ความงามของเจียงเฟิ่งหัวไม่ได้งามเพราะความผอม แต่งามเพราะมีทรวดทรงองค์เอว จุดไหนควรเล็กก็เล็ก จุดไหนควรเต่งตึงก็เต่งตึง งามอย่างไร้ที่ติคืนนี้นางสวมกางเกงซับในบางเบาและชุดชั้นในปักลายดอกท้อ ผมยาวดำขลับถูกมวยเอาไว้กลางกระหม่อม เผยให้เห็นลำคอระหงพอดีจังหวะนั้น เซี่ยซางที่ดื่มจนเมามายบุกเข้าไปในห้องของนาง เขาเดินอ้อมฉากกั้นโดยมิสนใจสิ่งใด ครั้นเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาฉายแววลนลานเล็กน้อย กระนั้นกลับมิอาจละสายตาจากนางตรงหน้าได้ สตรีเบื้องหน้างดงามจนทำให้เขาแทบหยุดหายใจเจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบดึงผ้าห่มผืนบางปิดบังร่างกาย ทว่านางดึงมาปิดก็เหมือนไม่ปิด พร้อมกัดริมฝีปากแดง แสร้งทำโกรธเคือง “ท่านอ๋อง เข้ามาทำไมไม่เคาะประตูเพคะ?”ความคิดของเขาถูกเสียงตำหนิของนางดึงกลับมา นิ้วมือของเขาชี้ไปที่ป้ายด้านนอก แล้วชี้ไปที่เตียงและเครื่องใช้ภายในห้อง “ที่นี่คือหอหล่านเยว่ เป็นห้องนอนของข้า พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งของของข้า ข้าเข้ามาห้องนอนตัวเองทำไมต้องเคาะประตู เจ้า เจ้า เจ้า อึก...หลีกไป”ระหว่างที่พูด เขาทำท่าจะขึ้นไปบนเตียงต่อมาเซี่ยซางโผเข้าหานาง นางเองไม่คิดจะหลบหลีก วินาทีต่อมา ภายในอ
วันรุ่งขึ้น เจียงเฟิ่งหัวตื่นมาพบว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยซางอีกแล้ว เมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่นางใช้ผงหอมกับเขา มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น ซูถิงหว่าน ชาตินี้เจ้าค่อยๆ รอไปเถอะ!ขณะที่นางเตรียมยื่นมือไปลูบสันจมูกเขา จู่ๆ เซี่ยซางขยับเหมือนคนกำลังจะตื่นนอน นางจึงรีบหลับตาลงแสร้งทำเป็นนอนหลับสนิทเซี่ยซางพลิกตัวกะทันหัน แล้วยกขาข้างหนึ่งไปก่ายบนขาของเจียงเฟิ่งหัว ไปโดนข้อเท้านางพอดีเจียงเฟิ่งหัวลองดันตัวเขา แต่ดันไม่ไหว นางจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านอ๋อง ท่านทับโดนขาของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันปวดเหลือเกิน ท่านปล่อยหม่อมฉันสิ หม่อมฉันไม่ใช่คุณหนูซูนะ ท่านดูให้ชัดสิ ท่านทำให้หม่อมฉันเจ็บ”เซี่ยซางถูกเสียงตำหนิของนางปลุกจนตื่น ครั้นลืมตามองเห็นผู้ที่อยู่ในอ้อมกอด ภายในหัวผุดภาพที่เขาบุกเข้ามาในห้องเมื่อคืน เขารู้สึกเพียงปวดหัวจนแทบระเบิด อย่างไรก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเขาโผเข้าหาเจียงเฟิ่งหัวไม่ได้เมื่อเห็นเสื้อผ้าตัวเองถูกถอด อีกทั้งสองคนยังดูคลุมเครือ เขารีบดันนางออกห่างทันทีทันใดนั้น มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเข้าหู เขาจึงหันมองด้านข้าง เห็นเพียงร่างบอบบางของหญิงสาวขดตัวอยู่อ
