ชาติก่อน เมื่อเจียงเฟิ่งหัวถูกพระราชทานสมรสให้เป็นชายาอ๋องของเหิงอ๋องเซี่ยซางนั้น นางไม่ได้รับความรักจากเหิงอ๋อง นางเข้าใจว่าขอเพียงตนเองรักษาธรรมเนียมมารยาท จัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง สงบเสงี่ยมเจียมตัว อุทิศตนปรนนิบัติ ถึงขั้นโอนอ่อนเอาใจ ความจริงใจของนางจะต้องแลกความรู้สึกดีๆ มาได้อย่างแน่นอน เฝ้ารอให้ถึงวันที่อุปสรรคทั้งมวลผ่านพ้น ผู้ใดเลยจะคาดคิด ความเอ็นดูที่แม่สามีมีต่อนางมิใช่เรื่องจริง สามีใจแข็งดุจก้อนหินหากมีใจให้ชายารองกลับเป็นเรื่องจริง แม้แต่ลูกบังเกิดเกล้าทั้งสองยังถูกชายารองยุแยงให้รังเกียจนาง เกลียดชังนาง จนนางตรอมใจตายไปในวัยสามสิบห้าปี เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ได้ย้อนกลับมาตอนอายุห้าขวบ ทราบว่าจะถูกพระราชทานสมรสเป็นชายาของเหิงอ๋องตอนอายุสิบห้า ทั้งรู้ว่าวันหน้าเหิงอ๋องจะได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ฮ่องเต้ นางจึงวางแผนสิบปีอย่างใจเย็น รอให้มีราชโองการประทานสมรสแล้วค่อยแต่งงานกับเหิงอ๋อง ชาตินี้ นางจะไม่ก้มหน้ายอมจำนนงอมืองอเท้ารอความตายอีกแล้ว ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการแบบไหน นางก็จะต้องกลายเป็นมารดาของแผ่นดินให้จงได้ นางรู้เพียงว่า ผู้ใดไม่เห็นแก่ตัวแล้วไซร้ ฟ้าดินจักลงทัณฑ์ ***** ตั้งแต่ชายาอ๋อง ชายารัชทายาท ฮองเฮา ไทเฮา ไทฮองไทเฮา คอยดูเถอะว่าเจียงเฟิ่งหัวจะก้าวผ่านชีวิตอันรุ่งโรจน์นี้อย่างไร
View Moreเขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวตนของเหิงอ๋องและออกเที่ยวร่อนเร่แสวงหาความรู้ต่อไป ภายหลังจากตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหารที่พักและอาภรณ์สวมใส่อีกแล้ว เขาได้ใช้ชีวิตอย่างคนมั่งคั่งร่ำรวยไปโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนที่เขาได้พบกับซูถิงหว่านอีกครั้ง ก็พบว่าเหิงอ๋องกำลังกุมมือของนางอยู่ เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายคือเหิงอ๋อง เขาก็เลือกจะเป็นฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ด้วยตนเอง หากว่าเขาเป็นสตรี เขาเองก็ต้องเลือกเหิงอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งร่ำรวยอยู่แล้ว เขารู้ว่าซูถิงหว่านเองก็มีใจให้เขา สายตาที่มองเขาไม่เหมือนกัน เพียงแต่เหิงอ๋องมีฐานะสูงส่งกว่าก็เท่านั้น จากนั้น เขาก็ออกท่องขุนเขาเที่ยวชมลำน้ำอีกครั้ง ได้พบเจอหญิงงามจำนวนมาก งดงามกว่าซูถิงหว่าน เขาหลงระเริงกับพวกนาง สุขสำราญอย่างไร้สิ่งใดจะเปรียบเทียบ เขาได้รับข่าวว่าเหิงอ๋องกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส และสตรีที่เขาจะสมรสด้วยมิใช่ซูถิงหว่าน แต่เป็นคนอื่น เขารู้สึกแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด และรีบร้อนกลับไปปลอบโยนซูถิงหว่าน ทว่านางกลับเลือกเป็นอนุภรรยา นางต้องการใช้ชีวิตอยู่กับเหิงอ๋อง นางรักเขามากเพียงนี้เชียวหร
