง หากท่านต้องการออกไปเดินเล่น ข้าน้อยย่อมพาไปได้แต่คงต้องแจ้งล่วงหน้าสักหน่อย”
“น่าเบื่อเสียจริง ช่างเถอะว่าแต่ไหนล่ะที่พักของข้า”
“เชิญทางนี้”
หงหลินซินเดินตามเขาไปอย่างว่าง่ายจนถึงตำหนักด้านหลังที่มีต้นดอกเหมยที่กำลังบานอยู่ตรงหน้า ตำหนักที่แยกออกมาน่าอยู่และดูเรียบง่ายแต่ด้านในกลับตกแต่งอย่างหรูหราและเป็นส่วนตัวโดยมีทหารองครักษ์ของวังหลวงเฝ้าอยู่ด้านนอก
“เรือนนี้งดงามยิ่งนัก”
“ฝ่าบาทพิถีพิถันเลือกที่นี่ก่อนจะสั่งให้คนสร้างเรือนพักส่วนตัวให้ท่านหญิงเพื่อพักผ่อนระหว่างที่ท่านพักอยู่ในเมืองหลวง หวังว่าจะถูกใจ”
“ขอบคุณท่านราชครูจินถูกใจข้ามากเลย ดอกเหมยงั้นหรือ”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยเพราะทรงทราบมาจากท่านอ๋องว่าท่านหญิงชื่นชอบดอกเหมยและชอบดื่มชาดอกเหมยในฤดูเหมันต์มากที่สุดดังนั้นจึงได้จัดเตรียมให้ท่านเป็นพิเศษ”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยจริง ๆ เช่นนั้นเมื่อใดข้าจะได้เข้าเฝ้าพระองค์งั้นหรือ”
“เรื่องนั้นต้องให้ฝ่าบาทมีรับสั่งมาก่อนแล้วข้าน้อยจะพาท่านหญิงไปเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตัวเอง”
“อ้อ งั้นหรือ ไม่เป็นไรข้าเองก็ไม่ได้รีบขนาดนั้นว่าแล้วท่านราชครูพักอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ”
ดวงตากลมโตของหงหลินซินทำเอาราชครูจินหันไปมองด้วยความเผลอตัว แม้จะเห็นแค่ดวงตาเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่านหญิงหงผู้นี้มิใช่คนที่พูดยากอะไรและยังดูเป็นมิตรมากกว่าที่คิดเอาไว้ก่อนจะชี้ไปทางเรือนพักข้าง ๆ ซึ่งขวางเพียงแค่รั้วต้นดอกเหมยกั้นเท่านั้น
“ระหว่างที่ท่านหญิงพักอยู่ที่อารามหย่งอัน ข้าน้อยก็จะอยู่อารักขาท่านที่เรือนข้าง ๆ ดังนั้นไม่ต้องห่วงเพราะรอบ ๆ อารามแห่งนี้ยังมีองครักษ์ “เฟินหลิน” คอยอารักขาตลอดเวลา"
ห้องอาบน้ำ “มาแล้ว ๆ อวี้หยวนเจ้าอย่าเล่นขี้โกงมานี่เลยยังไม่ได้ขัดหลังเดี๋ยวท่านแม่จะบ่นเอาได้นะมานี่เร็ว ๆ เข้าพ่อจะขัดหลังให้”“ท่านพ่อเบา ๆ ขอรับ แม่นมชอบใช้บวบนั่นมาขัดให้ข้ามันเจ็บมากแต่ข้าก็อดทน แม่นมหลงบอกว่ามันจะทำให้คราบไคลที่สกปรกออกไปได้”“แม่นมพูดถูกต้องแล้ว พ่อรับปากว่าจะทำเบา ๆ”“แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ท่านแม่อาบน้ำให้ข้าจะเบามือมากกว่านี้เยอะเลย ข้าอยากจะอาบน้ำกับท่านแม่อีกขอรับ”มือของอวี้หานชะงักไปเล็กน้อยและหันไปมองหน้าลูกชายที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำและลอยของเล่นในสระกว้างแต่ไม่ทันสังเกตแววตาตึงเครียดของบิดาที่มองมาที่เขา“เจ้า... เคยให้ท่านแม่อาบน้ำให้งั้นหรือ”“ขอรับ”“แล้วนางอาบกับเจ้านานหรือไม่”“ก็นานนะขอรับ”“แล้วแม่ของเจ้า…”“ท่านแม่ทำไมหรือขอรับ”“แม่ของเจ้าถอดชุดหรือไม่ตอนที่อาบน้ำให้เจ้า”“ถอดขอรับ นางสวมเพียงชั้นในและอาบน้ำให้ข้า”“ตอนไหน”“ก็ตอนที่ท่านพ่อไปประชุมในวังหลวง”“กี่ครั้ง”“ก็… บ่อยอยู่นะขอรับ ท่านพ่อ…ท่านถามเช่นนี้ทำไม โอ๊ย!!”“อวี้หยวน! เจ้าเป็นผู้ชายนับจากนี้ไปนอกจากแม่นมและข้าเจ้าห้ามอาบน้ำกับท่านแม่ของเจ้าอีกเข้าใจหรือไม่”“ทำไมเล่าข