เซี่ยซางพยักหน้าอย่างหน้ามืดตามัว “ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า”เจียงเฟิ่งหัวรีบทำท่าเอาใจ นางย่อตัวให้เขา “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”จากนั้นนางหันไปตะโกนใส่ด้านนอก “หงซิ่ว เหลียนเย่ สวีหมัวหมัว เตรียมอาหารเช้าเพิ่มอีกหนึ่งชุด ไปตักน้ำมาเตรียมแต่งตัว วันนี้พวกเราจะกลับจวนตระกูลเจียง ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่เหลือเกิน”เมื่อเอ่ยถึงกลับตระกูลเจียงและบิดามารดาของนาง ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสแวววาว กลิ่นอายรอบข้างแสดงให้รู้ว่านางมีความสุข ดีใจจนเหมือนนกน้อยในป่าใหญ่เมื่อสิ้นเสียงของนาง พวกสาวใช้ก็กรูกันเข้ามา เจียงเฟิ่งหัวเห็นตัวเองสวมเพียงชุดชั้นในและกางเกงซับใน จึงรู้สึกเขินอายทันที นางหันมองเซี่ยซางแวบหนึ่งก่อนจะหลบไปหลังฉากกั้น “เชิญท่านอ๋องล้างหน้าแต่งตัวก่อน หม่อมฉันจะรีบไป”เห็นเพียงผมยาวจรดเอวของนางดั่งม่านน้ำ ร่างอรชรอ้อนแอ้น เผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติเซี่ยซางมองดูจนตะลึงเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงนางจึงรู้สึกตัวจนหน้าแดงเถือก ขณะนี้สวีหมัวมัวเดินเข้ามาหา ในมือสาวใช้มีเสื้อผ้าหลายชุด นางกล่าว “ท่านอ๋อง วันนี้จะสวมชุดใดเพคะ”เซี่ยซางชี้นิ้ว เลือกชุดตัวยาวสีน้ำเงินค
ข่าวที่ท่านอ๋องจะกลับจวนเป็นเพื่อนพระชายาแพร่สะพัดไปทั้งจวน พ่อบ้านเฉิงรีบไปเลือกของขวัญที่จะนำกลับไปในห้องเก็บสมบัติเซี่ยซางหันมองแวบหนึ่ง หันไปถามเฉิงจง “พวกนี้จะส่งไปที่จวนตระกูลเจียงหรือ?”เฉิงจงตอบ “เรียนท่านอ๋อง ใช่ขอรับ”เซี่ยซางขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยขึ้นอีก “พิธีกลับจวนสำคัญมากหรือ? ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่หรือไม่?”“พิธีกลับจวนเป็นพิธีการสุดท้ายในการแต่งงาน มิใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะฝ่ายหญิงจะให้ความสำคัญมาก ส่วนจะสำคัญอย่างไรนั้นเพียงไม่กี่ประโยคคงพูดไม่ชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรลูกเขยพาภรรยากลับไปคารวะพ่อตาแม่ยายพร้อมของกำนัล ถือเป็นธรรมเนียม พิธีกลับจวนทำได้ดีหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวแต่งกับคนดีหรือไม่ ได้รับความสำคัญจากลูกเขยหรือไม่ คนทั่วไปให้ความสำคัญมาก ยิ่งครอบครัวร่ำรวยยิ่งจัดให้สมฐานะ ทว่าท่านอ๋องฐานะสูงส่ง ย่อมไม่ต้องคารวะราชครู ท่านอ๋องกลับไปถือเป็นวาสนาของตระกูลนั้น...” พ่อบ้านเฉิงพูดไม่หยุดเซี่ยซางครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นกวาดมองสิ่งที่พ่อบ้านเฉิงเตรียมไว้ “ไปเอาของมาจากห้องเก็บสมบัติอีก”เดิมทีเฉิงจงเลือกมาไม่กี่อย่าง เพื่อทำตามพิธีเท่านั้น ว่ากันตามฐานะของพระชายาไ