จีเฉินขยี้ตา หญิงสาวตรงหน้าก็อันตรธานหายไป เขารู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาพลันล่องลอยขึ้นไปกลางเวหา ทอดตาลงมองสภาพจนตรอกชวนสังเวชของตนเองในกรงขัง จากนั้นเขาก็กลายเป็นศพเย็นเยียบนอนแน่นิ่งไร้ชีวิตแบบนั้น จนถึงตอนนี้เขาถึงได้เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง จนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า ลำคอก็เหมือนถูกบีบไว้ จนคล้ายจะหายใจไม่ออก เขาลองเอื้อมมือไปแตะร่างของตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามออกแรงสักแค่ไหน เขาก็มิอาจสัมผัสร่างของเขาเองได้ แล้วจู่ ๆ เขาก็ทะยานไปกลางเวหาทะลุเข้าสู่กลุ่มเมฆดำทะมึน ด้านในนี้คล้ายกับเป็นอีกโลกหนึ่ง นอกจากท้องฟ้าเป็นสีดำ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา เรือนหลังใหญ่ที่เหลืองอร่ามวาวแวว บริวารนับร้อยคอยปรนนิบัติรับใช้ เสียงขับขานเริงระบำอันเต็มที่ กรุ่นกลิ่นสุราชั้นเลิศที่หอมหวาน สุรานารีชวนหลงใหล เขาอยู่ในสระสุราแหวกว่ายร่ายรำหาความสำราญอย่างเต็มที่ ป้ายสลักอักษรจวนจีอ๋องขนาดใหญ่สะท้อนแสงเจิดจ้าสะดุดตา พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่กลับเลือนรางมิอาจจับต้อง ความหรูหราฟุ้งเฟ้อตรงหน้าเขาเหม
“บ่าวเห็นแก่ตัวและนึกถึงเพียงประโยชน์ของตนเอง เฝ้าฝันมาตลอดว่าจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย ทว่าบัดนี้บ่าวรู้แล้วว่าบ่าวคิดผิดไป ชีวิตที่ดีมิได้มีให้สำหรับสตรีอย่างพวกบ่าว ต่อให้บ่าวจะกล่าวโทษสกุลซู ทางการก็ไม่คิดจะแตะต้องอะไรสกุลซูอยู่แล้ว เพราะว่าตราบใดที่ฝ่าบาทมิได้พยักพระพักตร์ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องล่วงเกินสกุลซูได้” เจียงเฟิ่งหัวเมื่อฟังนางกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ยิ่งไม่เกิดความรู้สึกสนใจใด ๆ ในตัวนาง อวิ๋นฟางจะเป็นหรือตายก็มิได้เกี่ยวข้องกับนาง เจียงเฟิ่งหัวหมุนตัวก็เดินจากไปทันที อวิ๋นฟางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นเนิ่นนานแล้วก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ในตอนนั้นเอง จั่วซือแห่งกรมพิธีการก็รีบเร่งเข้ามาในศาลาว่าการเขตเมืองหลวงอย่างร้อนรน “คารวะพระชายาอ๋อง” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าจั่ว” ใบหน้าของนางมิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย ท่าทางนิ่งสงบไม่ทุกข์ร้อน ราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายด้านนอกที่ทำการเมื่อสักครู่มิได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย จั่วซือจึงเอ่ยขึ้นมา “คำตัดสินออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านใต้เท้าเจ้ากรมยินดีให้แม่นางอวิ๋นฟางหย่าขาดกับสามีแล้วพ่ะย่ะค่ะ และเนื่องด้วยจี
เจียงเฟิ่งหัวและพวกเหลียนเย่ซ่อนตัวอยู่อีกฟากหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องของจีเฉินต่างก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด เหลียนเย่ถึงกับหลับตา และเอามืออุดหูไว้ แม้แต่แม่นางน้อยที่ยามปกติจะร่าเริงซุกซนยามนี้ยังรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม อ้าวเสวี่ยเองก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว สตรีอย่างอวิ๋นฟางโหดร้ายเกินไปแล้ว นางเหลือบสายตามองไปทางเจียงเฟิ่งหัวอย่างเงียบเชียบ เห็นนางเพียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ พระชายาอุบายนี้เองหรือที่เรียกว่ายืมมีดฆ่าคน โลหิตสดเปื้อนเต็มมือผู้อื่นมิได้เกี่ยวข้องกับพวกนางแม้แต่น้อย เจียงเฟิ่งหัวหลับตาลงช้า ๆ ภาพโลหิตสีแดงฉานสมองของนางยังน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ ในอดีตชาติ สีหน้าท่าทางหลงละเลิงของจีเฉินและซูถิงหว่าน ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด นางไม่มีวันลืมได้เลย ความเจ็บปวดทั้งหมดที่จีเฉินได้รับในวันนี้เขาสมควรจะได้รับมันแล้ว ตอนที่เขาต้องการจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ไม่มีความปรานีแม้เพียงสักนิด โลหิตของเหลียนเย่ย้อมทั้งตำหนักเฉินซีให้กลายเป็นสีแดงฉาน นางตายตาไม่หลับด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าใต้เท้าจั่วจะขอคำสั่งประหารตัดศีรษะจีเฉินมาให้ไม่ได้ แต่ในยามนี้ที่เขากลาย
จีเฉินรู้เพียงว่าอวิ๋นฟางต้องการหย่ากับเขา ไม่ทราบเรื่องที่เกิดด้านนอก เขาคิดว่าเจียงเฟิ่งหัวต้องพูดอะไรบางอย่างกับนางแน่ นางถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยออกมาทันใด “อวิ๋นฟาง เจ้าอย่าไปฟังคำยุยงเจียงเฟิ่งหัว นางหลอกเจ้า เจ้าคิดจะหย่ากับข้าตอนนี้ เจ้าจะโง่ไปหน่อยหรือเปล่า สตรีตัวคนเดียวอย่างเจ้าจะไปที่ไหนได้ เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าคิดหรือว่าเจียงเฟิ่งหัวจะให้เจ้ากลับจวนอ๋อง ตอนแรกเหิงอ๋องเป็นคนไล่เจ้าออกจากจวนอ๋องด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ เจ้าเป็นสตรีของข้าแล้ว เจ้าปีนขึ้นเตียงเขาไม่ได้แล้ว” อวิ๋นฟางตบหน้าเขาไปหนึ่งที “หากมิใช่เพราะเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า คนอย่างข้าหรือจะเสียตัวให้เจ้า และข้าก็ไม่วันต้องถูกไล่ออกจากจวนอ๋องไปใช้ชีวิตลำบากกับเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า” จีเฉินถูกตบ เขาคิดจะถากถางดูแคลนอวิ๋นฟางอีกสองประโยค ทว่าในตอนนี้เอง เขาพลันเหลือบสายตาไปเห็นตรงหัวมุมทางเดินมีชายเสื้อมุมหนึ่งโผล่ออกมา เขาแน่ใจว่าต้องเป็นเจียงเฟิ่งหัวที่แอบมาดักฟัง คงคิดจะมาล้วงเอาหลักฐานยืนยันจากปากพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนออกอุบายลอบสังหารพระชายาเหิงอ๋อง และต้องการสาวไปให้ถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลั
ภายในศาลาว่าการ อวิ๋นฟางพลันเรียกนางไว้ “พระชายา ท่านช่วยบ่าวได้จริงหรือเพคะ เรื่องก่อนหน้านี้ท่านจะไม่จดจำความแค้นบ่าวจริงหรือเพคะ บ่าวรู้ว่าท่านกับพระชายารองซูมีความขัดแย้งกันมาตลอด และอีกอย่างบ่าวก็เป็นสาวใช้ของพระชายารองซูด้วย” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อย ๆ “ข้าจะต้องแค้นใจอะไรเจ้าหรือ พูดอย่างเคร่งครัดแล้วข้ากับเจ้ามิได้มีความแค้นใดต่อกันเลย กลับกันข้ายังรู้สึกสงสารเจ้ามากกว่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นสาวใช้ของสกุลซู แต่พวกเขายังทำกับเจ้าเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปอยู่ในสกุลซูแล้ว และพวกเขาก็รู้ดีว่าจีเฉินข่มเหงรังแกเจ้าเช่นนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีใครสักคนลุกขึ้นมายืนข้างเจ้าทวงความยุติธรรมให้เจ้า