“คุณชาย ท่านหมายถึงหงชิงอ๋องบิดาของท่านหญิงหรือขอรับ”
“เจ้าสั่งให้คนคุ้มกันรอบเรือนพักท่านหญิงเพิ่ม อย่าให้พวกนางที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปที่นั่นได้”
“ขอรับ”
ห้องนอนหงหลินซิน
“คุณหนูท่านตื่นแล้ว”
“เนี่ยถงนี่ข้าหลับไปหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านราชครูอุ้มท่านกลับมาหลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่าท่านแพ้ความหนาวนะเจ้าคะ”
“ดีแล้วข้าเองก็ไม่อยากให้ผู้ใดรู้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อตอนบ่ายวันนี้ ฮองเฮาส่งคนของนางมาที่นี่”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะองครักษ์ของท่านราชครูจินบอกข้าให้ระวังตัวเอาไว้แล้ว”
“อืม เอายามาเถอะ”
“นี่เจ้าค่ะข้าไปอุ่นมาให้ท่านแล้วดื่มตอนร้อน ๆ จะได้หายเร็ว ๆ”
หลินซินรับยามาและดื่มพรวดเดียวหมด นางค่อย ๆ รวบรวมความคิดบางอย่างและหันไปมองสาวใช้ที่กำลังใช้เตาถ่านค่อย ๆ รีดไปที่เตียงของนางอีกครั้งเพื่อทำการอุ่นเตียง
“เนี่ยถงเจ้ากลับมาได้อย่างไรงั้นหรือ”
“ตอนที่ข้าออกมาจากหอฉินหลันก็ได้ยินเสียงพลุเจ้าค่ะ ไม่นานองครักษ์ของท่านราชครูก็มาพาตัวข้ากลับมาที่อาราม แต่พวกเขารอให้คนที่มาจากวังหลวงเข้ามาก่อนถึงได้ให้ข้าเข้ามา และกำชับว่าอย่าได้ให้ผู้ใดที่มาจากวังหลวงทราบว่าท่านออกไปจากอารามเจ้าค่ะ”
“ราชครูจินรอบคอบมาก เขาจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วมากจริง ๆ”
“คุณหนูแล้วท่านกลับมาอย่างไรหรือเจ้าคะ ตอนที่ข้ามาถึงคนของวังหลวงขึ้นบันไดหน้าอารามไปกว่าครึ่งทางแล้วข้าคิดว่าท่านกับท่านราชครูจะมาทันได้เช่นไร”
“คือเรื่องนี้…”
เมื่อหวนกลับไปนึกถึงเรื่องที่นางนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับจินอวี้หานมาจนถึงอาราม ตอนที่เขาจับนางพาดบ่าและวิ่งขึ้นเขาก่อนที่คนของวังหลวงจะมาถึงอย่างหวุดหวิด อีกทั้งสั่งสาวใช้ให้เปลี่ยนชุดในอย่างรวดเร็วนั่นใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง
“คุณหนูท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ หน้าท่านแดงมากเลย”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ท่านราชครูพาข้าเข้ามาทางด้านหลังอารามก็เลยไม่พบพวกเขา”
“เช่นนี้นี่เอง”
ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอก
“ใครกันมาเวลานี้”
“ท่านหญิงข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเล็กน้อย”
“คุณหนู ราชครูจินเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาหรือ”
หลินซินรู้สึกตื่นเต้นเมื่อทราบว่าผู้ใดที่มาเคาะประตูอีกทั้งตอนนี้หัวใจนางก็เริ่มเต้นรัวไม่หยุดก่อนที่จะหาเสื้อคลุมสองสามชั้นมาสวมและเดินออกไปพบเขา
“ราชครูจิน ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้างั้นหรือ”
อวี้หานเมื่อหันมามองเห็นใบหน้าที่แดงจัดแต่ปากของนางยังคงซีดอยู่ก็รู้สึกว่านางแปลก ๆ ไป
“ท่านหญิง ท่านไม่สบายหรือเปล่าเหตุใดท่าน… จึงหน้าแดงเช่นนี้”
“ขะ ข้า… เปล่า ๆ ไม่มีอะไรเชิญท่านนั่งลงก่อน เนี่ยถงเจ้าไปเตรียมน้ำชา”
“ไม่ต้องหรอก ข้ากินดื่มมาแล้วเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“เอ่อ… เจ้าค่ะ”
แม้หลินซินจะอยากเรียกสาวใช้เอาไว้แต่ที่นี่คำสั่งราชครูจินเป็นใหญ่ดังนั้นนางจึงทำได้แค่นั่งเฉย ๆ
“ท่านมีสิ่งใดก็รีบพูดเถอะนี่ก็ดึกแล้วท่านไม่หนาวหรือ”
“ท่านหญิงข้าจะจะถามแบบไม่อ้อมค้อม เหตุใดท่านป่วยเป็นโรคแพ้ความหนาวแต่จงใจปกปิด ท่านก็เห็นรายละเอียดของพิธีกรรมทุกอย่างแล้วแต่ไม่แจ้งข้า ร่างกายของท่านสูงส่งหากเกิดเป็นอะไรขึ้นมาข้าและใต้เท้าคนอื่น ๆ จะรับผิดชอบไม่ไหวนะขอรับ”
“ที่ท่านมา ก็เพื่อจะตำหนิข้าเรื่องนี้หรอกหรือ”
“ข้ามิได้ตำหนิ ข้าแค่เป็นห่วงท่าน!!”
