อีกด้านหนึ่ง องครักษ์ตระกูลซูเร่งเดินทางไปหน้าประตูสกุลเจียง ประกาศว่าจะพบเหิงอ๋อง อีกทั้งยังต้องนำจดหมายมอบให้กับมือ“เจ้าคือตระกูลซูไหนกัน วันนี้ที่จวนมีงานมงคล นายท่านสั่งไว้แล้วว่าไม่รับแขก” บ่าวเฝ้าประตูพูดจบก็เตรียมปิดประตู“ข้ามาจากจวนแม่ทัพซูทางใต้ของเมือง ข้ามีเรื่องสำคัญจะพบเหิงอ๋อง” องครักษ์ดูโอหังเล็กน้อยบ่าวเฝ้าประตูชื่อเจียงห้วน มาอยู่กับตระกูลเจียงตั้งแต่เด็ก อ่านออกเขียนได้ และไม่ชอบคนโอหังที่สุด อีกทั้งยังมีน้ำโหเล็กน้อย เขารู้ว่าวันนี้คุณหนูสามกลับจวนตามพิธี ใครก็รบกวนไม่ได้ทั้งนั้น อีกทั้งยังได้ยินอีกฝ่ายบอกว่ามาจากจวนแม่ทัพซูทางใต้ของเมือง นี่เป็นตระกูลที่เขาเคยไปกับพี่เหลียนเย่ไม่ใช่หรือ?ตอนนั้นเขาได้ยินพี่เหลียนเย่บ่นหนึ่งคำ ‘ที่แท้คุณหนูซูเป็นคู่รักของเหิงอ๋องหรือ!’“หรือคุณหนูตระกูลซูส่งจดหมายมาให้เหิงอ๋องหรือ?” เขาเข้าใจทันที พร้อมเอ่ยในใจ “แย่แล้ว...”บ่าวเฝ้าประตูยิ้มให้เขาก่อน แล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาหาท่านอ๋อง เช่นนั้นข้าจะเข้าไปรายงาน โปรดรอสักครู่ จดหมายในมือเจ้าให้ข้านำไปมอบให้หรือไม่?”คุณหนูสั่งไว้จดหมายต้องมอบให้เหิงอ๋องกับมือ เขากล่าว “ไม่จำเ
เซี่ยซางเริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย ประกอบกับอาการเมาค้างจากเมื่อคืน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จึงเผลอหลับไปครู่หนึ่งผู้ที่อยู่ตรงหน้าแจ้งจุดประสงค์ “คุณหนูสั่งให้กระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้ท่านอ๋องด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”เขาเปิดจดหมายของซูถิงหว่าน ‘อาซาง เห็นตัวอักษรประหนึ่งได้เห็นหน้า...ข้าไปแล้วนะ’หลังจากอ่านจดหมายจบ สีหน้าของเซี่ยซางก็พลันมืดมน หัวใจรู้สึกเคว้งคว้างอย่างยิ่ง หวานหว่านจะจากไปตลอดกาล สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ เวลานี้ เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำแกงสร่างเมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “ท่านอ๋อง ดื่มน้ำแกงสร่างเมาก่อนเถิดเพคะ!”สายตาเย็นชาของเซี่ยซางไร้ซึ่งความอบอุ่น รอบกายแผ่รังสีเยือกเย็น ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ยกมือขึ้นคว่ำถ้วยในมือของเจียงเฟิ่งหัว น้ำแกงสร่างเมาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ทันเย็น ก็หกราดลงบนหลังมือที่ขาวเนียนของนาง ภายในชั่วพริบตาผิวก็แดงเป็นปื้นนางรีบซ่อนมือเอาไว้ อดทนต่อความเจ็บปวด “หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงทำหกเพคะ หงซิ่วยกมาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง”หงซิ่วทำอย่างรวดเร็ว ตักน้ำแกงมาใหม่อีกถ้วยแล้วรี
ศาลาพักริมทางสิบลี้ที่อยู่นอกเมืองมีศาลเจ้าที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เซี่ยซางตามซูถิงหว่านได้ทัน ในยามที่ทั้งสองรักกันอย่างลึกซึ้ง ก็ได้อาศัยศาลเจ้าที่มาทำพิธีคำนับฟ้าดิน โดยเป็นความต้องการของซูถิงหว่านนางกล่าวว่า “อาซาง ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานกับท่านอย่างเปิดเผยได้ เช่นนั้นเราก็มาไหว้ศาลเจ้าที่กันเถิด ท่านเป็นที่ศรัทธาของผู้คน พวกเราไหว้ท่านคงไม่ผิดหรอก”เดิมทีเซี่ยซางลังเลอยู่บ้าง แต่มิอาจทนต่อคำพูดที่องอาจและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณได้ อีกทั้งรู้ตัวว่าวันนี้ผิดคำสัญญากับนาง ในวินาทีที่ได้พบนาง ความรู้สึกที่ได้สิ่งที่หายไปกลับคืนมาทำให้เขารู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า ในที่สุดก็ตกลงทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางที่ศาลเจ้าที่หลังจากที่ทั้งสองทำพิธีคำนับฟ้าดินแล้ว ซูถิงหว่านก็เอ่ยขึ้นต่อ “อาซาง วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขและเป็นอิสระที่สุดในชีวิต ในเมื่อเราคำนับฟ้าดินกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน ข้าเป็นภรรยาของท่านแล้ว ดีใจเหลือเกิน”เขาไม่สามารถมอบตำแหน่งชายาเอกให้นางได้ ทว่าตอนนี้กลับมาทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางอย่างลับ ๆ ข้างนอก ในใจรู้ดีว่าไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม แต่หวานหว่านเป็