มิหนำซ้ำยังหวังใช้ประโยชน์จากเจ้าอีก เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้อะไรมาบ้าง ชื่อเสียง อำนาจ ฐานะ ตำแหน่ง หรือว่าพวกเขาสามารถให้เงินทองกับเจ้าได้” อวิ๋นฟางพลันกลายเป็นใบ้ไปทันใด สิ่งที่นางมุ่งมาดปรารถนาแน่นอนว่าคือชีวิตที่มั่งคั่งหรูหราฟุ้งเฟ้อด้วยเกียรติยศ ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แต่บางคนเกิดมาก็ได้เป็นองค์หญิง แต่เหตุไฉนนางกลับเป็นได้แค่สาวใช้ นางเข้าไปอาศัยอยู่ในจวนสกุลซูพร้อมกับจีเฉิน แต่นางก็ย
อวิ๋นฟางมีรูปโฉมงดงามเป็นความจริง นางร่ำไห้ได้น่ามองก็เป็นความจริง พอเป็นแบบนี้ก็สามารถเรียกร้องความรักหยกถนอมบุปผาจากทุกคนได้สำเร็จ เจียงเฟิ่งหัวเชื่อมั่นในทักษะการแสดงของเจียงเฟิ่งหัว เมื่อชาติก่อนนางสามารถล่อลวงเซี่ยซางให้ขึ้นเตียงของเขาได้สำเร็จ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางเป็นคนมีความสามารถ อวิ๋นฟางจิตใจหยิ่งผยอง และเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง นางหรือจะยอมทนใช้ชีวิตขมขื่นเพื่อคนอย่างจีเฉิน ในเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าอยู่กับจีเฉินไปก็ไม่มีความหวัง นางย่อมหยุดแต่เพียงเท่านี้ พอนางร่ำไห้ร้องทุกข์ ทุกคนต่างก็ออกหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมแทนนาง “ถือสิทธิ์อะไรเขาบอกว่าไม่หย่าก็หย่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทางการควรจะตัดสินให้หย่าขาดได้สิ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง” “ให้ความเป็นธรรมแก่แม่นางอวิ๋นฟาง…” ทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มโห่ร้องประท้วงขึ้นมาที่หน้าศาลาว่าการเขตเมืองหลวง “ให้เขาหย่าขาดจากกัน จากนั้นค่อยตัดสินโทษประหารเขา เขาทำร้ายคนแล้ว เขายังคิดจะลากคนไปตายด้วยกันอีก บ้านเมืองยังกฎหมายอยู่จริงหรือไม่” จางอวี่มั่วอาศัยจังหวะนี้แสดงตัวออกมา เปิดเผยความจริงต่อหน้าชาวบ้านทุกคน “หากมิใ
จางอันอวี้พาจั่วซือไปแจ้งข่าวการตัดสินใจนี้แก่จีเฉินด้วยตนเอง เจียงเฟิ่งหัวพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ใต้เท้าจาง ใต้เท้าจั่วช้าก่อน เรื่องที่จีเฉินวางยาอวิ๋นฟาง จากนั้นยังใช้กำลังทารุณนาง…เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี กฎหมายแห่งต้าโจวน่าจะมีบทบัญญัติไว้!” จางอันอวี้เหลือบสายตามองไปทางจั่วซือ “เจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่า” จั่วซือเอ่ย “จีเฉินเป็นบัณฑิตที่จะต้องเข้าสอบในปีหน้า เขาประพฤติตนผิดศีลธรรม ว่าตามกฎหมายกรมพิธีการก็สมควรเพิกถอนสิทธิ์การสอบของเขา และอาจถึงขั้นออกบทลงโทษที่สาสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่ว่าเขาจะได้รับโทษสถานใดหรือจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ในบทกฎหมายมีระบุไว้พ่ะย่ะค่ะ หากความผิดร้ายแรงก็จะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตในทันที ทั้งนี้การตัดสินก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรวม หากว่าเขามีส่วนร่วมในการสังหารคน และมีหลักฐานการทำความผิดชัดเจน ก็ควรให้กรมอาญาและศาลาว่าการเขตเมืองหลวงล้วนดำเนินการจัดการได้เลยทันที” ความหมายก็คือหากต้องการจะลงโทษจีเฉิน ก็ต้องเชิญให้กรมอาญามาด้วยกัน แค่ลงโทษบัณฑิตตัวเล็ก ๆ หนึ่งคนไม่มีความจำเป็นจะต้องลำบากมากเกินไป เจียง