สีหน้าที่จริงจังกึ่งหงุดหงิดของเขาทำให้หลินซินทำตัวไม่ถูก แม้ว่าเขาจะพูดเพียงแค่พลั้งปากออกมาเพราะหน้าที่ แต่นางกลับรู้สึกร้อนวูบวาบจนไม่กล้ามองหน้าเขา จินอวี้หานเองก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้เวลาที่จะต้องพูดเรื่องแบบนี้กับนาง
“คือข้า… ข้าก็”
“ข้ารู้ว่าท่านรับคำสั่งของฝ่าบาทมาเพื่อปกป้องข้า อีกอย่างการที่ฮองเฮาส่งคนของตัวเองมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับการมาจับผิดท่าน เรื่องก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแต่จากนี้ไปข้ารับปากท่านว่าจะไม่ทำแบบวันนี้อีกท่านไม่ต้องกังวล”
“ขอบคุณท่านหญิงที่เข้าใจ”
“ข้าเป็นโรคกลัวความหนาวมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้มีท่านพ่อกับเนี่ยถงที่ทราบเมื่อตอนยังเด็กข้า… เคยป่วยเป็นปอดบวมดังนั้นจากนั้นจึงไม่ถูกกับอากาศที่หนาวเย็นและชื้น ก่อนเข้าฤดูหนาวในห้องก็ต้องเตรียมเตาอุ่นเอาไว้มากกว่าคนอื่น ๆ เมื่อปีก่อนเพราะเตรียมถ่านไฟและเตามากเกินไป เรือนพักของข้าจึงไฟไหม้แต่โชคดีที่ไม่ได้อยู่ในนั้น เพราะเรื่องนั้นจึงได้มีข่าวลือออกไปมากมายข้าจึงได้ชื่อว่าเป็นตัวซวยอย่างที่นางข้าหลวงผู้นั้นพูด”
“ไม่ใช่! ท่านอย่าไปฟังคนไร้มารยาทเช่นนั้นพูดเป็นอันขาด”
แม้ว่านางยังคงรู้สึกหนาวแต่ในหัวใจตอนนี้กลับอบอุ่นเพียงเพราะเขาเชื่อว่านางมิใช่ตัวอับโชคอย่างที่ร่ำลือกันต่อ ๆ มา เพราะเรื่องนี้ท่านอ๋องจึงได้อนุญาตให้นางมาที่เมืองหลวง ฝ่าบาททรงเป็นกังวลพระทัยเกี่ยวกับข่าวลือและสุขภาพของนาง
“ขอบคุณที่ท่านช่วยข้าในวันนี้ ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้พวกท่านเกือบเดือดร้อนเพราะข้า”
“หากท่านหญิงอยากจะออกไปเที่ยวเล่น เอาไว้หลังจากพิธีสวดมนต์เช้ากับโหรหลวงเสร็จข้าจะพาท่านไปเดินเล่น”
“จริงหรือ! ท่านจะเป็นคนพาข้าไปจริง ๆ น่ะหรือราชครูจินท่านเองก็มีด้านที่ใจดีเหมือนกับคนอื่น ๆ นี่ แค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น”
“คือข้า… เพียงแค่ ช่างเถอะคืนนี้ท่านก็พักผ่อนหากไม่มีเรื่องด่วนอันใดข้าจะหาวันพาท่านออกไปเดินเล่น”
“เช่นนั้นก็ได้ ขอบคุณท่านราชครูจิน”
“เรียกข้าว่าใต้เท้าจินก็พอ ไม่ต้องเรียกเต็มยศถึงเพียงนั้นหรอกขอรับ”
“อืม เช่นนั้นข้าเรียกเพียงชื่อของท่านได้หรือไม่”
“อะไรนะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไร ๆ หากท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร”
“ได้สิ ท่านหญิงเรียกข้าว่า "อวี้หาน" ก็ได้"
หลินซินหันมาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้เขาหลังจากผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมายมาในวันนี้ รอยยิ้มของนางทำให้หัวใจของราชครูหนุ่มเริ่มกระตุกอีกครั้งราวกับนางกำลังกะเทาะเปลือกน้ำแข็งที่เกาะกุมหัวใจของเขาออกมาทีละนิดโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน เขาเผลอยิ้มให้กับนางก่อนจะรีบบอกลา
“เช่นนั้นท่านหญิงพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ คืนนี้ดึกแล้วเรื่องยาของท่านข้าให้เนี่ยถงจดตำรับเอาไว้และสั่งคนจัดหามาเพิ่ม เวลาท่านป่วยจะได้มียาเตรียมเอาไว้”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านแล้ว”
“ขอตัวก่อน”
“แล้วพบกันพรุ่งนี้นะจินอวี้หาน”
อวี้หานที่กำลังจะเดินออกไปก็อมยิ้มให้กับคำเรียกชื่อของเขาที่ออกมาจากปากนาง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าการที่มีคนเรียกชื่อเขาเช่นนี้จะทำให้เขายิ้มได้และดีใจถึงเพียงนี้
“พบกันพรุ่งนี้…. ท่านหญิง”
เขาเดินยิ้มออกมาจากเรือนพักของนางและกำลังจะเดินกลับไปยังเรือนของตัวเองก็พบกับแขกที่มายืนรออยู่หน้าเรือน ซึ่งรอยยิ้มที่มีพลันหายไปในทันทีก่อนที่นางจะทันได้เห็น สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยเมื่อถามอีกฝ่ายอย่างไม่ยินดีที่พบนางอยู่ที่นี่
“นางข้าหลวงอย่างเจ้ามาทำอะไรที่นี่ในเวลาเช่นนี้”