เมื่อเห็นบิดามารดาทำความเคารพตัวเอง ดวงตาเจียงเฟิ่งหัวก็แดงเล็กน้อย นางรู้ว่านี่คือมารยาทของราชวงศ์ จึงปล่อยให้พวกเขาทำเซี่ยซางเห็นนางกำลังจะร้องไห้ จึงพูดเสียงขรึม “เจียง...ท่านพ่อตาแม่ยายรีบลุกขึ้นเถอะ”ทุกคนในตระกูลเจียงลุกขึ้น วินาทีต่อมา เห็นเพียงเซี่ยซางยื่นมือไปรับตัวเจียงเฟิ่งหัวจากสาวใช้กะทันหัน แล้วช้อนตัวอุ้มนางขึ้น พร้อมอธิบาย “เมื่อวานตอนเข้าวัง ข้อเท้าพระชายาพลิก ทำให้เดินเหินไม่สะดวก ข้าจึงต้องอุ้มนางเข้าไป”เจียงเฟิ่งหัวเคยคิดว่าเขาจะอุ้มนางลงจากรถ แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะเรียกพ่อแม่นางว่าท่านพ่อตาแม่ยาย ทำให้นางชะงักไปชั่วขณะ เพราะอย่างไรชาติที่แล้ว เขาไม่แม้แต่จะมองพวกท่านด้วยซ้ำ ตระกูลเจียงรุ่งโรจน์เพราะนางอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับโดนก่นด่าไปตลอดชีวิต คนตระกูลเจียงต้องทนทุกข์ทรมาน ล้วนเป็นเพราะคนที่นางแต่งงานด้วยไม่ชื่นชอบนางได้ยินเพียงเซี่ยซางกล่าวกับเจียงหวย “ท่านพ่อตา มีที่ให้พักผ่อนหรือไม่ เท้าของพระชายาเดินไม่สะดวก”“ไปนั่งที่ห้องรับแขกเถอะ” เจียงหวยมองดูขาของบุตรสาวแวบหนึ่ง รู้สึกกังวลไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ล้ำเส้นเข้าไปตรวจดู“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอ๋องทำเป
เจียงเฟิ่งหัวกอดมารดาพลางปลอบโยน “ลูกก็สุขสบายดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ ท่านแม่ร้องไห้อีกแล้ว”“แม่ดีใจมากจริงๆ” เจียงฮูหยินกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “หรวนหร่วนได้แต่งกับชายที่ต้องใจ แม่ดีใจมาก”เจียงหรูเมิ่งเองก็ดีใจแทนน้องสาวมาก จึงเอ่ยเสียงต่ำ “เดิมทีข้านึกว่าน้องสามแต่งเข้าจวนเหิงอ๋องจะต้องหายใจใต้จมูกคนอื่น ดูจากตอนนี้ เหิงอ๋องไม่เพียงเก่งกล้าสามารถ ซ้ำยังดูแลเอาใจใส่ ท่านแม่พูดถูก น้องสามได้แต่งกับชายที่พึงใจอย่างแท้จริง”เจียงเฟิ่งหัวก้มหน้าดื่มน้ำแกง พลางแสร้งทำขวยเขิน แล้วแอบคิด พวกนางคงไม่รู้ ชาติที่แล้วนอกจากไม่มีพิธีกลับจวน เซี่ยซางไม่แม้กระทั่งชายตามองนางด้วยซ้ำ เหิงอ๋องสวมชุดแต่งงานสีแดงสดไปรับตัวชายารองเข้าจวน นางถูกเชิญให้มาดื่มน้ำชาในฐานะนายหญิง ทุกคนล้วนตำหนิติเตียนเหยียดหยามนาง นางกลายเป็นที่ขบขันไปทั่วเมืองเซิ่งจิง เมื่อเห็นพวกเขารักใคร่ปรองดอง ในใจนางราวมีเลือดหลั่งรินงานเลี้ยงแบ่งเป็นสองโต๊ะ ชายหญิงคนละหนึ่งโต๊ะ ระหว่างกลางคั่นด้วยฉากกั้นที่ปักลวดลายดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ เซี่ยซางนั่งหันหลังตรงข้ามกับเจียงเฟิ่งหัวพอดี เขาได้ยินเสียงสะอื้นของเจียงฮูหยิน จึ
จวนตระกูลซูเมื่อซูถิงหว่านรับทราบข่าวที่เหิงอ๋องกลับตระกูลมารดาพร้อมพระชายาเหิงอ๋อง นางราวกับแข็งทื่อไปทั้งร่าง “ทั้งที่อาซางรับปากข้าแล้ว ทำไมเขาถึงไปจวนตระกูลเจียง ทั้งที่เขาไม่สนใจเจียงเฟิ่งหัว รับปากว่าวันนี้จะมารับข้า...”