ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเนิบช้าว่า “หม่อมฉันได้ยินท่านพ่อชื่นชมท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กแล้วว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ เฉลียวฉลาดมากความสามารถมาตั้งแต่ยังเยาว์ เคยเข้าไปประลองกับบัณฑิตมากมายในสำนักศึกษาหลวงจนสร้างชื่อได้ในคราวเดียว ต่อมา เผ่าหูรวบรวมไพร่พลสามแสนมาโจมตีต้าโจว กองทัพศัตรูรุดหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ เมืองต่างๆ ของต้าโจวถูกตีแตกเมืองแล้วเมืองเล่า เหิงอ๋องในวัยเพียงสิบห้าปีนำกำลังคนสิบกว่าคนบุกเข้าค่ายทหารของศัตรูไปจับเป็นผู้นำทัพศัตรู เผ่าหูถอนทัพ ครานั้นท่านอ๋องคว้าชัยชนะมาให้ต้าโจวได้อย่างงดงาม ท่านอ๋องห้าวหาญเพียงนี้ นับว่าเป็นความชอบที่เสด็จแม่ทุ่มเทสั่งสอนมาเช่นกันเพคะ”กล่าวถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ในอดีตของเซี่ยซาง ดวงตาเฉิงฮองเฮาทอประกายภาคภูมิใจ แต่ครั้นคิดถึงว่าบุตรชายมีความสามารถโดดเด่นปานนี้แต่กลับไม่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่อยู่ ซางเอ๋อร์ไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้เป็นเพราะผลกระทบจากตนเองทั้งสิ้นดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเจียงเฟิ่งหัวฉายแววกังขา “เสด็จแม่เป็นอะไรไปเพคะ?”“ยามนี้หัวใจทั้งดวงของซางเอ๋อร์อยู่ที่สตรีนางนั้น ข้าเองก็ปวดหัวเหมือนกัน” ฮองเฮ
อีกด้านหนึ่ง ฮองเฮาขอตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงมาให้เหิงอ๋องได้จริงๆ นางกำลังดีใจอยู่ก็ได้ยินฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “อายุน้อยดีแบบนี้เอง ไร้ทุกข์ไร้โศก กล้าหาญมิพรั่น อยากได้ตำแหน่งก็ไม่มาขอด้วยตนเอง”ฮองเฮารีบร้อนอธิบาย “ความจริงซางเอ๋อร์มีใจแสวงหาความก้าวหน้ามากนะเพคะ ตอนที่เขายังเล็กก็...”ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง “เพราถูกเจ้าตามใจจนเสียคนน่ะสิ เขาถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ ถ้าเขามีใจแสวงหาความก้าวหน้าจริงก็คงไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องสตรี อยู่ว่างทั้งวี่วัน ต่อให้ยกตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงให้เขา เขาจะทำได้ดีงั้นรึ?”สีหน้าฮองเฮาบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว เล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่รู้สึกเจ็บ นางพลันเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ “ฝ่าบาทจะลำเอียงก็ไม่ต้องลำเอียงถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง หากฝ่าบาทมีใจยุติธรรมสักนิด ปฏิบัติกับเขาเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่น เขาจะอยู่ว่างทั้งวี่วันเช่นนี้หรือเพคะ? มีวาจาประโยคไหนของฝ่าบาทที่ไม่ดูถูกดูแคลนเขา ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดถึงปานนั้น...”ฮองเฮาพูดพลางรำลึกถึงความสำเร็จที่แสนยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเยาว์วัยของเซี่ยซาง ล้วนแต่เป็