ซานหวนชิงหันมาคำนับย่อให้เขาอย่างอ่อนช้อยกว่าปกติซึ่งแม้แต่จื่อรุ่ยที่ยืนด้านหลังยังรู้สึกขนลุกไม่น้อย
“ท่านราชครู ข้าน้อยอยากจะขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลท่านหญิงหงและพูดคุยกับท่านเพื่อขอคำชี้แนะสักเล็กน้อยหวังว่าท่านราชครูจะสละเวลาช่วยชี้แนะข้าด้วยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มอ่อนหวานที่ยั่วยวนนั้นส่งมาให้จินอวี้หานอย่างจงใจ แม้ว่าเขาจะมิได้แสดงท่าทีสนใจนางเลยก็ตาม เมื่อเห็นว่าราชครูหนุ่มไม่ตอบนางจึงค่อย ๆ หุบยิ้มลงไป“ได้สิ”“คุณชาย แต่ว่า…” / จื่อรุ่ย“จื่อรุ่ยเจ้าไปแจ้งใต้เท้าเจิ้งมาเพื่อแจ้งเกี่ยวกับกฎระเบียบของที่นี่ให้ข้าหลวงซานทราบ”“เอ่อ แต่ว่า…ท่านราชครูนี่ก็ดึกแล้วข้าเกรงว่าใต้เท้าเจิ้งน่าจะเข้านอนแล้วนะเจ้าคะ”“เจ้าก็รู้ดีนี่ข้าหลวงซานว่าตอนนี้ดึกแล้ว”“คือว่าข้าคัดอักษรตามที่ท่านสั่งเสร็จแล้วจึงนำมาส่ง ไม่คิดว่าจะดึกขนาดนี้ก็เลยเสียมารยาทดังนั้น…” “หากเจ้ารู้ว่าเสียมารยาท แล้วเหตุใดจึงมาพบข้าในเวลาเช่นนี้”“คือว่า!”“เรื่องของกฎระเบียบพรุ่งนี้ข้าจะให้ใต้เท้าเจิ้งเป็นผู้แจ้งต่อเจ้า หน้าที่ของเจ้าก็แค่มาดูแลท่านหญิง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรบกวนนางในเวลาพักผ่อน อีกอย่างหากไม่มีกิจธุระอันใดก็ไม่ควรมาวุ่นวายมาถึงเรือนพักด้านในนี้ จำเอาไว้เพียงแค่นี้ก็พอ”เมื่อเอ่ยเสร็จแล้วอวี้หานก็เดินผ่านนางไปโดยไม่ใส่ใจอีก แต่ซานหวนชิงยังไม่ยอม นางหันไปเรียกเขาเอาไว้“ท่านราชครูจิน ท่านคงไม่ลืมว่าท่านเองก็เป็นบุรุษ ท่านหญิงเป็นสตรีท่านก็คงทราบดีว่าฮองเฮาทรง
จื่อรุ่ยถึงกับตาสว่างและหายง่วงเมื่อราชครูจินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปรับน้ำเสียงให้นิ่งแต่อาการมือที่สั่นนั้นกลับปิดไม่มิด“คุณชาย ท่านสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ”“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของอดีตคู่หมั้นของท่านหญิงเกิดจากโรคภัยหรือว่าสิ่งใดกันแน่ อีกอย่างมีบุรุษหมั้นหมายถึงสามครั้งแต่กลับมิได้แต่งงานด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันเจ้าไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ”“พวกเขามิได้น่าสงสัยหรอกขอรับ ท่านต่างหากที่น่าสงสัย”“อะไรนะ เจ้าพึมพำอะไร”“เปล่าขอรับ คู่หมั้นคนแรกของท่านหญิงเป็นกองหน้ารักษาชายแดนใต้ เขาตายเพราะถูกข้าศึกฆ่าระหว่างออกรบ คนต่อมาเห็นว่าถูกสตรีที่เขาไปทำร้ายจิตใจเอาไว้วางยาพิษในสุราหลังจากที่เขาไปนัดดื่มเพื่อบอกลานาง ส่วนคนสุดท้ายเห็นว่ารักสตรีอื่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์เขาเลยพานางหนีเพราะเกรงกลัวความผิด”“เช่นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางเลย โชคร้ายอะไรกันข่าวลือเหล่านั้นช่างเหลวไหลยิ่งนัก นางก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง ใช่แล้ว”จื่อรุ่ยจับน้ำเสียงที่ระคนความดีใจได้เล็กน้อยซึ่งเขาไม่เคยเห็นจินอวี้หานใช้มาก่อน แต่เมื่อราชครูหันมามองหน้าจ
“ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ เอ๊ะผ้าของข้า…”“ไม่ต้องเก็บมันเปื้อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปซื้อในเมืองแต่ตอนนี้ท่านนั่งให้สบายก่อนเถอะ”“เอ่อ ข้าขอโทษที่ทำท่านเดือดร้อน”เขานึกขำกับคำขอโทษของนาง เขาน่ะหรือจะเดือดร้อนทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนที่เสียหายจากเรื่องนี้แท้ ๆ เขายิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีระหว่างที่พานางลงเขาไปช้า ๆช่างน่าแปลกที่ทิวทัศน์เดิม ๆ ในวันนี้กลับทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและสามารถลืมเรื่องราวเคร่งเครียดบางอย่างลงไปได้ชั่วคราว จนเข้ามาถึงในเมืองเขาก็ผูกม้าฝากไว้ที่โรงพักม้าก่อนจะพานางไปซื้อผ้าคลุมหน้าอันใหม่“ว้าว ผืนนี้ปักรูปดอกเหมย ข้าเอาผืนนี้”เขาหยิบเงินจ่ายให้นางก่อนจะรับผ้ามาจากมือนางเพื่อผูกให้ หงหลินซินแทบจะยืนไม่อยู่เมื่อจินอวี้หานเอื้อมมาสวมผ้าคลุมหน้าให้นางอย่างเบามือ“ท่านไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”“หลินซิน เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ท่าน...”“ยังไม่เรียกพี่อวี้หานอีกงั้นหรือ”“ข้า…”เขาต้องดึงนางเข้ามาเพื่อแสร้งทำเป็นผูกผ้าด้านหลังแต่หันมากระซิบ“ออกมาข้างนอกเช่นนี้ท่านจะต้องปกปิดฐานะตัวเอง ดังนั้นทำตามที่ข้าบอกมิเช่นนั้นวันนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พาท่านหญิงออกมาเที่ยว”เขาผูกผ้าคลุม
