หากเขามองไม่ผิดเขาเห็นแววตาผิดหวังอยู่เล็กน้อยจากสายตานาง
“ท่านหญิงเดินทางมาไกล เชิญพักผ่อนก่อนเถอะเอาไว้ตอนเย็นข้าน้อยจะให้คนนำอาหารมาส่ง พรุ่งนี้จะแจ้งเรื่องกำหนดการและพิธีทั้งหมดให้ท่านทราบ”
“ขอบคุณท่านราชครู”
นางคำนับให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตำหนัก ราชครูจินเมื่อส่งนางแล้วก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองเรือนข้าง ๆ ทันที
“จื่อรุ่ย”
"ขอรับคุณชาย"
“ส่งคนจับตาดูท่านหญิงหงให้ดีอย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”
“ขอรับคุณชาย ท่านกำลังสงสัยสกุลหงด้วยหรือขอรับแต่ว่าการตายของนายท่าน…”
“ไม่ว่าคนใดในราชวงศ์ข้าจะต้องสืบให้รู้ทั้งหมด หากว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับการตายของท่านพ่อกับท่านแม่แล้วละก็ข้าจะต้องรู้ให้หมด จะได้ไม่ต้องแก้แค้นผิดคน”
“ขอรับ”
“เรื่ององค์ชายสี่ที่ไปสืบไปถึงไหนแล้ว”
“องค์ชายสี่แอบลอบคุยกับแม่ทัพซ่างจริงแต่เห็นบอกว่าเป็นการคุยกันธรรมดาเพราะว่าบุตรสาวของแม่ทัพซ่างเป็นชายาของพระองค์”
“สืบต่อไป”
“ขอรับ”
"จินอวี้หาน" บุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตที่ปรึกษาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากผลัดแผ่นดินบิดาของเขาและมารดาถูกลอบสังหารอย่างมีเงื่อนงำ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะสั่งให้เร่งสอบสวนแต่กลับไร้วี่แววคนร้ายที่ก่อเหตุ ในตอนนั้นจินอวี้หานอายุได้เพียงสิบขวบและกำลังศึกษาที่สำนักดาบอันดับหนึ่งที่เมืองหวงโจว เขาจึงเป็นทายาทสกุลจินเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต
จากนั้นฮ่องเต้จึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์และให้เขาร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงร่วมกับองค์ชายคนอื่น ๆ จนสอบเป็นขุนนางระดับเอกด้วยคะแนนสูงสุดที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำคะแนนสูงกว่าเขาได้
“คุณชาย การมาของท่านหญิงผู้นี้หรือว่าฝ่าบาทจะตั้งใจทำเพื่อให้ท่านเบี่ยงความสนใจ”
“ข้าไม่สนใจคนในราชวงศ์ พวกเขาไม่ต่างกับศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ของข้าอีกอย่างนางเองก็เป็นบุตรีของท่านอ๋องซึ่งเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท แม้จะอยู่ไกลแต่อย่างไรก็ยังเป็นคนในราชวงศ์อยู่ดี”
“แต่การตายของนายท่านกับฮูหยินในครั้งนั้นจะเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทหรือไม่เรายังไม่ทราบเลยนะขอรับ อีกอย่างจนถึงบัดนี้ฝ่าบาทเองก็มิได้นิ่งนอนพระทัยในการสืบ”
“กับฝ่าบาทข้าไม่มีความคับข้องใจ แต่กับ…”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
“เรื่องที่ทำให้พ่อข้าตายหากไม่เกี่ยวกับฮ่องเต้ก็ต้องเกี่ยวกับสตรีสูงศักดิ์ในวังหลังผู้นั้น คนที่อยู่หลังม่านใหญ่ที่คอยบงการทุกคน แม้แต่ฝ่าบาทช่วงที่ขึ้นครองบัลลังก์แรก ๆ ก็ยังต้องฟังนาง”
“แต่จู่ ๆ ฝ่าบาทก็มอบหมายให้ท่านมาดูแลท่านหญิงอับโชคผู้นี้เพราะเหตุใดกันขอรับ”
“นั่นเพราะว่ามีบางคนเริ่มระแคะระคายว่าข้าจะเริ่มสืบความจากองค์ชายสี่ซึ่งเป็นทายาทโดยตรงของฮองเฮา จึงทูลขอให้ฝ่าบาทส่งข้ามาทำงานน่าเบื่อนี่”
“นั่นสิขอรับเดิมทีหน้าที่นี้ไม่ควรจะต้องถึงมือราชครูอย่างท่านเลยด้วยซ้ำ ดูแลท่านหญิงเพียงคนเดียวแต่กลับใช้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักถึงสามคน นี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อยจริง ๆ"
“เจ้าไม่รู้หรือว่านางมีความสำคัญอย่างไร”
“จื่อรุ่ย” องครักษ์ข้างกายของจินอวี้หานหันมามองผู้เป็นนายด้วยท่าทีแปลกใจ
“ข้าน้อยโง่เขลา หรือว่าท่านหญิงผู้นี้จะมีความสำคัญมากกว่านั้นหรือขอรับ”
“นางเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาทซึ่งฮองเฮารู้ว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานนางมากเพียงใด เพื่อมิให้ข้าตามสืบเรื่องราวในอดีตจึงได้ทูลฝ่าบาทให้ข้ามาเป็นผู้ดูแลนางจนไม่มีเวลาไปตามสืบเรื่องอื่นอย่างไรเล่า”
“แผนการของพระนางช่างแยบยลยิ่งนัก เช่นนี้การที่ท่านหญิงผู้นี้เดินทางมาที่นี่ในตอนนี้ก็เป็นฝีมือฮองเฮาด้วยหรือขอรับ”
“เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจแต่จู่ ๆ ก็ส่งท่านหญิงต่างเมืองมาให้ข้าดูแลนั่นก็ชัดเจนว่าต้องการยับยั้งบางอย่าง ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงจะไปแตะฝ่าเท้าผู้ใดเข้าเป็นแน่ถึงได้รีบดิ้นรนราวถูกน้ำร้อนลวกเช่นนี้”
“แล้วจะให้ทำเช่นไรกับนางขอรับ”
“ดูไปก่อน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีภัยอะไรกับพวกเรา”
“ขอรับ”
สายตานิ่งเรียบดุจกระบี่มองไปยังเรือนดอกเหมยที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นภารกิจที่เขาไม่เต็มใจรับแต่ในเมื่อเป็นพระประสงค์และคำสั่งของฝ่าบาทเขาจึงมิกล้าขัด อย่างน้อยเขาก็ยังมีฝ่าบาทที่คอยหนุนอยู่แม้ว่าฝั่งวังหลังจะพยายามขัดขวางการสืบคดีของเขาอยู่ก็ตาม
“หงหลินซิน ต้องติดอยู่กับเจ้าไปอีกสามเดือนช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อยิ่งนัก คิดว่าขังข้าเอาไว้ที่อารามเช่นนี้แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้งั้นหรือ พวกท่านประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”
เย็นวันนั้น
จินอวี้หานเดินเข้ามาพบกับท่านหญิงหงด้านในเรือนพัก เขาทราบว่านางพึ่งกินข้าวเย็นเสร็จจึงได้มานั่งรอ ไม่นานนางก็เดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าและต้องทำให้เขาตะลึงไปชั่วขณะ เพราะใบหน้าที่ปราศจากสิ่งปกปิดนั้นงดงามกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้มากนัก ทั้งดูไร้เดียงสา น่าหลงใหลและยังดูลึกลับมีความนัยอย่างที่เขาก็มิอาจจะอธิบายได้หมด
“ท่านราชครูจิน”
“ท่านหญิง! ขออภัยข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”
“ท่านคิดอะไรอยู่ถึงได้เหม่อลอยเช่นนั้นข้าเรียกท่านตั้งนานแล้ว”
“เอ่อ ท่านหญิงเหตุใดจึงไม่สวมผ้าคลุมหน้า”
“ผ้านั่นน่ะหรือ ก็เพราะข้าหายใจไม่ออกน่ะสิจะให้ใส่ทุกเวลาตลอดสามเดือนคงไม่ใช่กระมังท่านราชครู อย่างน้อยเวลาเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างไรเสียก็ต้องถอดอยู่ดี ข้าก็แค่สวมมันตอนที่เข้าเมืองกับ… เอ่อ ช่างเถอะเห็นเนี่ยถงบอกว่าท่านมารอพบข้ามิใช่หรือ”
“นี่คือกำหนดการที่ท่านโหรหลวงส่งมาให้ พิธีเหล่านี้มิได้ทำภายในวันเดียวแต่บางอย่างก็ต้องทำเกือบทุกวันอย่างเช่นการสวดมนต์”
“สวดมนต์ อาบน้ำท่ามกลางแสงจันทรา ทำพิธีปัดรังควานแล้วยังมี… ไหว้ฟ้าดินเพื่อขอขมาทวยเทพ”
“อาจจะยุ่งยากไปหน่อยแต่ต้องทำให้ครบทั้งแผ่นดินเบื้องล่างและสวรรค์เบื้องบน เบื้องหน้าคือบุพการีเบื้องหลังคือบรรพชนผู้ล่วงลับ ดังนั้นจึงต้องทำอย่างเคร่งครัด ไม่ต้องห่วงเพราะข้าจะอยู่กับท่าน”
“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นแต่ว่าส่วนใหญ่พิธีพวกนี้ทำไมต้องทำในตอนกลางคืนด้วยเล่า”
“แล้วท่านไม่อยากทำกลางคืนเพราะอะไรกันล่ะ”
“หมดสนุกกันพอดี นี่ท่านราชครูท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าในเมืองหลวงนี้มีสถานที่หนึ่งซึ่งข้าอยากไปมาก ๆ และมันก็น่าจะเปิดในเวลากลางคืน”
“ท่านหมายถึงที่ใดกัน”
หงหลินซินยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มของนางทำเอาหัวใจของราชครูหนุ่มกระตุกเล็กน้อย เขาที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอิสตรีมาก่อนแทบจะตั้งสติไม่อยู่แม้ว่าสตรีในเมืองหลวงที่งดงามจะมีมากและเขาเองก็เป็นที่หมายปองจากพวกนางหลาย ๆ คนแต่ยังไม่เคยรู้สึกใจเต้นกับผู้หญิงคนใดมาก่อนเลย
“ท่านเป็นชายอาจจะไม่สนใจสถานที่แบบนี้แต่ข้าน่ะ อยากจะไปสัมผัสบรรยากาศเช่นนั้นสักครั้ง”
“ท่านหญิง นี่ท่านคงจะมิได้หมายถึง… หอคณิกาชายที่เขตท้ายเมืองนั่นหรอกนะ"