บนเตียงคือชุดแต่งงานที่นางต้องสวมใส่ เดิมทีชายารองแต่งเข้าจวนใส่ได้แค่สีชมพูเท่านั้น ทว่าเขายืนยันจะให้นางสวมชุดเจ้าสาวที่หรูหราและจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเซิ่งจิง จึงได้สั่งตัดชุดแต่งงานสีแดงสดด้วยราคาสูงลิ่วสาวใช้อิ๋นซิ่งที่อยู่ข้างกันกล่าวอย่างสงสาร “นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านอ๋องผิดนัด วันนี้เป็นวันที่คุณหนูออกเรือน เหตุใดท่านอ๋องจึงให้องครักษ์มาแจ้งคุณหนูว่าวันนี้มารับตัวคุณหนูไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้เจ้าคะ หากเลื่อนงานแต่งไปก่อน จะเลื่อนถึงวันใดเจ้าคะ? เป็นถึงคุณหนูตระกูลแม่ทัพถูกลดขั้นจากชายาเอกเป็นชายารองก็รันทดมากพอแล้ว ไฉนท่านอ๋องถึงทำกับคุณหนูเช่นนี้ นางเป็นเพียงบุตรสาวของราชครูเท่านั้น จะมาเทียบกับคุณหนูได้อย่างไร”“ไม่ต้องพูดแล้ว ออกไป” นางหันไปตวาดสาวใช้สาวใช้ไม่พูดสิ่งใดอีก เดินออกจากห้องเพียงลำพัง เพื่อแก้แค้นแทนคุณหนู ดังนั้นจึงนำเรื
ฮ่องเต้เข้าใจทันที จึงโอบเอวเล็กคอดของนาง แม้อายุของซูชิงชิงจะมากกว่าหวังเหม่ยเหรินมาก แต่นางยังคงเปี่ยมล้นด้วยความรัญจวน ซึ่งมีเสน่ห์แตกต่างกัน...ในไม่ช้า ฮ่องเต้โอบนางมาสู่อ้อมกอด แล้วดื่มด่ำกับความอ่อนโยนอันไร้ขอบเขตหลังเสร็จกิจ ซูชิงชิงแววตาหวานล้ำ นิ้วเรียวยาวถูวนอยู่ตรงแผงอกของฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเคยเห็นหวานหว่านมาก่อน นางระหกระเหินไปชายแดนกับบิดามารดาตั้งแต่เด็ก ลำบากตรากตรำมาไม่น้อย หวานหว่านกลับเมืองเซิ่งจิงเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว สมควรต้องแต่งงานออกเรือน หม่อมฉันในฐานะที่เป็นป้า ย่อมต้องใส่ใจเพคะ”ฮ่องเต้แสร้งลืมเรื่องหลายวันก่อนซูกุ้ยเฟยขอพระราชทานสมรสให้เหิงอ๋องและซูถิงหว่าน “บุตรสาวสุดที่รักของแม่ทัพซู เรื่องแต่งงานย่อมต้องให้ความสำคัญ เจ้าถูกใจบุรุษตระกูลใดก็ไปจัดการเถิด!”“ฝ่าบาทเพคะ!” ซูกุ้ยเฟยทำเสียงเง้างอด แล้วเบือนหน้าแสร้งทำโมโห “ฝ่าบาทคงยุ่งจนหลงลืม ไม่ใส่ใจหม่อมฉันแม้แต่น้อย”ภายในวังหลัง หากฮ่องเต้โปรดปรานสนมคนใดมากหน่อย ขุนนางที่เกี่ยวข้องก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย นี่คือสัญญาณที่รู้กันโดยไม่ต้องบอก เห็นได้ชัดว่าในใจฮ่องเต้จะโปรดซูกุ้ยเฟยจนเ
เขาดูเหมือนขาดคนเอาใจใส่และขาดความรักเป็นอย่างมากตอนเด็กเขายังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ น้ำตาไหลพรั่งพรูไปหมดเจียงเฟิ่งหัวเก็บกวาดจนสะอาดแล้วก็ไปที่ห้องครัวอีก เซี่ยซางกลับไปที่โต๊ะ ทำงานที่ยังค้างไว้ต่อ และก็เป็นเพราะดึกเกินไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ เวลานี้ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดขึ้นมา เริ่มเขียนหนังสืออย่างรวดเร็วเพียงไม่นานนางก็กลับมา เมื่อครู่นางเหมือนจะแอบเห็นว่าเนื้อหาบนกระดาษเกี่ยวข้องกับคดีสุสานหลวงถูกปล้นพี่ใหญ่บอกว่าเขาสืบได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เป็นทางการมาจากช่องทางพิเศษ เซี่ยซางอารมณ์ไม่ดีเพราะคดี เพราะฉะนั้นเมื่อครู่เขากำลังหงุดหงิดเรื่องคดีหรอกหรือ?นางจำได้ว่าชาติที่แล้วต่อให้สุสานหลวงถูกปล้น สิบกว่าปีหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น อย่างมากก็แค่อัญมณีและเครื่องหยกที่ฝังพร้อมพระศพในสุสานหายไปบ้างเท่านั้นแต่ดูท่าทางของเซี่ยซางในตอนนี้แล้ว นางรู้ว่ามีของอย่างหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากหายไปอย่างแน่นอน“เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องสะสาง” เซี่ยซางเห็นนางกลับมา กล่าวเสียงอ่อนโยนนางไม่ได้พูดอะไร “ตอนนี้ดึ