เมื่อกล่าวถึง ‘ความกตัญญู’ แคว้นต้าโจวก็ให้ความสำคัญกับคำว่ากตัญญูเป็นอันดับแรก พานไท่ฟู่เป็นขุนนางขั้นสูงสุด เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตโดยแท้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ข่าวนี้ถึงได้แพร่ไปถึงหูของพานไท่ฟู่ที่กำลังสอนหนังสืออยู่ เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนทำพิธีแต่งงานที่ศาลเจ้าที่ ก็โกรธจนควันออกหู ด่าทอว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากคนผู้นี้เป็นบัณฑิต ก็ถือว่าอ่านหนังสือของนักปราชญ์ไปก็เสียเปล่าพานไท่ฟู่ตัดสินใจบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนลูกศิษย์รุ่นหลัง ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม ความชอบธรรม ศีลธรรม และความละอาย พานไท่ฟู่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ไม่หยุดเป็นเดือน และจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในภายหลัง กลับมาที่เรื่องเดิม องครักษ์หลินเฟิงที่ยืนเฝ้าอยู่นอกศาลเจ้าที่ซ่อนดาบไว้ในมืออย่างเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนทั้งสองคนในศาลเจ้าที่ เขารู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นขององครักษ์หลินเฟิงก็เริ่มทำงาน เขาแสร้งทำเป็นคนผ่านทาง เงี่ยหูฟังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวิพากษ์วิจารณ์นายของตนหลังจากฟังจบ เขาก็ได้แต่บ่นในใจ ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เหตุใดคุณหนูซูถึงได้ลากนายท่านไ
ภายในจวนเหิงอ๋อง เจียงเฟิ่งหัวกลับมาถึงจวนก็จัดการตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนออก สวมชุดใหม่ที่ดูสง่างามและหรูหรากว่าเดิม ไม่นานนัก ซูกุ้ยเฟยก็มาหาถึงที่ซูกุ้ยเฟยในฐานะพระสนมในวังหลังสามารถเข้าออกพระราชวังได้อย่างอิสระ แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระนางมากเพียงใดอย่างไรก็ตาม ซูกุ้ยเฟยยังคงเป็นผู้ที่รู้จักมารยาทและรู้จักประมาณตน แม้ว่าจะออกจากวัง พระนางก็จะไม่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว ยิ่งไม่ปรากฏตัวต่อหน้าบุรุษภายนอกโดยพลการ ใบหน้ามีผ้าคลุมบาง ๆ ปิดบังอยู่ตลอดเวลา มีนางกำนัลคอยติดตามอยู่ข้างกาย มีทหารคอยคุ้มกัน เข้าไปในจวนเหิงอ๋องอย่างยิ่งใหญ่เจียงเฟิ่งหัวโค้งคำนับซูกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม ไม่ดูถูกตนเองหรือยกตนข่มท่าน “กุ้ยเฟยเสด็จมาด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันมิได้ออกไปต้อนรับ ขออภัยด้วยเพคะ”ซูกุ้ยเฟยแต่งหน้างดงาม กิริยามีเสน่ห์น่าหลงใหล เอวบางดุจกิ่งหลิว แฝงไปด้วยเสน่ห์ของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก นางแต่งกายอย่างสง่างามดูน่าเกรงขาม เมื่อเห็นพระชายาเหิงอ๋องดูงดงามเช่นนี้ ใจของนางก็เต้นแรง จากนั้นนางก็เสด็จไปประทับยังที่นั่งหลักเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่ได้ใส่ใจ หาที่นั่งใกล้ ๆ