“ท่านก็รู้จักหรอกหรือ คิดว่าท่านเป็นถึงราชครูคงจะฝักใฝ่แต่เรื่องการเรียนและเคร่งเรื่องธรรมเนียมตามแบบชาววังเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะรู้จัก เช่นนั้นท่าน…”“เหตุใดท่านหญิงจึงได้สนใจสถานที่เช่นนั้น ที่นั่นไม่เหมาะกับสตรีสูงศักดิ์เช่นท่าน”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ไหน ๆ ก็มีโอกาสได้เข้ามาถึงเมืองหลวง อีกอย่างก็ไม่ต้องวุ่นวายอยู่ในวังข้าเองก็แค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็เท่านั้นเอง”“ข้าคิดว่าท่านหญิงควรเอาเวลาที่คิดจะทำเรื่องเหล่านั้นมาตั้งใจประกอบพิธีที่ทางท่านโหรจัดทำมาให้จะดีกว่า ข้าน้อยจะได้ไปทูลฝ่าบาทได้เรื่องความคืบหน้าเรื่องพิธีล้างความอับโชคของท่าน”“แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามให้ข้าออกไปข้างนอกนี่จริงหรือไม่”“เอ่อ เรื่องนั้น…”“เอาเถอะ ๆ ข้าเองก็ไม่ได้ว่าจะไปวันนี้และไม่อยากทำให้ท่านราชครูต้องลำบากใจนักหรอกเอาเป็นว่าข้ายินดีที่จะตามพิธีการที่ท่านว่ามาทุกอย่างแต่ท่านก็ช่วยข้าสักหน่อย หากว่าข้าอยากจะไปที่ใดท่านก็แค่…”“หากมิใช่สถานที่ที่ไม่สมควร ข้าน้อยย่อมช่วยเหลือได้อยู่แล้วหากว่าท่านหญิงไม่มีเรื่องใดจะสอบถามเช่นนั้นคืนนี้ก็พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องสวดมนต์ตอนเช้าครึ่งชั่วยา
หงหลินซินอ้าปากค้างเพราะไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใครแต่เมื่อเขาดึงนางเข้าไปจนชิดและกระซิบมาที่ข้างหูนางจึงได้รู้ทันทีว่าเขาคือราชครูจินจอมโหดที่นางไม่อยากเจอที่นี่มากที่สุด“สนุกมากพอแล้ว ได้เวลากลับเสียที”“คือว่า…ว้าย!!”“เจ้าจ่ายเงินแล้วรีบตามมา”“เอ่อ…เจ้าค่ะ!”ท่านหญิงหันไปกะพริบตาและส่งสัญญาณอันตรายให้สาวใช้ทราบนางจึงรู้ทันทีว่าผู้ที่มาอุ้มท่านหญิงไปคือผู้ใด เมื่อราชครูจินอุ้มนางออกมาจากหอฉินหลันก็รีบพาขึ้นม้าและตามขึ้นไปทันที“ท่านหญิง ดูเหมือนว่าข้าเคยเตือนแล้วว่าสถานที่เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะมาเที่ยวเล่น หากว่ามีใครพบท่านที่นี่เข้าท่านจะเดือดร้อนได้”“ข้าไม่ได้…”“เงียบเถอะแล้วฟังข้าให้ดี ตอนนี้ที่อารามหย่งอันกำลังจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของท่าน หากยังอยากรอดอยู่ก็ฟังข้าแล้วห้ามเถียง จากนี้หากกล้าออกมาโดยพลการอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าแม้ว่าท่านจะเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาท”“ท่าน!!”"อยากจะลองดูก็ได้ ข้ารับคำสั่งฝ่าบาทให้มาดูแลปกป้องความปลอดภัยมิใช่ให้มาคอยเอาใจและตามใจท่าน"“…”หลินซินทำได้เพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ ปล่อยให้ราชครูจินควบม้ากลับอารามด้วยความเร็ว นางไม่กล้าถามเขาเสียด้วยซ้ำว่าสาวใช้ขอ
หงหลินซินหันไปมองราชครูจินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และกำลังหันมามองนางเช่นกัน หลินซินกะพริบตาให้เขาข้างหนึ่งก่อนจะพยักพเยิดไปทางสาวใช้ของฮองเฮาที่กำลังก้มหน้าเมื่อพบนาง ราชครูจินที่พึ่งตั้งสติได้ก็หันมาทันที“ยังไม่รีบคำนับท่านหญิงหงอีก หรือจะต้องให้ข้ารายงานเรื่องนี้กลับไปด้วย”“ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านหญิงโปรดอภัย ข้าน้อยซานหวนชิงคารวะท่านหญิงหง”“ช่างเถอะ เห็นว่าเจ้าไร้มารยาทต่อขุนนางผู้ใหญ่ก่อนหน้านี้ก็พอรู้ว่าคงคาดหวังมารยาทอะไรมากไม่ได้เพียงแค่นึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย นี่ท่านราชครูจิน”“ขอรับ”“เดี๋ยวนี้กฎเกณฑ์ในวังหลวงหละหลวมแบบนี้เสมอเลยหรือ รับคนแบบนี้เข้าทำงานถึงในตำหนักเต๋อหนิงที่คุมทั้งวังหลัง ข้าคิดว่าวังหลังของท่านพ่อข้า… ยังจัดการดูแลได้ดีกว่านี้หากว่ามีบ่าวคนใดกล้าเสียมารยาท พวกนางคงถูกแส้ม้าฟาดจนปางตายไปแล้ว”เสียงขู่ที่เรียบเย็นนั้นทำให้ซานหวนชิงรู้สึกสั่นและกลัวขึ้นมา แม้ว่านางจะพึ่งเคยพบหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าท่านหญิงต่างเมืองจะมีท่าทีที่จัดการยากเช่นนี้“ท่านหญิงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”“ท่านหญิง ข้าน้อยสั่งลงโทษนางแล้วตอนนี้ท่านโหรก็รอท่านหญิงอยู่ในห้องพิธี เชิญตามข้ามาทางนี้ดี
หงหลินซินแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองแม้ว่าตอนที่เปลี่ยนชุดสาวใช้จะเตรียมชุดที่ค่อนข้างจะถอดง่ายเอาไว้ให้นางแต่นางมีเสื้อคลุมอีกหนึ่งชั้นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรแต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะให้นางถอดออก แม้ว่าจะมีกระโจมม่านขาวทึบกั้นอยู่ก็ตาม“แต่ว่า..”“ท่านหญิงไม่ต้องห่วงข้าขอเอาเกียรติของลูกผู้ชายรับประกันว่าจะไม่มีทางทำให้ท่านเสื่อมเสียเกียรติเป็นอันขาด และช่วงทำพิธีจะมีเพียงสาวใช้สองคนเท่านั้นที่อยู่ด้านในกับท่าน”จินอวี้หานมองนางเพื่อให้นางมั่นใจซึ่งหงหลินซินแม้ว่าจะกลัวแต่ก็ต้องทำตามคำสั่ง อย่างน้อยด้านในก็ยังมีสาวใช้อีกสองคนที่อยู่กับนางอีกทั้งด้านนอกยังมีจินอวี้หานซึ่งนางรู้สึกไว้วางใจเขาได้ตั้งแต่ที่เขาพานางกลับขึ้นเขามายังอารามก่อนที่คนของวังหลวงจะเข้ามา“ก็ได้ แต่ว่าราชครูจิน แค่ครั้งเดียวใช่หรือไม่”“คือว่าเรื่องนี้…”“ช่างเถอะ รีบทำจะได้รีบจบพิธีเร็ว ๆ”หลินซินเดินเข้าไปในกระโจมพร้อมกับเสียงถอดชุด แม้ว่าจะมีกระโจมกั้นแต่จินอวี้หานกลับพบว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำใจมิให้ได้ยินเสียงถอดชุดที่อยู่ด้านในได้ อีกทั้งคนข้างในที่ไม่ส่งเสียงทำให้จิตใจของราชครูหนุ่มพลันคิดและจินตนาการไปจนเกือบควบคุมตั
“คุณชาย ท่านหมายถึงหงชิงอ๋องบิดาของท่านหญิงหรือขอรับ”“เจ้าสั่งให้คนคุ้มกันรอบเรือนพักท่านหญิงเพิ่ม อย่าให้พวกนางที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปที่นั่นได้”“ขอรับ”ห้องนอนหงหลินซิน“คุณหนูท่านตื่นแล้ว”“เนี่ยถงนี่ข้าหลับไปหรือ”“เจ้าค่ะ ท่านราชครูอุ้มท่านกลับมาหลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่าท่านแพ้ความหนาวนะเจ้าคะ”“ดีแล้วข้าเองก็ไม่อยากให้ผู้ใดรู้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อตอนบ่ายวันนี้ ฮองเฮาส่งคนของนางมาที่นี่”“ทราบแล้วเจ้าค่ะองครักษ์ของท่านราชครูจินบอกข้าให้ระวังตัวเอาไว้แล้ว”“อืม เอายามาเถอะ”“นี่เจ้าค่ะข้าไปอุ่นมาให้ท่านแล้วดื่มตอนร้อน ๆ จะได้หายเร็ว ๆ”หลินซินรับยามาและดื่มพรวดเดียวหมด นางค่อย ๆ รวบรวมความคิดบางอย่างและหันไปมองสาวใช้ที่กำลังใช้เตาถ่านค่อย ๆ รีดไปที่เตียงของนางอีกครั้งเพื่อทำการอุ่นเตียง“เนี่ยถงเจ้ากลับมาได้อย่างไรงั้นหรือ”“ตอนที่ข้าออกมาจากหอฉินหลันก็ได้ยินเสียงพลุเจ้าค่ะ ไม่นานองครักษ์ของท่านราชครูก็มาพาตัวข้ากลับมาที่อาราม แต่พวกเขารอให้คนที่มาจากวังหลวงเข้ามาก่อนถึงได้ให้ข้าเข้ามา และกำชับว่าอย่าได้ให้ผู้ใดที่มาจากวังหลวงทราบว่าท่านออกไปจากอารามเ
รอยยิ้มอ่อนหวานที่ยั่วยวนนั้นส่งมาให้จินอวี้หานอย่างจงใจ แม้ว่าเขาจะมิได้แสดงท่าทีสนใจนางเลยก็ตาม เมื่อเห็นว่าราชครูหนุ่มไม่ตอบนางจึงค่อย ๆ หุบยิ้มลงไป“ได้สิ”“คุณชาย แต่ว่า…” / จื่อรุ่ย“จื่อรุ่ยเจ้าไปแจ้งใต้เท้าเจิ้งมาเพื่อแจ้งเกี่ยวกับกฎระเบียบของที่นี่ให้ข้าหลวงซานทราบ”“เอ่อ แต่ว่า…ท่านราชครูนี่ก็ดึกแล้วข้าเกรงว่าใต้เท้าเจิ้งน่าจะเข้านอนแล้วนะเจ้าคะ”“เจ้าก็รู้ดีนี่ข้าหลวงซานว่าตอนนี้ดึกแล้ว”“คือว่าข้าคัดอักษรตามที่ท่านสั่งเสร็จแล้วจึงนำมาส่ง ไม่คิดว่าจะดึกขนาดนี้ก็เลยเสียมารยาทดังนั้น…” “หากเจ้ารู้ว่าเสียมารยาท แล้วเหตุใดจึงมาพบข้าในเวลาเช่นนี้”“คือว่า!”“เรื่องของกฎระเบียบพรุ่งนี้ข้าจะให้ใต้เท้าเจิ้งเป็นผู้แจ้งต่อเจ้า หน้าที่ของเจ้าก็แค่มาดูแลท่านหญิง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรบกวนนางในเวลาพักผ่อน อีกอย่างหากไม่มีกิจธุระอันใดก็ไม่ควรมาวุ่นวายมาถึงเรือนพักด้านในนี้ จำเอาไว้เพียงแค่นี้ก็พอ”เมื่อเอ่ยเสร็จแล้วอวี้หานก็เดินผ่านนางไปโดยไม่ใส่ใจอีก แต่ซานหวนชิงยังไม่ยอม นางหันไปเรียกเขาเอาไว้“ท่านราชครูจิน ท่านคงไม่ลืมว่าท่านเองก็เป็นบุรุษ ท่านหญิงเป็นสตรีท่านก็คงทราบดีว่าฮองเฮาทรง