ห้าเดือนถัดมา หงหลินซินคลอดลูกชายได้เกือบสองเดือนแล้วเมื่อท่านอ๋องส่งข่าวมาให้จินอวี้หานทราบว่ากำลังจะเดินทางมาเยี่ยมพวกเขาที่เมืองหลวง ตอนนางคลอดจำได้ว่าองค์รัชทายาทกับพระชายามาเยี่ยมพร้อมกับมอบหยกประดับและดาบที่ทำจากทองเล็ก ๆ มามอบให้เป็นของรับขวัญหลานชาย“ไหน หลานข้าเล่าอยู่ที่ใด”“ท่านพ่อพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หลินซินกำลังให้นมอยู่ข้างใน”“งั้นหรือ เหนื่อยเจ้าแล้วนะอวี้หาน เห็นบอกว่าเจ้าตัวเล็ก “อวี้หยวน” ตัวแสบร้องกวนทั้งคืนแล้วยังไม่ยอมอยู่ห่างอกมารดาด้วยงั้นหรือ แม่นมสามคนก็เอาไม่อยู่ช่างร้ายกาจจริง ๆ”“พ่ะย่ะค่ะติดแม่เอาเรื่องเหมือนกัน กว่าที่หลินซินจะได้พักก็ตอนที่อวี้หยวนหลับพ่ะย่ะค่ะ”“เลี้ยงยากเอาการเหมือนเจ้าเลยนะนี่ ตอนที่จินฮูหยินคลอดเจ้าออกมาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นหล่าจินน่ะต้องวิ่งเต้นหาหมอและแม่นมมาช่วยนาง เฮ้อ… มาตอนนี้ดูแล้วลูกชายจะได้เจ้ามาเต็ม ๆ เลยนะ เพราะตอนที่ซินเอ๋อร์คลอดนางแทบจะไม่กวนมารดาของนางเลย”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าน่ะอยู่เห็นเจ้าคลอด ตอนนั้นเหล่าจินรีบกลับมาที่จวนเพราะทราบว่าฮูหยินคลอดบุตรชาย ตัวเจ้ากลมเหมือนแป้งทำขนม พวกเร
หลังจากเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปกว่าสามเดือน ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งองค์ชายสี่ “หมิงหรงผิงจวิ้น” ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแห่งชิงโจว หลังจากนั้นก็เริ่มให้องค์รัชทายาทดูแลเรื่องราชกิจบ้านเมืองและมอบตราพยัคฆ์ซึ่งเดิมทีเป็นของแม่ทัพจ้าวหนานเซิ่ง กลับมาให้องค์รัชทายาทดูแล “พระชายาซ่างกวนฉินเลื่อนยศเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนแม่ทัพซ่างผู้เป็นบิดาก็เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกององครักษ์เกราะขาวแทนองค์รัชทายาท”“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงลดบทบาทหน้าที่ลงไปมากแล้วสินะเจ้าคะ ท่านพี่แล้วท่านเล่าได้เลื่อนยศกับเขาด้วยหรือไม่”“ข้าน่ะหรือ ที่จริงก็อยากเป็นแค่ราชครูเช่นเดิมอยู่หรอกแต่ว่าฝ่าบาทกับท่านพ่อไม่ยอม ดังนั้นจึงต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีแทนใต้เท้าหลี่ที่ขอลาออกไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านเกิด”“ใต้เท้าหลี่ ข้าได้ข่าวว่าเขานำเถ้ากระดูกของหลี่ชิงเหมยกลับซางโจวบ้านเกิดด้วยเห็นว่าจะพาไปฝังที่เดียวกับมารดาของนาง”“ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวเล็กนี่ดิ้นเก่งไม่เบาเลย เมื่อคืนข้าลูบท้องเจ้าดูยังถูกเขาถีบตั้งหลายครั้ง ข้าสงสารเจ้าเหลือเกินแล้วฮูหยิน”“อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ไม่เป็นไรเจ้าค่ะตอนนี้ท่านพ่อก็กลับไปที่หนานหย