“เอ่อ ข้า…”“ข้าไม่แปลกใจหรอกหากว่าท่าจะคิดเช่นนั้น เอาล่ะข้าอิ่มแล้ว ไปที่อื่นกันเถอะ”นางหันไปคว้ามือของเขาเพื่อลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามา จังหวะไม่ดีเพราะนางดันหันมาและล้มใส่อ้อมกอดเขาพอซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะดึงนางแรงขนาดนั้น“เอ่อ…ขออภัยข้าก็แค่จะสวมผ้าผูกหน้าให้เจ้าก่อน”เขารีบดึงผ้าคลุมหน้าลายดอกเหมยออกมาในทันที หลินซินรีบถอยออกมาและคว้าผ้าคลุมหน้าไปผูกทันทีเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงจัดของนางตอนนี้ให้ทัน“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”นางเดินก้มหน้าเพื่อหนีเขาแต่อีกฝ่ายกลับดึงแขนนางและพาเดินออกไปได้อย่างหน้าตาเฉยจนนางนึกเลื่อมใสเขาจริง ๆ เมื่อเดินออกมาเขาก็พานางมาเดินตรอกที่ขายขนมและของเล่น ซึ่งหลินซินถึงกับลืมเรื่องที่จะต้องทำหลังจากนี้ แม้แต่จินอวี้หานเองก็ลืมเรื่องความแค้นและพานางเดินเล่นอีกทั้งยังกินถังหูลู่ที่นางซื้อมาให้อีกด้วย“หวานมากเลยเหตุใดผู้หญิงจึงชอบกินกันนักนะ”“อื้ม…. อร่อย”“อร่อยแล้วทำไมต้องหลับตาเช่นนั้น”“ก็มันเปรี้ยวมาก”เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและเช็ดปากให้นาง หลินซินเริ่มคุ้นชินกับการที่เขามักจะทำเช่นนี้จึงได้แต่ยอมให้เขาเช็ดปากให้ ราวกับเรื่องราวทุกอย่างหยุดนิ่
“คุณหนู ไม่นะหากท่านจะโบยก็โบยข้าสิ”“เจ้าไม่ต้องห่วงหากเจ้าอยากถูกโบยข้าก็จะสงเคราะห์ให้”“ช้าก่อนแม่นางซาน ท่านหญิงเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาทเหตุใดท่านสั่งลงโทษโดยพลการเช่นนี้”“ใช่ อย่างน้อยต้องรอท่านราชครูกลับมาก่อนแล้วค่อยแจ้งเขาถึงจะถูก ท่านทำเช่นนี้มิกลัวถูกท่านราชครูตำหนิเอางั้นหรือ”ซานหวนชิงชูพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาขึ้นทำให้ใต้เท้าเจิ้งและใต้เท้าเสิ่นไม่กล้าปริปากอีก“ข้าทำตามบัญชาของฮองเฮา หรือว่าใต้เท้าทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามกับการที่ท่านหญิงทำผิดกฎและแอบหนีออกไปเช่นนี้ อีกอย่างนี่ก็น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำด้วยสินะ”“เอ่อ…”“ข้าหลวงซาน ที่แท้เจ้าก็จ้องจับผิดและหาเรื่องทำโทษข้าอยู่แล้ว เอาสิหากว่าจะทำให้เจ้าหายโมโหเรื่องที่ราชครูจินเมินเฉยต่อเจ้า ข้าเข้าใจว่าเจ้าคงอยากจะระบายความแค้นกับใครสักคน ทำอย่างไรได้เล่าคนที่ไม่รักพยายามเช่นไรเขาก็ไม่ชายตาแลมองหรอก”“ท่านหญิง!! ท่านกำลังท้าทายข้าอยู่งั้นหรือ ดูเหมือนว่าท่านจะไม่กลัวเลยสินะ”“หึ ข้าน่ะหรือจะกลัว คนที่กลัวควรจะต้องเป็นเจ้าต่างหาก”“ฮ่า ๆ ๆ ท่านหญิง ท่านนี่นอกจากจะเป็นตัวซวยแล้วยังเป็นคนที่โง่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก
ฝ่าบาทที่ทรงกริ้วจนพระพักตร์แดงจัดอีกทั้งพระหัตถ์ที่กำแน่นด้วยความแค้นหากวันนี้พระองค์มิได้สั่งลงโทษนางข้าหลวงผู้นั้นคงจะไม่หายแค้นพระทัยเป็นแน่แท้“เจ้าลองว่ามา ก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหว”“กระหม่อมมีรายงานของหมอหลวงที่เข้าทำการรักษาท่านหญิงเมื่อคืนนี้มาให้ สิ่งนี้เป็นหลักฐานได้ว่านางข้าหลวงชั่วผู้นั้นลงมือโดยพลการ อาศัยความแค้นส่วนตัวและลงมือกับท่านหญิงเพื่อระบายความแค้นพ่ะย่ะค่ะ”“ดี แล้วเช่นไรต่อ ความผิดเพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้นางตายได้แล้ว!!”