จื่อรุ่ยถึงกับตาสว่างและหายง่วงเมื่อราชครูจินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปรับน้ำเสียงให้นิ่งแต่อาการมือที่สั่นนั้นกลับปิดไม่มิด“คุณชาย ท่านสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของอดีตคู่หมั้นของท่านหญิงเกิดจากโรคภัยหรือว่าสิ่งใดกันแน่ อีกอย่างมีบุรุษหมั้นหมายถึงสามครั้งแต่กลับมิได้แต่งงานด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันเจ้าไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ”“พวกเขามิได้น่าสงสัยหรอกขอรับ ท่านต่างหากที่น่าสงสัย”“อะไรนะ เจ้าพึมพำอะไร”“เปล่าขอรับ คู่หมั้นคนแรกของท่านหญิงเป็นกองหน้ารักษาชายแดนใต้ เขาตายเพราะถูกข้าศึกฆ่าระหว่างออกรบ คนต่อมาเห็นว่าถูกสตรีที่เขาไปทำร้ายจิตใจเอาไว้วางยาพิษในสุราหลังจากที่เขาไปนัดดื่มเพื่อบอกลานาง ส่วนคนสุดท้ายเห็นว่ารักสตรีอื่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์เขาเลยพานางหนีเพราะเกรงกลัวความผิด”“เช่นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางเลย โชคร้ายอะไรกันข่าวลือเหล่านั้นช่างเหลวไหลยิ่งนัก นางก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง ใช่แล้ว”จื่อรุ่ยจับน้ำเสียงที่ระคนความดีใจได้เล็กน้อยซึ่งเขาไม่เคยเห็นจินอวี้หานใช้มาก่อน แต่เมื่อราชครูหันมามองหน้าจ
“ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ เอ๊ะผ้าของข้า…”“ไม่ต้องเก็บมันเปื้อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปซื้อในเมืองแต่ตอนนี้ท่านนั่งให้สบายก่อนเถอะ”“เอ่อ ข้าขอโทษที่ทำท่านเดือดร้อน”เขานึกขำกับคำขอโทษของนาง เขาน่ะหรือจะเดือดร้อนทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนที่เสียหายจากเรื่องนี้แท้ ๆ เขายิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีระหว่างที่พานางลงเขาไปช้า ๆช่างน่าแปลกที่ทิวทัศน์เดิม ๆ ในวันนี้กลับทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและสามารถลืมเรื่องราวเคร่งเครียดบางอย่างลงไปได้ชั่วคราว จนเข้ามาถึงในเมืองเขาก็ผูกม้าฝากไว้ที่โรงพักม้าก่อนจะพานางไปซื้อผ้าคลุมหน้าอันใหม่“ว้าว ผืนนี้ปักรูปดอกเหมย ข้าเอาผืนนี้”เขาหยิบเงินจ่ายให้นางก่อนจะรับผ้ามาจากมือนางเพื่อผูกให้ หงหลินซินแทบจะยืนไม่อยู่เมื่อจินอวี้หานเอื้อมมาสวมผ้าคลุมหน้าให้นางอย่างเบามือ“ท่านไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”“หลินซิน เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ท่าน...”“ยังไม่เรียกพี่อวี้หานอีกงั้นหรือ”“ข้า…”เขาต้องดึงนางเข้ามาเพื่อแสร้งทำเป็นผูกผ้าด้านหลังแต่หันมากระซิบ“ออกมาข้างนอกเช่นนี้ท่านจะต้องปกปิดฐานะตัวเอง ดังนั้นทำตามที่ข้าบอกมิเช่นนั้นวันนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พาท่านหญิงออกมาเที่ยว”เขาผูกผ้าคลุม
ห้องอาบน้ำ “มาแล้ว ๆ อวี้หยวนเจ้าอย่าเล่นขี้โกงมานี่เลยยังไม่ได้ขัดหลังเดี๋ยวท่านแม่จะบ่นเอาได้นะมานี่เร็ว ๆ เข้าพ่อจะขัดหลังให้”“ท่านพ่อเบา ๆ ขอรับ แม่นมชอบใช้บวบนั่นมาขัดให้ข้ามันเจ็บมากแต่ข้าก็อดทน แม่นมหลงบอกว่ามันจะทำให้คราบไคลที่สกปรกออกไปได้”“แม่นมพูดถูกต้องแล้ว พ่อรับปากว่าจะทำเบา ๆ”“แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ท่านแม่อาบน้ำให้ข้าจะเบามือมากกว่านี้เยอะเลย ข้าอยากจะอาบน้ำกับท่านแม่อีกขอรับ”มือของอวี้หานชะงักไปเล็กน้อยและหันไปมองหน้าลูกชายที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำและลอยของเล่นในสระกว้างแต่ไม่ทันสังเกตแววตาตึงเครียดของบิดาที่มองมาที่เขา“เจ้า... เคยให้ท่านแม่อาบน้ำให้งั้นหรือ”“ขอรับ”“แล้วนางอาบกับเจ้านานหรือไม่”“ก็นานนะขอรับ”“แล้วแม่ของเจ้า…”“ท่านแม่ทำไมหรือขอรับ”“แม่ของเจ้าถอดชุดหรือไม่ตอนที่อาบน้ำให้เจ้า”“ถอดขอรับ นางสวมเพียงชั้นในและอาบน้ำให้ข้า”“ตอนไหน”“ก็ตอนที่ท่านพ่อไปประชุมในวังหลวง”“กี่ครั้ง”“ก็… บ่อยอยู่นะขอรับ ท่านพ่อ…ท่านถามเช่นนี้ทำไม โอ๊ย!!”“อวี้หยวน! เจ้าเป็นผู้ชายนับจากนี้ไปนอกจากแม่นมและข้าเจ้าห้ามอาบน้ำกับท่านแม่ของเจ้าอีกเข้าใจหรือไม่”“ทำไมเล่าข