เจียงเฟิ่งหัวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางจ้องมองใบหน้าของเซี่ยซางอย่างอึ้งๆ ใบหน้ายังคงเย็นชาแข็งทื่อดุจน้ำแข็ง การกระทำยิ่งหยาบกระด้าง เขาวางนางลงบนตั่งนุ่มโดยไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด “ก่อนที่หมอหลวงจะมา ข้าจะตรวจให้เจ้าก่อนว่าบาดเจ็บถึงกระดูกหรือไม่”“ท่านอ๋องทำเป็นหรือเพคะ?” ดวงตาคู่งามของเจียงเฟิ่งหัวทอประกายวาบเซี่ยซางไม่อยากอธิบายว่านั่นเป็นทักษะพื้นฐานที่คนในกองทัพต้องมี น่าเสียดายที่เขาไม่อาจเข้าสู่สมรภูมิอีกแล้ว เสด็จพ่อรังเกียจตนเอง ยามนี้ก็ทอดทิ้งเขาไปแล้วเซี่ยซางเปิดชายกระโปรงของนางขึ้นด้วยตนเอง ถอดถุงเท้าออก เห็นเท้างามเกลี้ยงเกลาของนางแดงเถือก บริเวณข้อเท้าบวมนูน ปลายนิ้วเขากดลงเบาๆ เจียงเฟิ่งหัวก็เจ็บปวดจนน้ำตาหลั่งรินลงมาเซี่ยซางเห็นคนงามที่ดวงตาปริ่มน้ำกัดผ้าเช็ดหน้าไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาตรงหน้าก็พูดว่า “เจ็บก็ร้องออกมาเถอะ ร้องออกมาแล้วก็จะดีขึ้นบ้าง”เจียงเฟิ่งหัวน้ำตาไหลไม่หยุด ดวงตาปิดแน่น ส่ายหัวน้อยๆ เนื่องจากเจ็บปวดสุดทานทน นางถึงขั้นเริ่มกัดหลังมือของตัวเองเซี่ยซางไม่เคยเห็นสตรีที่กลัวเจ็บเพียงนี้มาก่อน เขายังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ ประเดี๋ยวตอนประคบเย็นจะยิ่งเ
กว่าจะประคบเสร็จไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ข้อเท้าของเจียงเฟิ่งหัวค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด ไม่บวมมากเหมือนเดิมแล้วเจียงเฟิ่งหัวราวกับเจ็บปวดจนเจียนสลบ ซบลงในอกเขาด้วยสติเลือนราง ยามนั้นบนหน้าผากและหว่างคิ้วของนางมีหยดเหงื่อเกาะพราว ร่างกายก็เหมือนจะเหงื่อออกจนเปียกชื้น ลักษณะเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวชวนให้คนสงสารลูกกระเดือกของเซี่ยซางขยับขึ้นลง หัวใจเต้นรัวแรง เจียงเฟิ่งหัวขยับยุกยิกในอ้อมอกเขาอย่างไม่ยอมอยู่นิ่ง โชคดีที่ในตำหนักมีพวกเขาเพียงสองคน มิฉะนั้นหากปล่อยให้นางกำนัลกับขันทีมาเห็นพวกเขาในสภาพนี้คงได้เข้าใจผิดว่าทั้งคู่เพิ่งกระทำเรื่องที่พบพานผู้คนไม่ได้มาเป็นแน่แท้นอกตำหนัก เฉิงฮองเฮาให้หมอหลวงทิ้งยาแก้ฟกช้ำไว้ให้ก็บอกให้เขาจากไปริมฝีปากนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ทำให้คนไม่อยากเข้าไปรบกวนในตำหนักสี่หมัวมัวเอ่ยข้างหูนาง “บ่าวไม่เคยเห็นท่านอ๋องมีน้ำอดน้ำทนเพียงนี้มาก่อนเลยเพคะ ถ้าพระชายาได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็เป็นการช่วยคลายความกังวลให้ฮองเฮาได้พอดี บุตรีสกุลซูผู้นั้น...”“ซางเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับความรู้สึก เขาไม่มีทางทอดทิ้งซูถิงหว่านเพื่อเจียงเฟิ่งหัว ตอนนี้คงต้องดูว่าซางเ
ชาติก่อน ซูถิงหว่านจงใจเลือกวันแต่งเข้าจวนอ๋องให้ตรงกับวันที่นางกลับจวน ชาตินี้ในเมื่อฮองเฮาให้สิทธิ์ขาดกับนาง เช่นนั้นนางจะให้อีกฝ่ายค่อยๆ รอเจียงเฟิ่งหัวเขียนฤกษ์งามยามดีลงบนกระดาษด้วยตัวเอง จากนั้นเอ่ยกับเหลียนเย่ “นำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านอ๋อง ถามเขาว่าเหมาะสมหรือไม่ หากไม่พอใจ เชิญท่านอ๋องมาเลือกฤกษ์ดียามอื่นได้เลย”“เพคะ” เหลียนเย่หันมองแวบหนึ่ง “กำหนดให้เป็นอีกห้าวันให้หลังหรือเพคะ? วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบสามเดือนสาม ห้าวันให้หลังคือวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม”เหลียนเย่พูดต่อไป “เหตุใดพระชายาปล่อยให้หญิงผู้นั้นแต่งเข้าจวนเร็วขนาดนี้ หากนางแต่งเข้าจวนจริง พระชายามิหมดโอกาสหรือเพคะ?”“ห้าวันจากนี้เป็นเพียงวันที่ที่ข้าเสนอเท่านั้น อีกไม่นานท่านอ๋องจะมีงานราชการต้องทำ นางไม่ได้เข้าจวนเร็วขนาดนั้นหรอก” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเสียงเรียบหงซิ่วและเหลียนเย่รู้สึกมึนงง ท่านอ๋องโปรดสตรีผู้นั้นมาก แทบอยากจะแต่งซูถิงหว่านเข้าจวนทันที จะปฏิเสธแต่งชายารองเข้าจวนในอีกห้าวันได้อย่างไรเหลียนเย่มาถึงห้องหนังสือ จากนั้นนำคำพูดของเจียงเฟิ่งหัวแจ้งแก่เซี่ยซางอย่างละเอียดถี่ถ้วนสีหน้าเซี่ยซางเย็นชาเล็กน้
ความงามของเจียงเฟิ่งหัวไม่ได้งามเพราะความผอม แต่งามเพราะมีทรวดทรงองค์เอว จุดไหนควรเล็กก็เล็ก จุดไหนควรเต่งตึงก็เต่งตึง งามอย่างไร้ที่ติคืนนี้นางสวมกางเกงซับในบางเบาและชุดชั้นในปักลายดอกท้อ ผมยาวดำขลับถูกมวยเอาไว้กลางกระหม่อม เผยให้เห็นลำคอระหงพอดีจังหวะนั้น เซี่ยซางที่ดื่มจนเมามายบุกเข้าไปในห้องของนาง เขาเดินอ้อมฉากกั้นโดยมิสนใจสิ่งใด ครั้นเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาฉายแววลนลานเล็กน้อย กระนั้นกลับมิอาจละสายตาจากนางตรงหน้าได้ สตรีเบื้องหน้างดงามจนทำให้เขาแทบหยุดหายใจเจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบดึงผ้าห่มผืนบางปิดบังร่างกาย ทว่านางดึงมาปิดก็เหมือนไม่ปิด พร้อมกัดริมฝีปากแดง แสร้งทำโกรธเคือง “ท่านอ๋อง เข้ามาทำไมไม่เคาะประตูเพคะ?”ความคิดของเขาถูกเสียงตำหนิของนางดึงกลับมา นิ้วมือของเขาชี้ไปที่ป้ายด้านนอก แล้วชี้ไปที่เตียงและเครื่องใช้ภายในห้อง “ที่นี่คือหอหล่านเยว่ เป็นห้องนอนของข้า พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งของของข้า ข้าเข้ามาห้องนอนตัวเองทำไมต้องเคาะประตู เจ้า เจ้า เจ้า อึก...หลีกไป”ระหว่างที่พูด เขาทำท่าจะขึ้นไปบนเตียงต่อมาเซี่ยซางโผเข้าหานาง นางเองไม่คิดจะหลบหลีก วินาทีต่อมา ภายในอ
วันรุ่งขึ้น เจียงเฟิ่งหัวตื่นมาพบว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยซางอีกแล้ว เมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่นางใช้ผงหอมกับเขา มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น ซูถิงหว่าน ชาตินี้เจ้าค่อยๆ รอไปเถอะ!ขณะที่นางเตรียมยื่นมือไปลูบสันจมูกเขา จู่ๆ เซี่ยซางขยับเหมือนคนกำลังจะตื่นนอน นางจึงรีบหลับตาลงแสร้งทำเป็นนอนหลับสนิทเซี่ยซางพลิกตัวกะทันหัน แล้วยกขาข้างหนึ่งไปก่ายบนขาของเจียงเฟิ่งหัว ไปโดนข้อเท้านางพอดีเจียงเฟิ่งหัวลองดันตัวเขา แต่ดันไม่ไหว นางจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านอ๋อง ท่านทับโดนขาของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันปวดเหลือเกิน ท่านปล่อยหม่อมฉันสิ หม่อมฉันไม่ใช่คุณหนูซูนะ ท่านดูให้ชัดสิ ท่านทำให้หม่อมฉันเจ็บ”เซี่ยซางถูกเสียงตำหนิของนางปลุกจนตื่น ครั้นลืมตามองเห็นผู้ที่อยู่ในอ้อมกอด ภายในหัวผุดภาพที่เขาบุกเข้ามาในห้องเมื่อคืน เขารู้สึกเพียงปวดหัวจนแทบระเบิด อย่างไรก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเขาโผเข้าหาเจียงเฟิ่งหัวไม่ได้เมื่อเห็นเสื้อผ้าตัวเองถูกถอด อีกทั้งสองคนยังดูคลุมเครือ เขารีบดันนางออกห่างทันทีทันใดนั้น มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเข้าหู เขาจึงหันมองด้านข้าง เห็นเพียงร่างบอบบางของหญิงสาวขดตัวอยู่อ
เซี่ยซางพยักหน้าอย่างหน้ามืดตามัว “ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า”เจียงเฟิ่งหัวรีบทำท่าเอาใจ นางย่อตัวให้เขา “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”จากนั้นนางหันไปตะโกนใส่ด้านนอก “หงซิ่ว เหลียนเย่ สวีหมัวหมัว เตรียมอาหารเช้าเพิ่มอีกหนึ่งชุด ไปตักน้ำมาเตรียมแต่งตัว วันนี้พวกเราจะกลับจวนตระกูลเจียง ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่เหลือเกิน”เมื่อเอ่ยถึงกลับตระกูลเจียงและบิดามารดาของนาง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสแวววาว กลิ่นอายรอบข้างแสดงให้รู้ว่านางมีความสุข ดีใจจนเหมือนนกน้อยในป่าใหญ่เมื่อสิ้นเสียงของนาง พวกสาวใช้ก็กรูกันเข้ามา เจียงเฟิ่งหัวเห็นตัวเองสวมเพียงชุดชั้นในและกางเกงซับใน จึงรู้สึกเขินอายทันที นางหันมองเซี่ยซางแวบหนึ่งก่อนจะหลบไปหลังฉากกั้น “เชิญท่านอ๋องล้างหน้าแต่งตัวก่อน หม่อมฉันจะรีบไป”เห็นเพียงผมยาวจรดเอวของนางดั่งม่านน้ำ ร่างอรชรอ้อนแอ้น เผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติเซี่ยซางมองดูจนตะลึงเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงนางจึงรู้สึกตัวจนหน้าแดงเถือก ขณะนี้สวีหมัวมัวเดินเข้ามาหา ในมือสาวใช้มีเสื้อผ้าหลายชุด นางกล่าว “ท่านอ๋อง วันนี้จะสวมชุดใดเพคะ”เซี่ยซางชี้นิ้ว เลือกชุดตัวยาวสีน้ำเงินค
แต่หากฮองเฮาทำให้เขาโมโห เขาก็สามารถทอดทิ้งนาง ทรมานนางได้เช่นกันเพราะเขาคือฮ่องเต้ที่สูงส่งเหนือผู้ใด เคยชินกับการมีสตรีคอยเอาอกเอาใจและเชื่อฟังมานานแล้ว ก็แค่นั้นเอง ดังนั้นฮ่องเต้และฮองเฮาจะมีความผูกพันฉันสามีภรรยาได้สักเท่าไรนางรับรู้ได้ถึงความเย็นชาไร้น้ำใจของฮ่องเต้มีเพียงใช้ชีวิตอย่างไร้ใจไร้ไมตรีเท่านั้นจึงจะไม่เจ็บปวดนางคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าเส้นทางที่นางต้องเดินก็คือทางสายเก่าของฮองเฮา แต่เส้นทางของนางกับฮองเฮาก็แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนางจะกุมหัวใจของเซี่ยซางไว้ให้มั่น แล้วเหยียบซูถิงหว่านกับสกุลซูทั้งตระกูลขึ้นสู่ตำแหน่งหากมีวันหนึ่ง พวกมันได้รู้ว่า ความร่ำรวยหรูหรายศถาบรรดาศักดิ์ที่พวกมันเคยได้เพลิดเพลินในชาติก่อน ถูกตัวนางในชาตินี้ทำลาย ไม่รู้ว่าพวกมันจะสำนึกเสียใจต่อทุกสิ่งที่เคยทำร้ายนางหรือไม่เส้นทางนี้ทั้งยาวนานและยากลำบากอย่างยิ่ง ทว่าขอเพียงนางค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ก็ไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่อาจเอาชนะ นางมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะได้เห็นฉากที่พวกมันก้มกราบศิโรราบอยู่บนพื้นทางด้านนี้ เหล่าองค์ชายกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการแสดงออกถึงความกตัญญูของตน แ
เซี่ยซางได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นจึงไม่บังคับนางอีก ต้าโจวให้ความสำคัญกับจริยธรรมที่สุด การที่นางกตัญญูต่อเสด็จแม่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจยิ่งเพื่อให้เจียงเฟิ่งหัวสบายขึ้นหน่อย เซี่ยซางสั่งให้คนนำเก้าอี้เล็กๆ มาไว้ข้างเตียง ท้องของนางไม่ใหญ่มาก ประกอบกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำให้ไม่เหนื่อย อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่ล้วนรออยู่ข้างนอก เขาได้สั่งให้คนไปรับคนทั้งสองมาเช่นกัน บัดนี้นางอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ข้างกายไม่อาจไร้คนดูแลกฎระเบียบภายในวังพวกนี้ เขาย่อมไปทูลขอให้เสด็จพ่อทรงอนุโลมเองเขาเห็นทั้งหมดว่า เจียงเฟิ่งหัวดูแลเสด็จแม่อย่างใส่ใจเพียงใด และก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งที่ได้แต่งกับภรรยาทั้งงามสง่าและมีคุณธรรมเช่นนี้หมอหลวงหวังไปเขียนใบรายการยาและต้มยาด้วยตนเองอีกครั้งรอจนคนจากไป สี่หมัวมัวก็ก้าวออกมาเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยซางเพื่อขอรับโทษ“ล้วนต้องโทษบ่าวที่ไม่ได้ดูแลฮองเฮาให้ดี บ่าวมีความผิดเพคะ บ่าวก็เคยเกลี้ยกล่อมให้ฮองเฮาทรงคลายพระทัยแล้ว แต่พระนางตรัสว่ามักทรงรู้สึกผิด…”แววตาของนางดูร้อนใจคล้ายมีคำพูดที่อยากจะกล่าว แต่ก็ราวกับไม่กล้าเล่าสิ่งใดทั้งสิ้น เซี
เฉิงฮองเฮาลืมตาขึ้นเล็กน้อย ราวกับสติไม่แจ่มใสนัก น้ำเสียงของนางแหบพร่าและอ่อนแรง “ซางเอ๋อร์มาแล้วหรือ แค่กๆ…แม่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอก” กล่าวจบนางก็หลับตาลงอีกครั้ง ราวกับเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเหลือเกิน และคล้ายกลับหมดสติไปอีกครั้งแล้วดวงตาของเซี่ยซางแดงระเรื่อ เขาคุกเข่าลงข้างเตียง “เป็นลูกอกตัญญู เสด็จแม่ทรงป่วยหนักถึงเพียงนี้ ลูกกลับไม่รู้เลย เสด็จแม่ทรงไม่สบายที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ให้หมอหลวงตรวจดูสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาส่ายหน้า หางตามีหยดน้ำตาซึมออกมา ในขณะที่สะลึมสะลือนางก็ร้องไม่หยุดว่า “เจ็บ”นางยิ่งเป็นเช่นนี้เซี่ยซางก็ยิ่งปวดใจ ถามว่านางเจ็บที่ใดนางก็บอกได้ไม่ชัดเจนเซี่ยซางสัมผัสหน้าผากของนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ “เหตุใดจึงได้ร้อนเช่นนี้”เขารีบให้คนตักน้ำมา บิดผ้าเช็ดหน้าวางลงบนหน้าผากของนาง แล้วตวาดใส่นางกำนัลด้วยความโมโหทีหนึ่งว่า “พวกเจ้าดูแลเสด็จแม่อย่างไรกัน”นางกำนัลตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้เสด็จแม่ทรงดีขึ้นได้อย่างไร หม่อมฉันได้ยินเสด็จแม่ร้องว่าเจ็บ เหตุใดจึงทรงเจ็บ แล้วเจ็