เซี่ยซางกลับขยับเว้นที่ให้นางเองอย่างมีไหวพริบ ถังอาบน้ำในหอหล่านเยว่ใหญ่มาก รองรับสองคนแล้วยังมีที่ว่างเหลือเจียงเฟิ่งหัวเห็นว่าเขานอนพาดอยู่นิ่ง ๆ กับขอบถังอาบน้ำ ขณะที่นางเตรียมจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเซี่ยซางก็ฉุดข้อเท้าของนางไว้ “อาบด้วยกัน”เจียงเฟิ่งหัวอยากจะบอกว่าอาบไปแล้ว แต่เซี่ยซางพูดด้วยทีท่าหนักแน่น นางจึงหยิบผ้าขึ้นมาถูหลังให้เขาเบา ๆ ล้างแขน ลงไปด้านล่างเรื่อย ๆ …นางทำอย่างเบามือ อ่อนโยน เหมือนกำลังลูบไล้สัตว์เลี้ยง ตอนนี้นางก็มองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ไม่เช่นนั้นนางเกรงว่าตัวเองคงไม่มีความอดทนพอที่จะอาบเขาให้เสร็จได้ผมของนางตั้งแต่ไหล่ลงไปเปียกหมดแล้ว ลอยอยู่บนผิวน้ำ นางดูแล้วมีเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหลแต่เซี่ยซางกลับไม่หวั่นไหว ทั้งสองคนเหมือนสามีภรรยาทั่วไปที่อาบน้ำให้กัน นางถึงขั้นสระผมให้เขา สระจนสะอาด น้ำก็เริ่มเย็นแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะลุกขึ้นนางกล่าว “ท่านอ๋อง” วันนี้ดูเหมือนเขาจะไม่มีอารมณ์ และยังอารมณ์ไม่ดีอีกด้วย“ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ!” เซี่ยซางว้าวุ่นในใจ ร้อนรุ่ม อยู่ไม่สุข แต่เขาคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไม่มีทางทำอะไรกับนางในน้ำอย่า
เมื่อเห็นเซี่ยซางแช่อยู่ในน้ำ เปลือยแขนและท่อนบน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเมตตาสงสารขึ้นมา ต่อให้เป็นหมาแมวตกน้ำ นางก็ต้องไปช่วยหน่อยมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นเขาดื่มจนเมาขนาดนี้ หากไถลลงไปจมน้ำตาย ฝันของนางที่จะเป็นฮองเฮามิต้องสลายไปหรอกหรือนางคิดว่าต่อให้ตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที่แล้ว แม้ไม่จมน้ำตาย แต่กลางคืนหลับไปแบบนี้ก็จะเป็นหวัดได้ง่าย ๆนางฝืนใจยกน้ำแกงสร่างเมาไปทางเรือนด้านข้าง “ท่านอ๋อง ตื่นเถอะเพคะ” นางเรียกข้างหูเขาเบา ๆ หนึ่งทีเซี่ยซางเหมือนจะหลับไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นอกจากว่าเขาคออ่อน มารยาทในการดื่มของเขายังถือว่าใช้ได้ อย่างน้อยไม่โหวกเหวกโวยวายนางใช้ช้อนตักน้ำแกงสร่างเมา ค่อย ๆ ป้อนใส่ปากเขา “ดื่มสักหน่อยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะรู้สึกไม่สบายตัวนะเพคะ”เซี่ยซายยังคงไม่ขยับ หายใจสม่ำเสมอ หลับลึกมาก เหมือนเหนื่อยสุดขีด เจียงเฟิ่งหัวป้อนเขานิดเดียวอย่างใจเย็น แต่กลับไหลเปรอะเปื้อนเต็มปากไปหมด นางก็ขี้เกียจจะป้อนแล้ว เมื่อครู่อาเจียนในเรือนไปแล้ว ในท้องเขาไม่น่าจะมีเหล้าหลงเหลืออยู่เจียงเฟิ่งหัวย่อมย้ายตัวเขาไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเห็นกล้าม