จวนราชครู “อาจารย์ท่านจะมาตั้งสำนักอยู่ที่เมืองหลวงจริง ๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าก็ไม่เหงาแล้ว”“แน่นอนนี่เสี่ยวซิน ข้ากับอาจารย์ตกลงกับท่านอ๋องเอาไว้แล้ว จากเมืองหลวงถึงหนานหยางไม่ได้ไกลมากหากว่าเจ้าทะเลาะกับเจ้าศิษย์เขยนั่นเมื่อไหร่ข้าก็จะพาเจ้าหนีกลับหนานหยางได้ทันที”“อะแฮ่ม… พวกเจ้าเสียมารยาทจริง ๆ อาซินเจ้าต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ารออวี้หานอยู่เขาบอกว่าจะพาคนมาพบท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือเสี่ยวซิน”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นอย่างไรพวกเขามาแล้ว เอ๊ะ… สุ่ยเฉียนคงงั้นหรือ”“ใครหรือ”“เอ่อ…”จินอวี้หานและจื่อรุ่ยพาตัวสุ่ยเฉียนคงที่แต่งกายสุภาพด้วยชุดบัณฑิตสีขาวเดินตามพวกเขามาด้านหลัง สร้างความประหลาดใจให้กับหลินซินไม่น้อยเพราะจากนายบำเรอกลายเป็นบัณฑิตเช่นนี้ก็ทำให้สุ่ยเฉียนคงดูดีขึ้นไม่น้อย“นี่อาจารย์เต๋อหราน จากนี้ท่านรับปากว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คอยช่วยดูแลสำนักที่เมืองหลวง”“ข้าน้อยสุ่ยเฉียนคงคารวะท่านอาจารย์เต๋อหราน จากนี้หากว่ามีสิ่งใดสั่งสอนหรือชี้แนะโปรดแนะนำได้เต็มที่ ศิษย์จะตั้งใจศึกษาวิถีแห่งปราชญ์และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางอีกขอรับ”“อืม ดีแล้ว ดียิ่งนักต้าจื่
หลินซินถึงกับยืนไม่อยู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ จินอวี้หานรีบพยุงนางเอาไว้ทันทีแม้ว่าเขาเองก็จะตกใจไม่น้อยไปกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้เช่นกัน“อะไรนะ นางตั้งครรภ์หรือ”"ใช่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจแต่ว่าระหว่างทางนางจะอาเจียนอยู่หลายครั้งแต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ แต่ข้าแยกไปที่อารามหย่งอันจึงได้ให้นางมากับพวกท่านแทนก็เลยไม่ทันได้บอก“ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำร้ายนาง…”“ไม่หลินซิน ท่านไม่ผิดอะไรเลยตลอดจนถึงตอนที่นางตัดสินใจบุตรในครรภ์ของนางยังปลอดภัยอยู่”“ใช่แล้วเสี่ยวซินเจ้าอย่าได้โทษตัวเองเป็นอันขาดนะ เรื่องนี้นางต่างหากที่คิดจะเอาชีวิตเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”“ข้าจะพาท่านกลับไปพักที่จวน”หลินซินทำได้เพียงกอดรอบคอของเขาเอาไว้เพื่อให้จินอวี้หานอุ้มนางกลับไปก่อนจะบอกลาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น อาจารย์และต้าจื่อตามท่านอ๋องกลับไปพักในวังตามคำสั่งของฝ่าบาทพร้อมกับเปิดตำหนักหลวงให้กับสำนักเทียนหลางได้พักผ่อนคืนนี้จวนราชครู “เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่”“ข้าจะพาท่านมาแช่น้ำอุ่นและจิบชาเพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอ อีกอย่างจะได้ทำแผลให้ท่านด้วย”“แผลนี่น่ะหรือ ไม่ได้มากเท่าใดนักหรอกอวี้หานข้าควรจะรู้สึกเช่นไรดี”“เรื่องใดหรือ
ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปที่คุกหลวงแล้ว เหลือเพียงหลี่ชิงเหมยที่ถูกจับอยู่ในรถม้า เสนาบดีหลี่เมื่อเห็นหน้าลูกสาวก็ได้แต่คร่ำครวญเพราะนางบาดเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของข้าล่ะนี่ ผู้ใดทำเจ้ากันเหมยเอ๋อร์”“นางเจ้าค่ะ… นางทำร้ายข้าเจ้าค่ะท่านพ่อ นางช่างร้ายกาจนัก ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ”เสนาบดีหลี่เซินหันไปมองหงหลินซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จินอวี้หานก็เริ่มทำให้เขาเกิดความโกรธขึ้นมา ซึ่งจินอวี้หานรู้ดีและรีบเดินออกมากันเขาเอาไว้“เจ้าหรือ เหตุใดต้องทำร้ายลูกสาวข้า นาง...”“เสนาบดีหลี่!! ฟังข้าพูดก่อนเถอะขอรับ”“ราชครูจิน ท่านคงมิได้เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่คู่หมั้นท่านทำทุกเรื่องหรอกนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพียงเท่านี้เหมยเอ๋อร์ก็ช้ำใจเพราะท่านมามากพอแล้ว”“ท่านเสนาบดีเองก็คงไม่ได้หลงเชื่อทุกสิ่งที่บุตรสาวท่านพูดโดยที่ไม่ฟังความจริงที่เกิดขึ้นหรอกกระมัง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าคนเช่นข้าไม่เคยให้ร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะกับสตรีเช่นนาง”“ข้า…เอ่อ คือว่า…”“ท่านพ่อ!! อย่าไปเชื่อพวกเขา ราชครูจินเองก็ทำร้ายข้าด้วยเช่นกัน”“อะไรนะ ท่าน!”“คุณหนูหลี่เหตุใดท่านไม่พูดให้จบ
“องค์หญิงห้าปากดีเกินไปแล้ว ข้าน่ะหรือจะเป็นคนขี้ขลาดถึงเพียงนั้น”"จ้าวหนานเซิ่ง" พี่ชายของจ้าวเซี่ยจวินฮองเฮาเดินออกมาพร้อมกับรองแม่ทัพและหน่วยคุ้มกัน เมื่อเห็นว่าทั้งหมดถูกล้อมเอาไว้เขาจึงคิดแผนการใหม่ให้ล่าถอยออกไปเพื่อตั้งทัพใหม่เข้าวังหลวง“ไม่พบกันนาน นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะทรงตั้งท่านให้ขึ้นมาคุมกองทัพองครักษ์ป้ายทองจริง ๆ”“เฮ้อ.. ท่านเองก็โง่ดักดานอยู่เมืองใต้เสียนาน แม้ว่าจะแจ้งความผิดของน้องสาวท่านไปแล้วก็ยังไม่ยอมรับ ยังหาว่าเสด็จพ่อกลั่นแกล้งนาง ทั้ง ๆ ที่นางจิตใจเหี้ยมโหด หลายปีมานี้ก็สั่งฆ่าคนไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เคยสำนึกเลยสินะ”“คนที่สมควรตายก็ต้องตาย มีเรื่องอันใดไม่สมเหตุผลกันเล่าองค์หญิง ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ท่านรู้กฎข้อนี้ดีนี่”“เพราะข้ารู้ถึงได้มาล้อมพวกเจ้าเอาไว้ที่นี่”“ฮ่า ๆ ๆ ดูท่าว่าจะเสียแรงเปล่าแล้วล่ะองค์หญิง แม้ว่าจะหยุดยั้งกองทัพของข้าได้ แต่จะหยุดกองทัพที่เหลือของสกุลจ้าวที่มุ่งหน้าเข้าวังหลวงได้เช่นไรกัน”“ท่านหมายถึงกองทัพที่กลับออกไปทางอารามหย่งอันงั้นหรือ เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าแผนการของท่านไม่สำเร็จเสียแล้ว”“เจ้า!!… ราชครูจิน จินอว