“ฝ่าบาท นางบังอาจแอบอ้างพระราชเสานีย์ของฮองเฮาเพื่อทำร้ายท่านหญิง กระหม่อมเกรงว่าหากมีครั้งแรกคงจะต้องมีครั้งต่อไป”“ข้าเข้าใจเจ้าแล้ว เรื่องนี้ข้าจะสั่งมิให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องสุดท้ายเพื่อมิให้ทั้งสองพระองค์ต้องบาดหมางพระทัย กระหม่อมคิดว่า….”ครึ่งชั่วยามถัดมา เสียงกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณในการประชุมราชสำนักช่วงเช้า กงกงเดินออกมาพร้อมกับประกาศต่อหน้าบรรดาขุนนางและนักโทษที่ถูกมัดอยู่ในรถนักโทษพร้อมกับความสงสัยของแต่ละคนที่เดินเข้าในท้องพระโรง แน่นอนว่าข่าวนี้ไปถึงฮองเฮาที่ตำหนักเต๋อหนิงในทันที“ว่าอย่างไรนะ”“ทูลฮองเฮา
“คุณหนูท่านจะบอกข้าว่า ท่านยอมถูกโบยเพื่อจะกำจัดข้าหลวงซานและคนของฮองเฮาออกไปจากอารามหรือเจ้าคะ”หงหลินซินยิ้มออกมาแม้ว่าจะอ่อนแรงแต่ก็เต็มไปด้วยความเลือดเย็นไม่ต่างกับรอยยิ้มของราชครูจิน เนี่ยถงพึ่งเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตอนนี้เอง ว่าทั้งหมดคงเป็นแผนการของท่านราชครูและท่านหญิงที่ร่วมกันกำจัดนางข้าหลวงไร้มารยาทผู้นั้น“แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าราชครูจะจัดการนางถึงตายแบบนั้น คิดว่าแค่สั่งโบยและเนรเทศ แต่ก็เข้าใจได้เพราะนางกล้าแอบอ้างคำสั่งฮองเฮาทำร้ายเชื้อพระวงศ์ โทษของนางไม่พ้นตายอยู่แล้ว อีกอย่างไม่คิดว่าฮองเฮาจะแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ นอกจากจะไม่ช่วยนางแล้วยังวางเฉย ถือว่าซานหวนชิงเลือกนายผิดตั้งแต่แรก”“คุณหนู ท่านโหดเหี้ยมพอ ๆ กับท่านราชครูเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”“เอายามาทาให้ข้าเถอะเร็วเข้า”“เจ้าค่ะ”เนี่ยถงหันมาหยิบยาที่หมอหลวงผสมเอาไว้ให้ทางไปที่แผลด้านหลังของท่านหญิงที่เริ่มแตก แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงมากเหมือนกับแผลของซานหวงชิง แต่สำหรับสตรีตัวเล็กอย่างหลินซินก็นับว่าหนักหนาพอสมควร“คิดไม่ถึงเลยว่าท่านราชครูที่เห็นว่าใบหน้ารูปงามดุจเซียนปั้นพอจะสวมบทโหดก็น่ากลัวจนไม่กล้าคิด”“เจ้าคิดว่าตำแ
“ท่านหญิง ท่านโกรธข้างั้นหรือที่ทำเช่นนี้ ข้าให้นางรับโทษตาย...”“ราชครูจิน ท่านเป็นคนฉลาดแม้ข้าจะร่วมเล่นละครไปกับท่านเพราะตัวข้าเองก็ต้องการที่จะกำจัดนาง แต่ข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะลงโทษนางถึงตาย”“ถึงข้าไม่ทำ ฝ่าบาทก็ต้องตัดสินพระทัยเช่นนี้ ร่างกายท่านมีค่าดุจทองพันชั่งถึงอย่างไรคนเช่นนางก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง”“ท่านน่ากลัวเกินไป ข้าไม่รู้ว่าในใจของท่านมีเรื่องใดอยู่ในนั้นบ้าง ท่านเป็นคนที่ข้าเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจและตอนนี้ท่านทำให้ข้าเริ่มกลัว”“หากท่านอยากรู้เรื่องของตัวข้า หลังจากนี้ข้า…”“ช่างเถอะถือว่าข้ามิได้พูด จินอวี้หานคนที่พาข้าเที่ยวในเมืองเมื่อวานกับราชครูจิน...ช่างแตกต่างกันมากจริง ๆ”“ฝ่าบาทเป็นห่วงอาการของท่านมาก ยังเหลือเวลาอีกประมาณสองเดือนหลังจากนี้ที่ท่านต้องทำพิธีให้ครบถ้วนตามกำหนดการเดิมของโหรหลวงและกรมวัง แม้ว่าท่านไม่อยากทำแต่เรื่องนี้ก็ได้ดำเนินการไปกว่าครึ่งแล้ว หากท่านทำพิธีเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วท่านยังอยากจะจากไป ถึงเวลานั้นข้าจะไม่รั้งท่านอีก แต่ข้าขอร้องท่าน…”“ก็ได้ ข้าจะอยู่ทำพิธีจนครบตามคำสั่งฝ่าบาท ท่านคงไม่ลืมเรื่องที่รับปากข้าเอาไว้”“ข้าจะพยายามหาเวลาให้ท่