เซี่ยซางเห็นเจียงเฟิงหัวยืนอย่างงดงามอ่อนช้อยอยู่ที่ประตู ก็ยื่นมือไปทางนาง กล่าวเสียงเข้มว่า “มานี่…”“อ๊อก!” เขายังพูดไม่จบ เซี่ยซางก็เริ่มอาเจียนออกมาอย่างรุนแรงทันที เวลานี้ท่าทางของเขาน่าสมเพชเวทนามาก ไม่เหลือมาดท่านอ๋องแม้แต่นิดเดียวเจียงเฟิ่งหัวปิดปากและจมูกไว้ มองดูเรือนที่นางจัดตกแต่งอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจหลินเฟิงรู้สึกผิดไม่น้อย วันนี้ท่านอ๋องน่าขายหน้ามากจริง ๆ อาเจียนได้อย่างไรกัน?แล้วก็ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวสั่งสาวใช้ว่า “เตรียมน้ำอุ่นให้ท่านอ๋อง ให้ท่านอาบน้ำ สวีหมัวมัว วานท่านไปห้องครัว ต้มน้ำแกงสร่างเมามาหน่อย”รอจนเขาอาเจียนน้ำเหลือง ๆ ออกมาจากในท้อง หลินเฟิงกับพ่อบ้านเฉิงจึงค่อยย้ายเซี่ยซางไปเรือนด้านข้าง วางเขาลงในถังอาบน้ำอันที่จริงเจียงเฟิ่งหัวอยากให้หลินเฟิงเอาเขาไปส่งหอทิงเสวี่ยหลินเฟิ่งช่วยถอดเสื้อผ้าของเซี่ยซางออก เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในบนตัวเขา เขาลองหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จะออกไปแล้ว?”เจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว อยากจะพูดว่าเจ้ามาอาบน้ำล้างตัวเขาให้สะอาดก่อนค่อยไปสิ!แต่หลินเฟิงไหนเลยจะให้โอกาสนางได้พูด พูด “ข้าน้อย
ซูถิงหว่านกล่าว “ท่านก็เห็นว่าเขาจ้องเจียงเฟิ่งหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและไม่อยากจากลา คนก็จากไปแล้ว ลูกตาเขายังจ้องจนแทบจะออกมานอกเบ้า”“ข้าหมายถึงว่าต้องการหลักฐานที่แน่นหนา”ซูถิงหว่านก็เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “คราวก่อนก็เป็นเขาที่มาช่วยนางไว้ ท่านอ๋องเห็นกับตาอยู่ชัด ๆ ว่าเขากับเจียงเฟิ่งหัวมีความสัมพันธ์คลุมเครือ แต่ท่านอ๋องกลับไม่ถือสาหาความ วันนี้ก็เป็นเขาอีกแล้ว ท่านพูดถูก ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน อาซางไม่มีทางเชื่อแน่”“พระชายารองรู้จักคนคนนี้ตั้งนานแล้วหรือ?” อวิ๋นฟางถาม“ไม่รู้จักได้อย่างไร เหมือนจะชื่อเซียวอวี้ เป็นดาวเด่นคนใหม่ในเมืองเซิ่งจิ่ง มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร” ซูถิงหว่านอธิบาย ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ “คนพวกนี้ชอบดัดจริตเป็นที่สุด ทำตัวเป็นผู้ดีมีรสนิยม เรียนหนังสือเก่งแล้วมีอะไรดีเล่า ถ้าไม่ได้ทหารเหล่านั้นที่ปกป้องประเทศชาติอยู่ชายแดน พวกเขาจะได้เดินเตร่ในหอโคมเขียว ดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ไหม? ทั้งสกุลซูของข้าพิทักษ์รักษาบ้านเมือง เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบของแคว้นต้าโจว แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องให้ความเคารพสกุลซูของข้าอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านป้าจึง