ห้าเดือนถัดมา หงหลินซินคลอดลูกชายได้เกือบสองเดือนแล้วเมื่อท่านอ๋องส่งข่าวมาให้จินอวี้หานทราบว่ากำลังจะเดินทางมาเยี่ยมพวกเขาที่เมืองหลวง ตอนนางคลอดจำได้ว่าองค์รัชทายาทกับพระชายามาเยี่ยมพร้อมกับมอบหยกประดับและดาบที่ทำจากทองเล็ก ๆ มามอบให้เป็นของรับขวัญหลานชาย“ไหน หลานข้าเล่าอยู่ที่ใด”“ท่านพ่อพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หลินซินกำลังให้นมอยู่ข้างใน”“งั้นหรือ เหนื่อยเจ้าแล้วนะอวี้หาน เห็นบอกว่าเจ้าตัวเล็ก “อวี้หยวน” ตัวแสบร้องกวนทั้งคืนแล้วยังไม่ยอมอยู่ห่างอกมารดาด้วยงั้นหรือ แม่นมสามคนก็เอาไม่อยู่ช่างร้ายกาจจริง ๆ”“พ่ะย่ะค่ะติดแม่เอาเรื่องเหมือนกัน กว่าที่หลินซินจะได้พักก็ตอนที่อวี้หยวนหลับพ่ะย่ะค่ะ”“เลี้ยงยากเอาการเหมือนเจ้าเลยนะนี่ ตอนที่จินฮูหยินคลอดเจ้าออกมาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นหล่าจินน่ะต้องวิ่งเต้นหาหมอและแม่นมมาช่วยนาง เฮ้อ… มาตอนนี้ดูแล้วลูกชายจะได้เจ้ามาเต็ม ๆ เลยนะ เพราะตอนที่ซินเอ๋อร์คลอดนางแทบจะไม่กวนมารดาของนางเลย”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าน่ะอยู่เห็นเจ้าคลอด ตอนนั้นเหล่าจินรีบกลับมาที่จวนเพราะทราบว่าฮูหยินคลอดบุตรชาย ตัวเจ้ากลมเหมือนแป้งทำขนม พวกเร
หลังจากเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปกว่าสามเดือน ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งองค์ชายสี่ “หมิงหรงผิงจวิ้น” ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแห่งชิงโจว หลังจากนั้นก็เริ่มให้องค์รัชทายาทดูแลเรื่องราชกิจบ้านเมืองและมอบตราพยัคฆ์ซึ่งเดิมทีเป็นของแม่ทัพจ้าวหนานเซิ่ง กลับมาให้องค์รัชทายาทดูแล “พระชายาซ่างกวนฉินเลื่อนยศเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนแม่ทัพซ่างผู้เป็นบิดาก็เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกององครักษ์เกราะขาวแทนองค์รัชทายาท”“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงลดบทบาทหน้าที่ลงไปมากแล้วสินะเจ้าคะ ท่านพี่แล้วท่านเล่าได้เลื่อนยศกับเขาด้วยหรือไม่”“ข้าน่ะหรือ ที่จริงก็อยากเป็นแค่ราชครูเช่นเดิมอยู่หรอกแต่ว่าฝ่าบาทกับท่านพ่อไม่ยอม ดังนั้นจึงต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีแทนใต้เท้าหลี่ที่ขอลาออกไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านเกิด”“ใต้เท้าหลี่ ข้าได้ข่าวว่าเขานำเถ้ากระดูกของหลี่ชิงเหมยกลับซางโจวบ้านเกิดด้วยเห็นว่าจะพาไปฝังที่เดียวกับมารดาของนาง”“ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวเล็กนี่ดิ้นเก่งไม่เบาเลย เมื่อคืนข้าลูบท้องเจ้าดูยังถูกเขาถีบตั้งหลายครั้ง ข้าสงสารเจ้าเหลือเกินแล้วฮูหยิน”“อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ไม่เป็นไรเจ้าค่ะตอนนี้ท่านพ่อก็กลับไปที่หนานหย
จวนราชครู “อาจารย์ท่านจะมาตั้งสำนักอยู่ที่เมืองหลวงจริง ๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าก็ไม่เหงาแล้ว”“แน่นอนนี่เสี่ยวซิน ข้ากับอาจารย์ตกลงกับท่านอ๋องเอาไว้แล้ว จากเมืองหลวงถึงหนานหยางไม่ได้ไกลมากหากว่าเจ้าทะเลาะกับเจ้าศิษย์เขยนั่นเมื่อไหร่ข้าก็จะพาเจ้าหนีกลับหนานหยางได้ทันที”“อะแฮ่ม… พวกเจ้าเสียมารยาทจริง ๆ อาซินเจ้าต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ารออวี้หานอยู่เขาบอกว่าจะพาคนมาพบท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือเสี่ยวซิน”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นอย่างไรพวกเขามาแล้ว