ห้องอาบน้ำ “มาแล้ว ๆ อวี้หยวนเจ้าอย่าเล่นขี้โกงมานี่เลยยังไม่ได้ขัดหลังเดี๋ยวท่านแม่จะบ่นเอาได้นะมานี่เร็ว ๆ เข้าพ่อจะขัดหลังให้”“ท่านพ่อเบา ๆ ขอรับ แม่นมชอบใช้บวบนั่นมาขัดให้ข้ามันเจ็บมากแต่ข้าก็อดทน แม่นมหลงบอกว่ามันจะทำให้คราบไคลที่สกปรกออกไปได้”“แม่นมพูดถูกต้องแล้ว พ่อรับปากว่าจะทำเบา ๆ”“แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ท่านแม่อาบน้ำให้ข้าจะเบามือมากกว่านี้เยอะเลย ข้าอยากจะอาบน้ำกับท่านแม่อีกขอรับ”มือของอวี้หานชะงักไปเล็กน้อยและหันไปมองหน้าลูกชายที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำและลอยของเล่นในสระกว้างแต่ไม่ทันสังเกตแววตาตึงเครียดของบิดาที่มองมาที่เขา“เจ้า... เคยให้ท่านแม่อาบน้ำให้งั้นหรือ”“ขอรับ”“แล้วนางอาบกับเจ้านานหรือไม่”“ก็นานนะขอรับ”“แล้วแม่ของเจ้า…”“ท่านแม่ทำไมหรือขอรับ”“แม่ของเจ้าถอดชุดหรือไม่ตอนที่อาบน้ำให้เจ้า”“ถอดขอรับ นางสวมเพียงชั้นในและอาบน้ำให้ข้า”“ตอนไหน”“ก็ตอนที่ท่านพ่อไปประชุมในวังหลวง”“กี่ครั้ง”“ก็… บ่อยอยู่นะขอรับ ท่านพ่อ…ท่านถามเช่นนี้ทำไม โอ๊ย!!”“อวี้หยวน! เจ้าเป็นผู้ชายนับจากนี้ไปนอกจากแม่นมและข้าเจ้าห้ามอาบน้ำกับท่านแม่ของเจ้าอีกเข้าใจหรือไม่”“ทำไมเล่าข
ห้าเดือนถัดมา หงหลินซินคลอดลูกชายได้เกือบสองเดือนแล้วเมื่อท่านอ๋องส่งข่าวมาให้จินอวี้หานทราบว่ากำลังจะเดินทางมาเยี่ยมพวกเขาที่เมืองหลวง ตอนนางคลอดจำได้ว่าองค์รัชทายาทกับพระชายามาเยี่ยมพร้อมกับมอบหยกประดับและดาบที่ทำจากทองเล็ก ๆ มามอบให้เป็นของรับขวัญหลานชาย“ไหน หลานข้าเล่าอยู่ที่ใด”“ท่านพ่อพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หลินซินกำลังให้นมอยู่ข้างใน”“งั้นหรือ เหนื่อยเจ้าแล้วนะอวี้หาน เห็นบอกว่าเจ้าตัวเล็ก “อวี้หยวน” ตัวแสบร้องกวนทั้งคืนแล้วยังไม่ยอมอยู่ห่างอกมารดาด้วยงั้นหรือ แม่นมสามคนก็เอาไม่อยู่ช่างร้ายกาจจริง ๆ”“พ่ะย่ะค่ะติดแม่เอาเรื่องเหมือนกัน กว่าที่หลินซินจะได้พักก็ตอนที่อวี้หยวนหลับพ่ะย่ะค่ะ”“เลี้ยงยากเอาการเหมือนเจ้าเลยนะนี่ ตอนที่จินฮูหยินคลอดเจ้าออกมาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นหล่าจินน่ะต้องวิ่งเต้นหาหมอและแม่นมมาช่วยนาง เฮ้อ… มาตอนนี้ดูแล้วลูกชายจะได้เจ้ามาเต็ม ๆ เลยนะ เพราะตอนที่ซินเอ๋อร์คลอดนางแทบจะไม่กวนมารดาของนางเลย”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าน่ะอยู่เห็นเจ้าคลอด ตอนนั้นเหล่าจินรีบกลับมาที่จวนเพราะทราบว่าฮูหยินคลอดบุตรชาย ตัวเจ้ากลมเหมือนแป้งทำขนม พวกเร
หลังจากเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปกว่าสามเดือน ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งองค์ชายสี่ “หมิงหรงผิงจวิ้น” ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแห่งชิงโจว หลังจากนั้นก็เริ่มให้องค์รัชทายาทดูแลเรื่องราชกิจบ้านเมืองและมอบตราพยัคฆ์ซึ่งเดิมทีเป็นของแม่ทัพจ้าวหนานเซิ่ง กลับมาให้องค์รัชทายาทดูแล “พระชายาซ่างกวนฉินเลื่อนยศเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนแม่ทัพซ่างผู้เป็นบิดาก็เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกององครักษ์เกราะขาวแทนองค์รัชทายาท”“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ทรงลดบทบาทหน้าที่ลงไปมากแล้วสินะเจ้าคะ ท่านพี่แล้วท่านเล่าได้เลื่อนยศกับเขาด้วยหรือไม่”“ข้าน่ะหรือ ที่จริงก็อยากเป็นแค่ราชครูเช่นเดิมอยู่หรอกแต่ว่าฝ่าบาทกับท่านพ่อไม่ยอม ดังนั้นจึงต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีแทนใต้เท้าหลี่ที่ขอลาออกไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านเกิด”“ใต้เท้าหลี่ ข้าได้ข่าวว่าเขานำเถ้ากระดูกของหลี่ชิงเหมยกลับซางโจวบ้านเกิดด้วยเห็นว่าจะพาไปฝังที่เดียวกับมารดาของนาง”“ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวเล็กนี่ดิ้นเก่งไม่เบาเลย เมื่อคืนข้าลูบท้องเจ้าดูยังถูกเขาถีบตั้งหลายครั้ง ข้าสงสารเจ้าเหลือเกินแล้วฮูหยิน”“อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ไม่เป็นไรเจ้าค่ะตอนนี้ท่านพ่อก็กลับไปที่หนานหย