อีกฝั่งหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวหนีออกมาจากหออี๋ชุนแล้วก็ไม่กล้ากลับไปอีก กลัวจะเจอเซี่ยซางเข้าเซียวอวี้เห็นนางสวมหน้ากาก ก็ลองถามดูว่า “คุณหนูสามหรือ?”เจียงเฟิ่งหัวได้สติกลับมา เปิดหน้ากากออก กล่าวว่า “คุณชายเซียวรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”เซียวอวี้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ตอบตามตรงว่า “เมื่อก่อนไปหาท่านครูที่จวนสกุลเจียงอยู่บ่อย ๆ บ้านสกุลเจียงมักจะมีเสียงพิณลอยออกมา ข้าเลยรู้ว่าคุณหนูสามสกุลเจียงดีดพิณอยู่”เมื่อเขาได้ยินท่วงทำนองอันคุ้ยเคยที่หออี๋ชุนอีกครั้ง เขาก็ตกใจตาค้าง วินาทีนั้นเอง เขาก็กล้าฟันธงว่านางคือเจียงเฟิ่งหัว เพราะว่าคุ้นเคยเป็นอย่างดี“ที่แท้คุณชายเซียวฟังเสียงดนตรีก็รู้ตัวคนเล่น ดูท่าคุณชายเซียวก็เป็นคนที่ชื่นชอบเสียงดนตรีเช่นกัน” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเซียวอวี้ตอบ “ก็แค่พอรู้เรื่องบ้าง ไม่ได้เสี้ยวของคุณหนูสามหรอก”“คุณชายเซียวถ่อมตัวไปแล้ว ท่านพ่อของข้ามักจะบอกว่าในบรรดานักเรียนของท่านทั้งหมด มีเพียงเซียวอวี้ที่เฉลียวฉลาดเกินใคร ต่อไปจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตแน่นอน” เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้โกหก ราชครูเจียงเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคนมีความสามารถจริง ๆ ดังนั้นจึงมักกล่าวถึงเขาอยู่บ
เวลานี้เอง เจียงจิ่นเหยียนก็มาถึงเวทีเช่นกัน เขาอยากจะพาเจียงเฟิ่งหัวไป แต่กลับคว้ามือของชายอีกคนหนึ่งไว้ในความมืดมิด เจียงเฟิ่งหัวยื่นมือไปคว้ามือของพี่ใหญ่ของนางไว้ แต่กลับคลำเจอฝ่ามือใหญ่ ๆ คู่หนึ่งที่มีแผ่นหนังด้าน ๆ นางรู้ว่านี่ไม่ใช่มือของพี่ใหญ่แน่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนอื่น จะเป็นใครเล่า?นางคิดอยากสะบัดมือของอีกฝ่ายออก แต่อีกฝ่ายกลับกำมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทันใดนั้น ฝั่งตรงข้ามก็ดึงนางเข้าไปใกล้ นางจึงเพิ่งได้กลิ่นที่คุ้นเคย นางสับสนวุ่นวายในใจ เป็นเซี่ยซางได้อย่างไรกันเจียงเฟิ่งหัวรีบหุบปากไว้ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว กลัวว่าเขาจะจำเสียงได้เนื่องจากนางใส่หน้ากากปกปิดไว้ทั้งหน้า เซี่ยซางเห็นลักษณะของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ชัด รู้สึกเพียงว่านิ้วมือของคนผู้นี้เรียว เนียนละเอียด เหมือนมือผู้หญิง วินาทีนั้นที่เขาเข้าโอบเอวคนผู้นี้ ก็รู้สึกได้ว่าเอวบางเหมือนกิ่งหลิว และหน้าอกของคนผู้นี้นุ่มนิ่มเขารู้ตัวแล้วว่าที่แท้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง…ขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง เจียงเฟิ่งหัวเหยียบหลังเท้าเขาอย่างแรง นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีจึงหลุดออกมาจากมือเขาได้ นางก็ไม่มีเวลาสนใจอะ