เอ๊ะ… สุ่ยเฉียนคงงั้นหรือ”“ใครหรือ”“เอ่อ…”จินอวี้หานและจื่อรุ่ยพาตัวสุ่ยเฉียนคงที่แต่งกายสุภาพด้วยชุดบัณฑิตสีขาวเดินตามพวกเขามาด้านหลัง สร้างความประหลาดใจให้กับหลินซินไม่น้อยเพราะจากนายบำเรอกลายเป็นบัณฑิตเช่นนี้ก็ทำให้สุ่ยเฉียนคงดูดีขึ้นไม่น้อย“นี่อาจารย์เต๋อหราน จากนี้ท่านรับปากว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คอยช่วยดูแลสำนักที่เมืองหลวง”“ข้าน้อยสุ่ยเฉียนคงคารวะท่านอาจารย์เต๋อหราน จากนี้หากว่ามีสิ่งใดสั่งสอนหรือชี้แนะโปรดแนะนำได้เต็มที่ ศิษย์จะตั้งใจศึกษาวิถีแห่งปราชญ์และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางอีกขอรับ”“อืม ดีแล้ว ดียิ่งนักต้าจื่
หลินซินถึงกับยืนไม่อยู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ จินอวี้หานรีบพยุงนางเอาไว้ทันทีแม้ว่าเขาเองก็จะตกใจไม่น้อยไปกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้เช่นกัน“อะไรนะ นางตั้งครรภ์หรือ”"ใช่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจแต่ว่าระหว่างทางนางจะอาเจียนอยู่หลายครั้งแต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ แต่ข้าแยกไปที่อารามหย่งอันจึงได้ให้นางมากับพวกท่านแทนก็เลยไม่ทันได้บอก“ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำร้ายนาง…”“ไม่หลินซิน ท่านไม่ผิดอะไรเลยตลอดจนถึงตอนที่นางตัดสินใจบุตรในครรภ์ของนางยังปลอดภัยอยู่”“ใช่แล้วเสี่ยวซินเจ้าอย่าได้โทษตัวเองเป็นอันขาดนะ เรื่องนี้นางต่างหากที่คิดจะเอาชีวิตเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”“ข้าจะพาท่านกลับไปพักที่จวน”หลินซินทำได้เพียงกอดรอบคอของเขาเอาไว้เพื่อให้จินอวี้หานอุ้มนางกลับไปก่อนจะบอกลาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น อาจารย์และต้าจื่อตามท่านอ๋องกลับไปพักในวังตามคำสั่งของฝ่าบาทพร้อมกับเปิดตำหนักหลวงให้กับสำนักเทียนหลางได้พักผ่อนคืนนี้จวนราชครู “เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่”“ข้าจะพาท่านมาแช่น้ำอุ่นและจิบชาเพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอ อีกอย่างจะได้ทำแผลให้ท่านด้วย”“แผลนี่น่ะหรือ ไม่ได้มากเท่าใดนักหรอกอวี้หานข้าควรจะรู้สึกเช่นไรดี”“เรื่องใดหรือ
ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปที่คุกหลวงแล้ว เหลือเพียงหลี่ชิงเหมยที่ถูกจับอยู่ในรถม้า เสนาบดีหลี่เมื่อเห็นหน้าลูกสาวก็ได้แต่คร่ำครวญเพราะนางบาดเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของข้าล่ะนี่ ผู้ใดทำเจ้ากันเหมยเอ๋อร์”“นางเจ้าค่ะ… นางทำร้ายข้าเจ้าค่ะท่านพ่อ นางช่างร้ายกาจนัก ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ”เสนาบดีหลี่เซินหันไปมองหงหลินซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จินอวี้หานก็เริ่มทำให้เขาเกิดความโกรธขึ้นมา ซึ่งจินอวี้หานรู้ดีและรีบเดินออกมากันเขาเอาไว้“เจ้าหรือ เหตุใดต้องทำร้ายลูกสาวข้า นาง...”“เสนาบดีหลี่!! ฟังข้าพูดก่อนเถอะขอรับ”“ราชครูจิน ท่านคงมิได้เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่คู่หมั้นท่านทำทุกเรื่องหรอกนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพียงเท่านี้เหมยเอ๋อร์ก็ช้ำใจเพราะท่านมามากพอแล้ว”“ท่านเสนาบดีเองก็คงไม่ได้หลงเชื่อทุกสิ่งที่บุตรสาวท่านพูดโดยที่ไม่ฟังความจริงที่เกิดขึ้นหรอกกระมัง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าคนเช่นข้าไม่เคยให้ร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะกับสตรีเช่นนาง”“ข้า…เอ่อ คือว่า…”“ท่านพ่อ!! อย่าไปเชื่อพวกเขา ราชครูจินเองก็ทำร้ายข้าด้วยเช่นกัน”“อะไรนะ ท่าน!”“คุณหนูหลี่เหตุใดท่านไม่พูดให้จบ