“เช้าวันนี้ตอนที่หม่อมฉันจะเข้าวัง ได้ยินพ่อบ้านเฉิงพูดว่าจะจัดเตรียมชุดกันหนาวให้ชายารองซู ดูเหมือนชายารองซูจะเดินทางไกลนะเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวขึ้นมาอีก“นางจะไปที่ใดกัน ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วนางยังคิดจะไปที่ใดอีก” เฉิงฮองเฮากล่าวเสียงหนัก“แม่ทัพน้อยสกุลซูกลับเมืองหลวงแล้ว ชายารองซูน่าจะไปที่จวนสกุลซูเพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูยังพักอยู่ที่นั่นเพคะ”“นางเฒ่านั่นจะกลับชายแดนแล้ว ได้กราบทูลต่อฝ่าบาททราบแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ชายารองซูคงมิได้คิดจะกลับไปกับฮูหยินผู้เฒ่าซูกระมังเพคะ!”“นางจะไปก็ไปเถอะ ทางที่ดีที่สุดอย่าได้กลับมาอีกตลอดกาลเลย…”นางเพิ่งกล่าวคำพูดนี้จบ เจียงเฟิ่งหัวก็เอ่ยเตือนว่า “ท่านอ๋องก็จะไปชายแดนแล้วเช่นกันเพคะ ชาวหูมีเจตนาจะก่อสงคราม ท่านอ๋องได้ถวายฎีกาขอออกศึกแล้วเพคะ รอได้รับราชโองการก็จะออกเดินทาง” พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เซี่ยซางบอกนาง นางมิได้โป้ปด ส่วนที่เหลือก็รอให้ฮองเฮาไปคาดเดาเอาเอง“ซูถิงหว่านคิดจะตามกองทัพไปทำศึกด้วย ราชสำนักต้าโจวไม่มีธรรมเนียมให้แม่ทัพพาสตรีในครอบครัวไปออกรบด้วยมาก่อน หากซางเอ๋อร์รับราชโองการแล้วนางคอยติดตามอยู่ด้านข้างจริงๆ นางคิ
เจียงเฟิ่งหัวรู้ถึงสถานการณ์ของสกุลเฉิง ชาติที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเฉิงฮองเฮาไม่ดี วันเวลาของสกุลเฉิงก็ไม่ดีไปด้วยแม้นางจะเป็นภรรยาเอกของเซี่ยซาง แต่ก็ทำให้สกุลเจียงทั้งตระกูลพลอยเดือดร้อนมีชีวิตอย่างยากลำบากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเข้าใจเฉิงฮองเฮาเป็นอย่างดีแต่เมื่อได้ฟังเฉิงฮองเฮากล่าวกับนางด้วยตนเองเช่นนี้ ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างน้อยที่สุด เฉิงฮองเฮาก็เห็นนางสะใภ้ผู้นี้เป็นคนกันเองแล้วหากเฉิงฮองเฮาเต็มใจช่วยนางจัดการกับซูถิงหว่าน นางก็ไม่รังเกียจจะช่วยพูดให้สกุลเฉิงต่อหน้าเซี่ยซางสักประโยคสองประโยคขอเพียงแม่ทัพเฉิงสามารถคว้าโอกาสไว้ได้ การที่พวกเขาคิดจะไต่เต้ายิ่งขึ้นไป ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสกุลเจียงแต่อย่างใดศัตรูที่พวกเขามีร่วมกันล้วนเป็นสกุลซู เรื่องดีๆ เช่นนี้เหตุใดนางจะไม่ทำเล่าเจียงเฟิ่งหัวยิ้มบางๆ ว่า “ความหมายของเสด็จแม่คือ หากท่านอ๋องจะออกศึก ทรงหวังให้พระองค์นำชนรุ่นหลังของจวนแม่ทัพเฉิงไปด้วยใช่ไหมเพคะ” ได้แต่ช่วยดันคนรุ่นหลังก่อน เพราะในชาติก่อน แม่ทัพเฉิงก็คว้าโอกาสนี้ไว้ไม่ได้ หากเขาไปขอราชโองการอย่างบุ่มบ่าม เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเ
วันถัดมา เจียงเฟิ่งหัวเข้าวังแต่เช้าเมื่อฮองเฮาเห็นนางมา ก็จูงมือนางไปนั่งข้างกายอย่างยินดี แล้วถามไถ่อย่างอบอุ่นว่า “ช่วงนี้สุขภาพดีขึ้นหรือยัง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่?”“ทูลเสด็จแม่ ดีขึ้นมากแล้วเพคะ อยากอาหารและรับประทานได้มากขึ้น และไม่อาเจียนแล้วเพคะ” นางตอบอย่างซื่อตรงตามความจริงฮองเฮาเห็นเจียงเฟิ่งหัวท้องได้สี่เดือนแล้วแต่ยังผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ดวงหน้าจะยังคงงามพิลาสเหนือปุถุชน แต่หน้าอกอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย ดูแล้วยิ่งมีเสน่ห์ บรรยากาศรอบกายให้ความรู้สึกสดใส นางยิ่งมองก็ยิ่งพอใจที่ตอนนั้น ตนเองเลือกสะใภ้ที่งดงามดั่งดอกไม้ น่ารักน่าใคร่เช่นนี้ให้แต่งกับเขานางกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “หรวนหร่วนต้องกินให้มากหน่อย ตอนนี้เจ้าคนเดียวต้องกินอาหารสำหรับสามคน ดังนั้นอย่าได้ควบคุมปริมาณอาหารเพื่อความงามเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรเด็กก็สำคัญที่สุด ส่วนรูปร่างนั้นค่อยไปควบคุมภายหลังก็ได้”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เสด็จแม่ทรงวางพระทัยเถิด เด็กๆ แข็งแรงมากเพคะ” แม้ปากของเจียงเฟิ่งหัวจะกล่าวอย่างเคารพ ทว่าภายในใจกับกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ นี่ก็เป็นวัตถุประสงค์ที่นางเข้าวังมาในวันนี้เช่นกัน นางกล่าวต่อ
มุมปากของเซี่ยซางมีรอยยิ้ม “ที่แท้หวานหว่านก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ”“ท่านอ๋องทรงลองชิมดูสิเพคะ อาหารจานนี้เรียกว่าคลื่นมรกต ทั้งเลิศรสและให้ความรู้สึกสดชื่นมากเลยเพคะ”เซี่ยซางหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมไปคำหนึ่ง สดชื่นจริงดั่งว่า รสชาติมีเอกลักษณ์และมีกลิ่นหอม คล้ายรสชาติที่เจียงเฟิ่งหัวชื่นชอบ แต่เพราะตอนนี้นางตั้งครรภ์จึงเปลี่ยนมาชอบทานเนื้อซูถิงหว่านกล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนหม่อมฉันมักชอบกินเนื้อ แต่กลับไม่รู้ว่าเนื้อมื้อหนึ่งของหม่อมฉัน หากอยู่ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา พวกเขาจะกินได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น”“เป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้งนี้ข้าไปบรรเทาทุกข์ที่เจียงหนาน ล้วนกล่าวกันว่าเจียงหนานมั่งคั่ง ราษฎรอุดมด้วยเสื้อผ้าอาหาร แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่พรั่งพร้อมด้วยเสื้อผ้าอาหารมีเพียงผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย ส่วนชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก รวมกับต้องมาประสบอุทกภัยในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอีก ชีวิตของความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ยิ่งลำเค็ญ พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากฤดูหนาวนี้ให้ได้ ถึงจะรอถึงช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” เซี่ยซางบรรยายอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง เขาเกือบจะเรียกหรวนหร่วน