ในหออี๋ชุนมีทั้งร้องทั้งเต้น เสียงปรบมือโห่ร้องดังทั่วหอ แล้วก็ได้ยินพิธีกรเอ่ยว่า “ขอเชิญคุณชายไร้เทียมทานขึ้นเวที”ฝูงชนเมื่อได้ยินว่าคุณชายไร้เทียมทาน ทุกคนก็ตกใจ พากันวิพากษ์วิจารณ์ “นี่คือการประกวดคัดเลือกนางคณิกา จะมีผู้ชายขึ้นเวทีได้อย่างไร หรือว่าผู้ชายก็อยากชิงตำแหน่งยอดนางคณิกาด้วยหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ คณิกาชายมาจากไหนกัน พวกเราต้องการแต่ผู้หญิง ไม่เอาผู้ชาย” ทันใดนั้นกัวเซี่ยก็ขึ้นเสียงด่าทอ “ให้คุณชายไร้เทียมทานอะไรนั่นไสหัวลงไป”มีคนผสมโรงไปด้วยอีก “ข้าน่ะมาใช้เงินเพื่อดูสาว ๆ แก้เบื่อ ผู้ชายมีอะไรน่าดูกัน พวกเจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย ให้แม่นางเพียนเพียนเมื่อครู่ออกมาร้องอีกเพลงซิ ข้ามีเงินเยอะแยะ พวกนี้ก็ตบรางวัลนางให้หมด”ในชั่วพริบตา ชายคนนั้นควักทองตำลึงออกมาหลายก้อน “ตำแหน่งยอดคณิกาคืนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่นางเพียนเพียน ให้นางออกมา”“เพียนเพียน!”ไม่นาน ทั้งหอก็ตะโกนเรียกชื่อของเพียนเพียนหลินอวี่ในชุดกระโปรงยาวเข้ารูปอันประณีตเดินอย่างอ่อนช้อยไปที่เวที นางยิ้มมุมปากอย่างเย้ายวน ริมฝีปากแดงระเรื่อ กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ทุกท่านมาสนับสนุนงานนี้ที่หออี๋ชุนของข้า ก็เป็น
เจียงจิ่นเหยียนเห็นว่าในแววตานางมีความกังวลซ่อนอยู่ “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ที่เจ้าแต่งกับเหิงอ๋อง เขาทำอะไรเจ้าหรือ ถึงได้ห่วงหน้าพะวงหลัง ข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เจียงเฟิ่งหัวที่มีการวางแผนชัดเจนอยู่ในใจ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไปอยู่ที่ไหนแล้ว”“เมื่อก่อนข้าเข้าออกหออี๋ชุนมีพี่ใหญ่คอยปกปิดให้ข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าทำตามอำเภอใจไม่ได้อีกต่อไป” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางคือพระชายาเหิงอ๋อง ยิ่งรู้ดีว่าเซี่ยซางผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่นมานานแล้ว แต่หรวนหร่วนอยากจะแต่งเอง เขาก็ห้ามไม่ได้ เขาเพียงแค่หวังว่าน้องสาวจะทำใจให้สบาย ไร้ทุกข์ไร้กังวลในใจเขาสงสัยมาตลอดว่า หรือว่าหรวนหร่วนจะมีใจให้เหิงอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เขาถามว่า “หรวนหร่วน พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันซับซ้อนอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก พี่ใหญ่หวังว่าเจ้าจะไม่ลืมความเป็นตัวเอง ทำให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์เพื่อเรื่องบางอย่างหรือคนบางคนที่ไม่ควรค่า เจ้าต้องจำไว้ว่าความสุขสำคัญที่สุด ถ้าเขาทำให้เจ้ามีความสุขไม่ได้ ทำให้เจ้าไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เจ้าจะแต่งงานกับเขาไปทำไม”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางแตกต่าง