“อวิ๋นฟางเป็นนางกำนัลชั้นสูงที่คอยทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ในวัง มีอาภรณ์แพรพรรณอาหารชั้นเลิศ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าชีวิตในแต่ละวันสุขสบายมากเพียงใด การวางมาดอวดดียังมีมากกว่าคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยเสียอีก ตอนอยู่ในจวนเหิงอ๋อง พระชายาก็ไม่เคยปฏิบัติกับนางด้วยความโหดร้ายทารุณ บัดนี้สมรสกับจีเฉินแล้ว กลับต้องกลายเป็นสภาพแบบนี้ เหอะ! จีเฉินไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ทำลายชีวิตอวิ๋นฟางเสียหมด!” “อวิ๋นฟางช่างน่าสงสารเสียจริง!” “ยามนี้นางยังต้องมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาอีกหรือ คนพรรค์นี้ควรจะส่งให้ทางการได้แล้ว ให้เขาถูกลงทัณฑ์ด้วยพันมีดหมื่นแล่ถึงจะสาสม” “ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด แม่นางรูปโฉมงดงามคนหนึ่งกลับต้องถูกเขาย่ำยีหยามเกียรติ จนจำใจต้องสมรสกับเขา มิหนำซ้ำแต่งแก่เขาแล้วยังไม่รู้จักทะนุถนอม ปล่อยให้สวมเสื้อผ้ามอซอขาดกะรุ่งกะริ่งเพียงนี้ ใช้ชีวิตกับเขาคงได้รับความทุกข์ยากไม่น้อยแน่!” พอคนในฝูงชนเริ่มพูด ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเปล่งเสียงวิจารณ์ตำหนิจีเฉิน อวิ๋นฟางพลันกลายเป็นเจ้าทุกข์ไปอย่างกะทันหัน นางถึงกับอึ้งงันไปในเสี้ยวพริบตา เจียงเฟิ่งหัวเองก็มองด้วยแววตาสงส
ภายในห้องหับวิจิตรงามสง่า สาวน้อยนางหนึ่งสวมชุดวิวาห์หรูหรานั่งอยู่หน้ากระจก ดวงหน้างามพิลาสของนางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนมารดาของสาวน้อยกำลังแต่งตัวให้นาง มองดูลูกสาวตรงหน้าอย่างทั้งปลาบปลื้มและปวดใจ ลูกสาวที่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่กำลังจะออกเรือนแล้ว ดวงตาของนางแดงเรื่ออย่างอดไม่อยู่ “เดิมทีแม่อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายอีกสักสองปี คิดไม่ถึงว่าเพิ่งถึงวัยปักปิ่นก็มีราชโองการประทานสมรสของฝ่าบาทลงมาเสียแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยปลอบ “ลูกแต่งเข้าราชวงศ์ไปเป็นชายาอ๋อง พรั่งพร้อมด้วยเกียรติยศทรัพย์ศฤงคาร แพรพรรณอาหารชั้นเลิศ ชีวิตย่อมสุขสบายเป็นแน่แท้ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน”“จ้ะๆๆ ลูกสาวแม่เป็นคนมีวาสนา คุณหนูสกุลใหญ่มีตั้งมากมาย ฮองเฮาทอดพระเนตรปราดเดียวก็เลือกเจ้าเป็นชายาของเหิงอ๋อง เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของฮองเฮา ฮองเฮายังโปรดเจ้ามากถึงเพียงนี้ วันหน้าจะต้องไม่ดูดายเจ้าแน่นอน” เฝิงจิ้งย่วนปีติยินดีจนน้ำตาไหล คิดถึงว่าเหิงอ๋องหล่อเหลาสง่างาม ความสามารถด้านศิลปศาสตร์โดดเด่น ทรงอำนาจบารมี ลูกสาวโฉมงามล่มเมือง เชี่ยวชาญทั้งดนตรี หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพ สกุลเจียงซึ่ง...
Comments