จวนราชครู “อาจารย์ท่านจะมาตั้งสำนักอยู่ที่เมืองหลวงจริง ๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าก็ไม่เหงาแล้ว”“แน่นอนนี่เสี่ยวซิน ข้ากับอาจารย์ตกลงกับท่านอ๋องเอาไว้แล้ว จากเมืองหลวงถึงหนานหยางไม่ได้ไกลมากหากว่าเจ้าทะเลาะกับเจ้าศิษย์เขยนั่นเมื่อไหร่ข้าก็จะพาเจ้าหนีกลับหนานหยางได้ทันที”“อะแฮ่ม… พวกเจ้าเสียมารยาทจริง ๆ อาซินเจ้าต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่ารออวี้หานอยู่เขาบอกว่าจะพาคนมาพบท่านเจ้าค่ะ”“ใครหรือเสี่ยวซิน”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นอย่างไรพวกเขามาแล้ว เอ๊ะ… สุ่ยเฉียนคงงั้นหรือ”“ใครหรือ”“เอ่อ…”จินอวี้หานและจื่อรุ่ยพาตัวสุ่ยเฉียนคงที่แต่งกายสุภาพด้วยชุดบัณฑิตสีขาวเดินตามพวกเขามาด้านหลัง สร้างความประหลาดใจให้กับหลินซินไม่น้อยเพราะจากนายบำเรอกลายเป็นบัณฑิตเช่นนี้ก็ทำให้สุ่ยเฉียนคงดูดีขึ้นไม่น้อย“นี่อาจารย์เต๋อหราน จากนี้ท่านรับปากว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คอยช่วยดูแลสำนักที่เมืองหลวง”“ข้าน้อยสุ่ยเฉียนคงคารวะท่านอาจารย์เต๋อหราน จากนี้หากว่ามีสิ่งใดสั่งสอนหรือชี้แนะโปรดแนะนำได้เต็มที่ ศิษย์จะตั้งใจศึกษาวิถีแห่งปราชญ์และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางอีกขอรับ”“อืม ดีแล้ว ดียิ่งนักต้าจื่
หลินซินถึงกับยืนไม่อยู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ จินอวี้หานรีบพยุงนางเอาไว้ทันทีแม้ว่าเขาเองก็จะตกใจไม่น้อยไปกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้เช่นกัน“อะไรนะ นางตั้งครรภ์หรือ”"ใช่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจแต่ว่าระหว่างทางนางจะอาเจียนอยู่หลายครั้งแต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ แต่ข้าแยกไปที่อารามหย่งอันจึงได้ให้นางมากับพวกท่านแทนก็เลยไม่ทันได้บอก“ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำร้ายนาง…”“ไม่หลินซิน ท่านไม่ผิดอะไรเลยตลอดจนถึงตอนที่นางตัดสินใจบุตรในครรภ์ของนางยังปลอดภัยอยู่”“ใช่แล้วเสี่ยวซินเจ้าอย่าได้โทษตัวเองเป็นอันขาดนะ เรื่องนี้นางต่างหากที่คิดจะเอาชีวิตเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”“ข้าจะพาท่านกลับไปพักที่จวน”หลินซินทำได้เพียงกอดรอบคอของเขาเอาไว้เพื่อให้จินอวี้หานอุ้มนางกลับไปก่อนจะบอกลาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น อาจารย์และต้าจื่อตามท่านอ๋องกลับไปพักในวังตามคำสั่งของฝ่าบาทพร้อมกับเปิดตำหนักหลวงให้กับสำนักเทียนหลางได้พักผ่อนคืนนี้จวนราชครู “เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่”“ข้าจะพาท่านมาแช่น้ำอุ่นและจิบชาเพื่อผ่อนคลายกับเรื่องที่เจอ อีกอย่างจะได้ทำแผลให้ท่านด้วย”“แผลนี่น่ะหรือ ไม่ได้มากเท่าใดนักหรอกอวี้หานข้าควรจะรู้สึกเช่นไรดี”“เรื่องใดหรือ
ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปที่คุกหลวงแล้ว เหลือเพียงหลี่ชิงเหมยที่ถูกจับอยู่ในรถม้า เสนาบดีหลี่เมื่อเห็นหน้าลูกสาวก็ได้แต่คร่ำครวญเพราะนางบาดเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของข้าล่ะนี่ ผู้ใดทำเจ้ากันเหมยเอ๋อร์”“นางเจ้าค่ะ… นางทำร้ายข้าเจ้าค่ะท่านพ่อ นางช่างร้ายกาจนัก ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ”เสนาบดีหลี่เซินหันไปมองหงหลินซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จินอวี้หานก็เริ่มทำให้เขาเกิดความโกรธขึ้นมา ซึ่งจินอวี้หานรู้ดีและรีบเดินออกมากันเขาเอาไว้“เจ้าหรือ เหตุใดต้องทำร้ายลูกสาวข้า นาง...”“เสนาบดีหลี่!! ฟังข้าพูดก่อนเถอะขอรับ”“ราชครูจิน ท่านคงมิได้เห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่คู่หมั้นท่านทำทุกเรื่องหรอกนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพียงเท่านี้เหมยเอ๋อร์ก็ช้ำใจเพราะท่านมามากพอแล้ว”“ท่านเสนาบดีเองก็คงไม่ได้หลงเชื่อทุกสิ่งที่บุตรสาวท่านพูดโดยที่ไม่ฟังความจริงที่เกิดขึ้นหรอกกระมัง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าคนเช่นข้าไม่เคยให้ร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะกับสตรีเช่นนาง”“ข้า…เอ่อ คือว่า…”“ท่านพ่อ!! อย่าไปเชื่อพวกเขา ราชครูจินเองก็ทำร้ายข้าด้วยเช่นกัน”“อะไรนะ ท่าน!”“คุณหนูหลี่เหตุใดท่านไม่พูดให้จบ