เจียงเฟิ่งหัวมองดูอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ หันไปทางพวกนาง กล่าวอย่างสงบเยือกเย็น “ทุกคนมากินด้วยกันเถอะ อย่าให้เสียของ คืนนี้สวีหมัวมัวต้มน้ำแกงเนื้อแพะ วันหนาว ๆ กินแล้วจะได้อุ่นท้อง”เหลียนเย่โมโหจนปากคว่ำจะโค้งถึงฟ้าแล้ว สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “ท่านอ๋องทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน พระชายาทรงเริ่มเตรียมมาตั้งแต่บ่าย อย่างน้อยเสวยแล้วค่อยไปสิเพคะ!”หงซิ่วกล่าว “เจ้าพูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ อย่างน้อยท่านอ๋องกลับจวนมาแล้วเรื่องแรกที่ทำก็คือนึกถึงพระชายาของเรา” ยิ่งไปกว่านั้นขณะนี้ร่างกายของพระชายาไม่สะดวกปรนนิบัติ ย่อมทำให้พระชายารองซูฉวยโอกาสได้ ความกังวลของสวีหมัวมัวก็มาเยือนจริง ๆ หงซิ่วก็ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว หลาย ๆ เรื่องนางมองได้ทะลุปรุโปร่ง ในช่วงที่เรียนกับพ่อบ้านเฉิงนี้ นางก็ได้เรียนรู้มามาก แต่นางมุ่งไปที่การวางแผนเพื่อพระชายามากกว่า ไม่ว่าท่านอ๋องจะมีผู้หญิงสักกี่คน นางก็รู้สึกว่าการได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในของจวนอ๋องนั้นสำคัญกว่าพระชายามีอำนาจในมือ ใครก็รังแกนางไม่ได้โชคดีที่ท่านอ๋องมอบอำนาจทั้งหมดในจวนให้พระชายาแล้ว ส่วนพระชายารองซู นางก็เพียงแค่อยากล่อลวงท่า
“ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” เจียงเฟิ่งหัวถาม“ไม่รบย่อมเป็นการดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าหากพวกมันคิดอยากมารนหาที่ตายจริง ๆ ต้าโจ้วก็ไม่กลัวพวกมัน” แววตาเซี่ยซางลุ่มลึก มีความเหี้ยมเกรียมแผ่ออกมา “เสียงจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ถวายคำแนะนำให้เจรจาสันติภาพมีมากกว่าเสียงที่สนับสนุนให้เตรียมรับสงคราม พวกผู้เฒ่าเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่ายิ่งถอย พวกเผ่าหูยิ่งกำเริบเสิบสาน พวกมันก็จะยิ่งนึกว่าต้าโจวกลัวพวกมัน เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น”เจียงเฟิ่งหัวน้ำเสียงสบาย ๆ ในแววตาเหมือนมีแสงดาวส่องประกาย นางถึงกับดูเหมือนว่าหลงใหลและบูชาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว ทำให้เซี่ยซางนึกว่าในสายตาและในใจนางมีแต่เขาและเขาเท่านั้น เติมเต็มความรู้สึกชายเป็นใหญ่ของเขานางยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องต้องปกป้องประชาราษฎรชาวต้าโจวได้อย่างแน่นอนเพคะ หากจะต้องสู้รบคราวนี้จริง ๆ ต้าโจวของเราก็มีโอกาสที่จะชนะ หม่อมฉันสนับสนุนท่านอ๋องอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อให้เลวร้ายที่สุด พวกเราก็ยังมีศาลาการกุศล ช่วงที่ท่านไม่อยู่ พระชายาอ๋องสาวและพระชายาอ๋องรอง อีกทั้งเหล่าสตรีในเมืองหลวง พวกนาง