“องค์หญิงห้าปากดีเกินไปแล้ว ข้าน่ะหรือจะเป็นคนขี้ขลาดถึงเพียงนั้น”"จ้าวหนานเซิ่ง" พี่ชายของจ้าวเซี่ยจวินฮองเฮาเดินออกมาพร้อมกับรองแม่ทัพและหน่วยคุ้มกัน เมื่อเห็นว่าทั้งหมดถูกล้อมเอาไว้เขาจึงคิดแผนการใหม่ให้ล่าถอยออกไปเพื่อตั้งทัพใหม่เข้าวังหลวง“ไม่พบกันนาน นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะทรงตั้งท่านให้ขึ้นมาคุมกองทัพองครักษ์ป้ายทองจริง ๆ”“เฮ้อ.. ท่านเองก็โง่ดักดานอยู่เมืองใต้เสียนาน แม้ว่าจะแจ้งความผิดของน้องสาวท่านไปแล้วก็ยังไม่ยอมรับ ยังหาว่าเสด็จพ่อกลั่นแกล้งนาง ทั้ง ๆ ที่นางจิตใจเหี้ยมโหด หลายปีมานี้ก็สั่งฆ่าคนไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เคยสำนึกเลยสินะ”“คนที่สมควรตายก็ต้องตาย มีเรื่องอันใดไม่สมเหตุผลกันเล่าองค์หญิง ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ท่านรู้กฎข้อนี้ดีนี่”“เพราะข้ารู้ถึงได้มาล้อมพวกเจ้าเอาไว้ที่นี่”“ฮ่า ๆ ๆ ดูท่าว่าจะเสียแรงเปล่าแล้วล่ะองค์หญิง แม้ว่าจะหยุดยั้งกองทัพของข้าได้ แต่จะหยุดกองทัพที่เหลือของสกุลจ้าวที่มุ่งหน้าเข้าวังหลวงได้เช่นไรกัน”“ท่านหมายถึงกองทัพที่กลับออกไปทางอารามหย่งอันงั้นหรือ เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าแผนการของท่านไม่สำเร็จเสียแล้ว”“เจ้า!!… ราชครูจิน จินอว
หงหลินซินนั่งนิ่งเมื่อหันไปมองสายตาที่ตื่นกลัวแต่ยังกล้าข่มขู่นางอยู่ด้านใน “เจ้าแน่ใจหรือคุณหนูหลี่ว่าจะฆ่าข้าได้”“พรึด!”“โอ๊ย!!”มีดคมกริบพาดไปที่แขนของหลินซินจนเป็นรอย เลือดค่อย ๆ เริ่มไหลออกมาทีละนิด หลี่ชิงเหมยราวกับคนเสียสติเมื่อหันมามองนาง“ทีนี้เจ้ายังกล้าถามอยู่หรือไม่ว่าข้ากล้าแทงเจ้าหรือเปล่า”“เหตุใดเจ้าต้องกลัวลนลานเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเราจะชนะ… ครั้งนี้เป็นแผนการของเจ้ากับองค์ชายสามสินะ”“เจ้าหุบปากนะ!!”“หึ ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกเสียด้วยสินะ เจ้าร่วมกับองค์ชายสามแสดงละครตบตาคน แสร้งว่าโดนจับไปกองทัพของศัตรูหลอกให้จินอวี้หานพาตัวข้ามาแลกเปลี่ยน พอได้โอกาสก็จะสังหารแต่จินอวี้หานกลับเลือกที่จะปกป้องข้าและทำร้ายเจ้า แผนการของเจ้าจึงไม่สำเร็จดังนั้นจึงได้แค้นข้ามาก”“เจ้าหุบปากไปนะ!! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงให้เขาปกป้อง เขาเลือกข้าและพาเจ้ามามอบให้กับศัตรูเจ้ายังโง่เชื่อเขาอยู่งั้นหรือ นี่เจ้ามันโง่จริง ๆ ใช่หรือไม่”“เฮ้อ… หลี่ชิงเหมย คนที่โง่่คือเจ้าต่างหาก”“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามันโง่จริง ๆ หงหลินซิน โง่จนไม่รู้อะไรเลย”“ข้าน่ะหรือ ต่อให้ข้าโง่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะปกป้องข้า จิน
“ที่ท่านบอกว่าจะติดตามโดยที่มิให้พวกเขาจับได้ คือแบบนี้น่ะหรือ ท่านแน่ใจแล้วหรือ”“แม้แต่ท่านยังมองไม่ออก เจ้าพวกโง่พวกนั้นก็อย่าหวังจับข้าได้เลย อีกอย่างเจ้าน่ะหลีกไป”“คุณชาย ท่าน…”“เนี่ยถงเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปกับต้าจื่อ หากมีเจ้าไปด้วยพวกเขาจะสงสัยและเปรียบเทียบได้”“คุณหนูแต่ว่า…”“เชื่อนางเถอะ ต้าจื่อนี่พลุสัญญาณ”“ขอรับอาจารย์ ว่าแต่คนของสำนักเทียนหลางเตรียมพร้อมแล้วหรือขอรับ”“พวกเขาจะรออยู่ด้านนอกเมืองเพื่อมิให้เป็นที่สนใจ ไม่ต้องห่วงเมื่อถึงเวลาแค่เจ้าจุดพลุสัญญาณนี้ก็ใช้ได้แล้ว”“ทราบแล้วขอรับ เสี่ยวซินไปกันเถอะ”จินอวี้หานพยุงหลินซินขึ้นบนรถม้า นางถือผ้าคลุมหน้าลายดอกเหมยที่เขาซื้อให้ครั้งก่อนมาด้วยและผูกเอาไว้ก่อนที่จะหันมามองหน้าอวี้หาน“ท่านแปลกใจอันใด”“ข้าคิดว่าท่านทิ้งมันไปแล้วเสียอีก ผ้านั่น...”“ท่านตั้งใจซื้อให้ข้า แม้ครั้งหนึ่งมันจะเคยถูกข้าหลวงซานเอามาอุดปากข้าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นผ้าผูกหน้าที่ข้าชอบมากที่สุด คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าข้าขี้โรค ดังนั้นเพื่อความสมจริงครั้งนี้ก็คงต้องใช้สักหน่อย”“ข้า…”“ดูท่านทำหน้าเข้าสิ ท่านมิได้ส่งข้าไปตายเสียหน่อย ครั้งนี้หากท่าน