“องค์หญิงห้าปากดีเกินไปแล้ว ข้าน่ะหรือจะเป็นคนขี้ขลาดถึงเพียงนั้น”"จ้าวหนานเซิ่ง" พี่ชายของจ้าวเซี่ยจวินฮองเฮาเดินออกมาพร้อมกับรองแม่ทัพและหน่วยคุ้มกัน เมื่อเห็นว่าทั้งหมดถูกล้อมเอาไว้เขาจึงคิดแผนการใหม่ให้ล่าถอยออกไปเพื่อตั้งทัพใหม่เข้าวังหลวง“ไม่พบกันนาน นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะทรงตั้งท่านให้ขึ้นมาคุมกองทัพองครักษ์ป้ายทองจริง ๆ”“เฮ้อ.. ท่านเองก็โง่ดักดานอยู่เมืองใต้เสียนาน แม้ว่าจะแจ้งความผิดของน้องสาวท่านไปแล้วก็ยังไม่ยอมรับ ยังหาว่าเสด็จพ่อกลั่นแกล้งนาง ทั้ง ๆ ที่นางจิตใจเหี้ยมโหด หลายปีมานี้ก็สั่งฆ่าคนไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เคยสำนึกเลยสินะ”“คนที่สมควรตายก็ต้องตาย มีเรื่องอันใดไม่สมเหตุผลกันเล่าองค์หญิง ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ท่านรู้กฎข้อนี้ดีนี่”“เพราะข้ารู้ถึงได้มาล้อมพวกเจ้าเอาไว้ที่นี่”“ฮ่า ๆ ๆ ดูท่าว่าจะเสียแรงเปล่าแล้วล่ะองค์หญิง แม้ว่าจะหยุดยั้งกองทัพของข้าได้ แต่จะหยุดกองทัพที่เหลือของสกุลจ้าวที่มุ่งหน้าเข้าวังหลวงได้เช่นไรกัน”“ท่านหมายถึงกองทัพที่กลับออกไปทางอารามหย่งอันงั้นหรือ เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าแผนการของท่านไม่สำเร็จเสียแล้ว”“เจ้า!!… ราชครูจิน จินอว
หงหลินซินนั่งนิ่งเมื่อหันไปมองสายตาที่ตื่นกลัวแต่ยังกล้าข่มขู่นางอยู่ด้านใน “เจ้าแน่ใจหรือคุณหนูหลี่ว่าจะฆ่าข้าได้”“พรึด!”“โอ๊ย!!”มีดคมกริบพาดไปที่แขนของหลินซินจนเป็นรอย เลือดค่อย ๆ เริ่มไหลออกมาทีละนิด หลี่ชิงเหมยราวกับคนเสียสติเมื่อหันมามองนาง“ทีนี้เจ้ายังกล้าถามอยู่หรือไม่ว่าข้ากล้าแทงเจ้าหรือเปล่า”“เหตุใดเจ้าต้องกลัวลนลานเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเราจะชนะ… ครั้งนี้เป็นแผนการของเจ้ากับองค์ชายสามสินะ”“เจ้าหุบปากนะ!!”“หึ ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกเสียด้วยสินะ เจ้าร่วมกับองค์ชายสามแสดงละครตบตาคน แสร้งว่าโดนจับไปกองทัพของศัตรูหลอกให้จินอวี้หานพาตัวข้ามาแลกเปลี่ยน พอได้โอกาสก็จะสังหารแต่จินอวี้หานกลับเลือกที่จะปกป้องข้าและทำร้ายเจ้า แผนการของเจ้าจึงไม่สำเร็จดังนั้นจึงได้แค้นข้ามาก”“เจ้าหุบปากไปนะ!! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงให้เขาปกป้อง เขาเลือกข้าและพาเจ้ามามอบให้กับศัตรูเจ้ายังโง่เชื่อเขาอยู่งั้นหรือ นี่เจ้ามันโง่จริง ๆ ใช่หรือไม่”“เฮ้อ… หลี่ชิงเหมย คนที่โง่่คือเจ้าต่างหาก”“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามันโง่จริง ๆ หงหลินซิน โง่จนไม่รู้อะไรเลย”“ข้าน่ะหรือ ต่อให้ข้าโง่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะปกป้องข้า จิน
“ที่ท่านบอกว่าจะติดตามโดยที่มิให้พวกเขาจับได้ คือแบบนี้น่ะหรือ ท่านแน่ใจแล้วหรือ”“แม้แต่ท่านยังมองไม่ออก เจ้าพวกโง่พวกนั้นก็อย่าหวังจับข้าได้เลย อีกอย่างเจ้าน่ะหลีกไป”“คุณชาย ท่าน…”“เนี่ยถงเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปกับต้าจื่อ หากมีเจ้าไปด้วยพวกเขาจะสงสัยและเปรียบเทียบได้”“คุณหนูแต่ว่า…”“เชื่อนางเถอะ ต้าจื่อนี่พลุสัญญาณ”“ขอรับอาจารย์ ว่าแต่คนของสำนักเทียนหลางเตรียมพร้อมแล้วหรือขอรับ”“พวกเขาจะรออยู่ด้านนอกเมืองเพื่อมิให้เป็นที่สนใจ ไม่ต้องห่วงเมื่อถึงเวลาแค่เจ้าจุดพลุสัญญาณนี้ก็ใช้ได้แล้ว”“ทราบแล้วขอรับ เสี่ยวซินไปกันเถอะ”จินอวี้หานพยุงหลินซินขึ้นบนรถม้า นางถือผ้าคลุมหน้าลายดอกเหมยที่เขาซื้อให้ครั้งก่อนมาด้วยและผูกเอาไว้ก่อนที่จะหันมามองหน้าอวี้หาน“ท่านแปลกใจอันใด”“ข้าคิดว่าท่านทิ้งมันไปแล้วเสียอีก ผ้านั่น...”“ท่านตั้งใจซื้อให้ข้า แม้ครั้งหนึ่งมันจะเคยถูกข้าหลวงซานเอามาอุดปากข้าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นผ้าผูกหน้าที่ข้าชอบมากที่สุด คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าข้าขี้โรค ดังนั้นเพื่อความสมจริงครั้งนี้ก็คงต้องใช้สักหน่อย”“ข้า…”“ดูท่านทำหน้าเข้าสิ ท่านมิได้ส่งข้าไปตายเสียหน่อย ครั้งนี้หากท่าน