หงหลินซินนั่งนิ่งเมื่อหันไปมองสายตาที่ตื่นกลัวแต่ยังกล้าข่มขู่นางอยู่ด้านใน “เจ้าแน่ใจหรือคุณหนูหลี่ว่าจะฆ่าข้าได้”“พรึด!”“โอ๊ย!!”มีดคมกริบพาดไปที่แขนของหลินซินจนเป็นรอย เลือดค่อย ๆ เริ่มไหลออกมาทีละนิด หลี่ชิงเหมยราวกับคนเสียสติเมื่อหันมามองนาง“ทีนี้เจ้ายังกล้าถามอยู่หรือไม่ว่าข้ากล้าแทงเจ้าหรือเปล่า”“เหตุใดเจ้าต้องกลัวลนลานเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเราจะชนะ… ครั้งนี้เป็นแผนการของเจ้ากับองค์ชายสามสินะ”“เจ้าหุบปากนะ!!”“หึ ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกเสียด้วยสินะ เจ้าร่วมกับองค์ชายสามแสดงละครตบตาคน แสร้งว่าโดนจับไปกองทัพของศัตรูหลอกให้จินอวี้หานพาตัวข้ามาแลกเปลี่ยน พอได้โอกาสก็จะสังหารแต่จินอวี้หานกลับเลือกที่จะปกป้องข้าและทำร้ายเจ้า แผนการของเจ้าจึงไม่สำเร็จดังนั้นจึงได้แค้นข้ามาก”“เจ้าหุบปากไปนะ!! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงให้เขาปกป้อง เขาเลือกข้าและพาเจ้ามามอบให้กับศัตรูเจ้ายังโง่เชื่อเขาอยู่งั้นหรือ นี่เจ้ามันโง่จริง ๆ ใช่หรือไม่”“เฮ้อ… หลี่ชิงเหมย คนที่โง่่คือเจ้าต่างหาก”“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามันโง่จริง ๆ หงหลินซิน โง่จนไม่รู้อะไรเลย”“ข้าน่ะหรือ ต่อให้ข้าโง่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะปกป้องข้า จิน
“ที่ท่านบอกว่าจะติดตามโดยที่มิให้พวกเขาจับได้ คือแบบนี้น่ะหรือ ท่านแน่ใจแล้วหรือ”“แม้แต่ท่านยังมองไม่ออก เจ้าพวกโง่พวกนั้นก็อย่าหวังจับข้าได้เลย อีกอย่างเจ้าน่ะหลีกไป”“คุณชาย ท่าน…”“เนี่ยถงเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปกับต้าจื่อ หากมีเจ้าไปด้วยพวกเขาจะสงสัยและเปรียบเทียบได้”“คุณหนูแต่ว่า…”“เชื่อนางเถอะ ต้าจื่อนี่พลุสัญญาณ”“ขอรับอาจารย์ ว่าแต่คนของสำนักเทียนหลางเตรียมพร้อมแล้วหรือขอรับ”“พวกเขาจะรออยู่ด้านนอกเมืองเพื่อมิให้เป็นที่สนใจ ไม่ต้องห่วงเมื่อถึงเวลาแค่เจ้าจุดพลุสัญญาณนี้ก็ใช้ได้แล้ว”“ทราบแล้วขอรับ เสี่ยวซินไปกันเถอะ”จินอวี้หานพยุงหลินซินขึ้นบนรถม้า นางถือผ้าคลุมหน้าลายดอกเหมยที่เขาซื้อให้ครั้งก่อนมาด้วยและผูกเอาไว้ก่อนที่จะหันมามองหน้าอวี้หาน“ท่านแปลกใจอันใด”“ข้าคิดว่าท่านทิ้งมันไปแล้วเสียอีก ผ้านั่น...”“ท่านตั้งใจซื้อให้ข้า แม้ครั้งหนึ่งมันจะเคยถูกข้าหลวงซานเอามาอุดปากข้าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นผ้าผูกหน้าที่ข้าชอบมากที่สุด คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าข้าขี้โรค ดังนั้นเพื่อความสมจริงครั้งนี้ก็คงต้องใช้สักหน่อย”“ข้า…”“ดูท่านทำหน้าเข้าสิ ท่านมิได้ส่งข้าไปตายเสียหน่อย ครั้งนี้หากท่าน
Comments