เจียงเฟิ่งหัวก็จ้องมองซูกุ้ยเฟยด้วยสายตาที่คาดหวัง กล่าวด้วยท่าทางที่สง่างามและอ่อนโยน “เมื่อครู่พระสนมกำลังพูดเรื่องนี้กับหม่อมฉันอยู่ ท่านอ๋องก็เสด็จกลับมาพอดี พระสนมบอกว่านำพระบัญชาของฝ่าบาทมาด้วย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าอย่างไรหรือเพคะ?”เซี่ยซางขมวดคิ้วแน่น เมื่อต้องรับพระราชโองการ เขาก็ยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ประสานมือคารวะ “เสด็จพ่อมีพระบัญชาอันใดหรือ?”สีหน้าของซูกุ้ยเฟยยิ่งดูอึดอัดใจ พ่อบ้านเฉิงรีบร้อนเข้ามา “ทูลท่านอ๋อง มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงอยู่หน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้ในเมืองมีข่าวลือเรื่องมีคนแต่งงานกันที่ศาลเจ้าที่นอกเมือง แถมยังพูดกันในทางที่ไม่ดี อย่างเช่น คุณชายร่ำรวยเลี้ยงดูอนุภรรยา หญิงสาวบ้านใกล้เรือนเคียงหนีตามผู้ชาย...พอพวกเขาเข้าเมืองมา จึงอยากตามมาดูความสนุกสนาน และยิ่งอยากจะรู้ความจริงพ่อบ้านเฉิงก็จนปัญญาเช่นกัน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไล่ชาวบ้านเหล่านี้ไปไม่ได้ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนให้ฟังทั้งหมดเจียงเฟิ่งหัวได้ฟังก็เบิกตากว้าง แล้วเอ่ยขึ้นเบา
ในหมู่คนเหล่านี้ ผู้ใดเล่าจะกล้าพูดนินทาจวนอ๋อง หรือผู้ใดจะกล้าเข้าไปถามว่าบุรุษและสตรีที่ไปทำพิธีคำนับฟ้าดินที่ศาลเจ้าที่ แล้วเข้ามาในจวนเหิงอ๋อง พวกเขาเป็นใครกัน ต่อให้เป็นเหิงอ๋อง แต่พระชายาก็อยู่ที่นี่ ท่าทางสงบนิ่งและสง่างาม ผู้ใดจะกล้าเข้าไปซักถาม จึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเจียงเฟิ่งหัวรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ จึงกล่าวต่อว่า “พ่อบ้านเฉิงเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้ให้พร้อม ผู้ที่ต้องการร้องเรียน ให้จดบันทึกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ บ้านเลขที่ จำนวนสมาชิกในครอบครัว ให้บันทึกลงในสมุดให้ครบถ้วน”นางใช้อำนาจข่มขู่ บันทึกรายละเอียดขนาดนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ด่าทอหรือพูดจาเหลวไหล หากถูกเอาเรื่องทีหลังจะทำอย่างไร ไม่มีผู้ใดโง่เขลาพ่อบ้านเฉิงทำท่าทางเคร่งขรึม ยกโต๊ะมาวาง เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้เสร็จสรรพเจียงเฟิ่งหัวชี้ไปยังพื้นที่ว่างอันกว้างขวางหน้าประตูจวนเหิงอ๋องด้วยมืออันเรียวงาม “เอาโต๊ะไปวางตรงนั้น คนมากมายขนาดนี้ คงใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะจัดการได้ทั้งหมด”พ่อบ้านเฉิงดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของพระชายาแล้ว “แบบนี้ก็ไม
นางหันไปพูดกับเจียงเฟิ่งหัวอย่างเปิดเผย “ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน ที่นึกถึงพวกเราขนาดนี้ และต้องขอโทษจริง ๆ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้พระราชทานสมรส ท่านก็คงไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก”เจียงเฟิ่งหัวมีสีหน้าเรียบเฉย แววตาแจ่มใส ไม่มีทีท่าว่าจะหึงหวงแม้แต่น้อย แม้แต่สายตาที่มองเซี่ยซางก็ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอแค่พวกท่านอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว ถ้าเช่นนั้น พ่อบ้านเฉิงก็ไปจัดเตรียมที่พักให้กับ...พระชายารองซูเถิด!”ชาติที่แล้วนางเคยดื่มน้ำชาที่ถวายแก่นายหญิงแล้ว ชาตินี้จะดื่มหรือไม่ดื่มก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรน้ำชานั่นก็กลืนลงคอได้ยากเย็นเหลือเกินนางกะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยถามเซี่ยซาง “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”เซี่ยซางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกย่างอยู่บนกองไฟ เขาสัญญากับหวานหว่านว่าจะแต่งงานแล้วรับนางเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ และก็เป็นเพราะความใจร้อนที่แอบไปทำพิธีคำนับฟ้าดินกับหวานหว่านที่ศาลเจ้าที่ส่วนอีกด้านหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวกำลังเตรียมจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาอยู่ในจวนเมื่อมองไปที่เจียงเฟิ่งหัว เขาก็รู้สึกผิด เรื่องระหว่างเขากับหวานหว่า
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู