เซี่ยซางเริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย ประกอบกับอาการเมาค้างจากเมื่อคืน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จึงเผลอหลับไปครู่หนึ่งผู้ที่อยู่ตรงหน้าแจ้งจุดประสงค์ “คุณหนูสั่งให้กระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้ท่านอ๋องด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”เขาเปิดจดหมายของซูถิงหว่าน ‘อาซาง เห็นตัวอักษรประหนึ่งได้เห็นหน้า...ข้าไปแล้วนะ’หลังจากอ่านจดหมายจบ สีหน้าของเซี่ยซางก็พลันมืดมน หัวใจรู้สึกเคว้งคว้างอย่างยิ่ง หวานหว่านจะจากไปตลอดกาล สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ เวลานี้ เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำแกงสร่างเมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “ท่านอ๋อง ดื่มน้ำแกงสร่างเมาก่อนเถิดเพคะ!”สายตาเย็นชาของเซี่ยซางไร้ซึ่งความอบอุ่น รอบกายแผ่รังสีเยือกเย็น ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ยกมือขึ้นคว่ำถ้วยในมือของเจียงเฟิ่งหัว น้ำแกงสร่างเมาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ทันเย็น ก็หกราดลงบนหลังมือที่ขาวเนียนของนาง ภายในชั่วพริบตาผิวก็แดงเป็นปื้นนางรีบซ่อนมือเอาไว้ อดทนต่อความเจ็บปวด “หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงทำหกเพคะ หงซิ่วยกมาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง”หงซิ่วทำอย่างรวดเร็ว ตักน้ำแกงมาใหม่อีกถ้วยแล้วรี
ศาลาพักริมทางสิบลี้ที่อยู่นอกเมืองมีศาลเจ้าที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เซี่ยซางตามซูถิงหว่านได้ทัน ในยามที่ทั้งสองรักกันอย่างลึกซึ้ง ก็ได้อาศัยศาลเจ้าที่มาทำพิธีคำนับฟ้าดิน โดยเป็นความต้องการของซูถิงหว่านนางกล่าวว่า “อาซาง ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานกับท่านอย่างเปิดเผยได้ เช่นนั้นเราก็มาไหว้ศาลเจ้าที่กันเถิด ท่านเป็นที่ศรัทธาของผู้คน พวกเราไหว้ท่านคงไม่ผิดหรอก”เดิมทีเซี่ยซางลังเลอยู่บ้าง แต่มิอาจทนต่อคำพูดที่องอาจและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณได้ อีกทั้งรู้ตัวว่าวันนี้ผิดคำสัญญากับนาง ในวินาทีที่ได้พบนาง ความรู้สึกที่ได้สิ่งที่หายไปกลับคืนมาทำให้เขารู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า ในที่สุดก็ตกลงทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางที่ศาลเจ้าที่หลังจากที่ทั้งสองทำพิธีคำนับฟ้าดินแล้ว ซูถิงหว่านก็เอ่ยขึ้นต่อ “อาซาง วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขและเป็นอิสระที่สุดในชีวิต ในเมื่อเราคำนับฟ้าดินกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน ข้าเป็นภรรยาของท่านแล้ว ดีใจเหลือเกิน”เขาไม่สามารถมอบตำแหน่งชายาเอกให้นางได้ ทว่าตอนนี้กลับมาทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางอย่างลับ ๆ ข้างนอก ในใจรู้ดีว่าไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม แต่หวานหว่านเป็
เมื่อกล่าวถึง ‘ความกตัญญู’ แคว้นต้าโจวก็ให้ความสำคัญกับคำว่ากตัญญูเป็นอันดับแรก พานไท่ฟู่เป็นขุนนางขั้นสูงสุด เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตโดยแท้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ข่าวนี้ถึงได้แพร่ไปถึงหูของพานไท่ฟู่ที่กำลังสอนหนังสืออยู่ เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนทำพิธีแต่งงานที่ศาลเจ้าที่ ก็โกรธจนควันออกหู ด่าทอว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากคนผู้นี้เป็นบัณฑิต ก็ถือว่าอ่านหนังสือของนักปราชญ์ไปก็เสียเปล่าพานไท่ฟู่ตัดสินใจบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนลูกศิษย์รุ่นหลัง ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม ความชอบธรรม ศีลธรรม และความละอาย พานไท่ฟู่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ไม่หยุดเป็นเดือน และจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในภายหลัง กลับมาที่เรื่องเดิม องครักษ์หลินเฟิงที่ยืนเฝ้าอยู่นอกศาลเจ้าที่ซ่อนดาบไว้ในมืออย่างเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนทั้งสองคนในศาลเจ้าที่ เขารู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นขององครักษ์หลินเฟิงก็เริ่มทำงาน เขาแสร้งทำเป็นคนผ่านทาง เงี่ยหูฟังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวิพากษ์วิจารณ์นายของตนหลังจากฟังจบ เขาก็ได้แต่บ่นในใจ ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เหตุใดคุณหนูซูถึงได้ลากนายท่านไ
ภายในจวนเหิงอ๋อง เจียงเฟิ่งหัวกลับมาถึงจวนก็จัดการตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนออก สวมชุดใหม่ที่ดูสง่างามและหรูหรากว่าเดิม ไม่นานนัก ซูกุ้ยเฟยก็มาหาถึงที่ซูกุ้ยเฟยในฐานะพระสนมในวังหลังสามารถเข้าออกพระราชวังได้อย่างอิสระ แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระนางมากเพียงใดอย่างไรก็ตาม ซูกุ้ยเฟยยังคงเป็นผู้ที่รู้จักมารยาทและรู้จักประมาณตน แม้ว่าจะออกจากวัง พระนางก็จะไม่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว ยิ่งไม่ปรากฏตัวต่อหน้าบุรุษภายนอกโดยพลการ ใบหน้ามีผ้าคลุมบาง ๆ ปิดบังอยู่ตลอดเวลา มีนางกำนัลคอยติดตามอยู่ข้างกาย มีทหารคอยคุ้มกัน เข้าไปในจวนเหิงอ๋องอย่างยิ่งใหญ่เจียงเฟิ่งหัวโค้งคำนับซูกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม ไม่ดูถูกตนเองหรือยกตนข่มท่าน “กุ้ยเฟยเสด็จมาด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันมิได้ออกไปต้อนรับ ขออภัยด้วยเพคะ”ซูกุ้ยเฟยแต่งหน้างดงาม กิริยามีเสน่ห์น่าหลงใหล เอวบางดุจกิ่งหลิว แฝงไปด้วยเสน่ห์ของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก นางแต่งกายอย่างสง่างามดูน่าเกรงขาม เมื่อเห็นพระชายาเหิงอ๋องดูงดงามเช่นนี้ ใจของนางก็เต้นแรง จากนั้นนางก็เสด็จไปประทับยังที่นั่งหลักเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่ได้ใส่ใจ หาที่นั่งใกล้ ๆ
เจียงเฟิ่งหัวก็จ้องมองซูกุ้ยเฟยด้วยสายตาที่คาดหวัง กล่าวด้วยท่าทางที่สง่างามและอ่อนโยน “เมื่อครู่พระสนมกำลังพูดเรื่องนี้กับหม่อมฉันอยู่ ท่านอ๋องก็เสด็จกลับมาพอดี พระสนมบอกว่านำพระบัญชาของฝ่าบาทมาด้วย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าอย่างไรหรือเพคะ?”เซี่ยซางขมวดคิ้วแน่น เมื่อต้องรับพระราชโองการ เขาก็ยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ประสานมือคารวะ “เสด็จพ่อมีพระบัญชาอันใดหรือ?”สีหน้าของซูกุ้ยเฟยยิ่งดูอึดอัดใจ พ่อบ้านเฉิงรีบร้อนเข้ามา “ทูลท่านอ๋อง มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงอยู่หน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้ในเมืองมีข่าวลือเรื่องมีคนแต่งงานกันที่ศาลเจ้าที่นอกเมือง แถมยังพูดกันในทางที่ไม่ดี อย่างเช่น คุณชายร่ำรวยเลี้ยงดูอนุภรรยา หญิงสาวบ้านใกล้เรือนเคียงหนีตามผู้ชาย...พอพวกเขาเข้าเมืองมา จึงอยากตามมาดูความสนุกสนาน และยิ่งอยากจะรู้ความจริงพ่อบ้านเฉิงก็จนปัญญาเช่นกัน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไล่ชาวบ้านเหล่านี้ไปไม่ได้ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนให้ฟังทั้งหมดเจียงเฟิ่งหัวได้ฟังก็เบิกตากว้าง แล้วเอ่ยขึ้นเบา
ในหมู่คนเหล่านี้ ผู้ใดเล่าจะกล้าพูดนินทาจวนอ๋อง หรือผู้ใดจะกล้าเข้าไปถามว่าบุรุษและสตรีที่ไปทำพิธีคำนับฟ้าดินที่ศาลเจ้าที่ แล้วเข้ามาในจวนเหิงอ๋อง พวกเขาเป็นใครกัน ต่อให้เป็นเหิงอ๋อง แต่พระชายาก็อยู่ที่นี่ ท่าทางสงบนิ่งและสง่างาม ผู้ใดจะกล้าเข้าไปซักถาม จึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเจียงเฟิ่งหัวรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ จึงกล่าวต่อว่า “พ่อบ้านเฉิงเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้ให้พร้อม ผู้ที่ต้องการร้องเรียน ให้จดบันทึกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ บ้านเลขที่ จำนวนสมาชิกในครอบครัว ให้บันทึกลงในสมุดให้ครบถ้วน”นางใช้อำนาจข่มขู่ บันทึกรายละเอียดขนาดนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ด่าทอหรือพูดจาเหลวไหล หากถูกเอาเรื่องทีหลังจะทำอย่างไร ไม่มีผู้ใดโง่เขลาพ่อบ้านเฉิงทำท่าทางเคร่งขรึม ยกโต๊ะมาวาง เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกไว้เสร็จสรรพเจียงเฟิ่งหัวชี้ไปยังพื้นที่ว่างอันกว้างขวางหน้าประตูจวนเหิงอ๋องด้วยมืออันเรียวงาม “เอาโต๊ะไปวางตรงนั้น คนมากมายขนาดนี้ คงใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะจัดการได้ทั้งหมด”พ่อบ้านเฉิงดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของพระชายาแล้ว “แบบนี้ก็ไม
นางหันไปพูดกับเจียงเฟิ่งหัวอย่างเปิดเผย “ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน ที่นึกถึงพวกเราขนาดนี้ และต้องขอโทษจริง ๆ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้พระราชทานสมรส ท่านก็คงไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก”เจียงเฟิ่งหัวมีสีหน้าเรียบเฉย แววตาแจ่มใส ไม่มีทีท่าว่าจะหึงหวงแม้แต่น้อย แม้แต่สายตาที่มองเซี่ยซางก็ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอแค่พวกท่านอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว ถ้าเช่นนั้น พ่อบ้านเฉิงก็ไปจัดเตรียมที่พักให้กับ...พระชายารองซูเถิด!”ชาติที่แล้วนางเคยดื่มน้ำชาที่ถวายแก่นายหญิงแล้ว ชาตินี้จะดื่มหรือไม่ดื่มก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรน้ำชานั่นก็กลืนลงคอได้ยากเย็นเหลือเกินนางกะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยถามเซี่ยซาง “ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”เซี่ยซางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกย่างอยู่บนกองไฟ เขาสัญญากับหวานหว่านว่าจะแต่งงานแล้วรับนางเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ และก็เป็นเพราะความใจร้อนที่แอบไปทำพิธีคำนับฟ้าดินกับหวานหว่านที่ศาลเจ้าที่ส่วนอีกด้านหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวกำลังเตรียมจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาอยู่ในจวนเมื่อมองไปที่เจียงเฟิ่งหัว เขาก็รู้สึกผิด เรื่องระหว่างเขากับหวานหว่า
หลังจากที่ซูกุ้ยเฟยและใต้เท้าเฉาจากไปแล้ว จวนเหิงอ๋องก็เงียบสงบลง เจียงเฟิ่งหัวกลับไปที่หอหล่านเยว่ ส่วนซูถิงหว่านถูกจัดให้อาศัยอยู่ที่เรือนถานเซียงทางทิศตะวันตก เวลานี้ เซี่ยซางก็ตามมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาเอ่ยถามเจียงเฟิ่งหัว “เท้าของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง?”เจียงเฟิ่งหัวไม่คิดว่าเซี่ยซางจะตามนางมาถึงหอหล่านเยว่ เพราะถึงอย่างไรซูถิงหว่านก็เข้ามาอยู่ในจวนแล้วนางคิดว่าในชาตินี้ เซี่ยซางคงไม่รีบร้อนแต่งซูถิงหว่านเข้ามาเป็นภรรยา แต่ไม่คิดเลยว่าจะหนีไม่พ้นโชคชะตาเดียวกับชาติที่แล้วซูถิงหว่านยังคงเข้ามาอยู่ในจวนในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสามเช่นเดิมนางโค้งคำนับเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”เซี่ยซางจำได้อย่างชัดเจนว่านางเดินช้ามาก คงเป็นเพราะยังไม่หายดี “สุราแช่สมุนไพรของสำนักหมอหลวงใช้ดีมาก ได้ผลดีทีเดียว”“หม่อมฉันทราบเพคะ ได้นวดด้วยสุราแช่สมุนไพรแล้ว ตอนนี้จึงไม่เจ็บเท่าไร เดินเองได้แล้ว ไม่ต้องให้คนช่วยพยุงแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงห่างเหิน แต่สีหน้ายังคงอ่อนโยน“วันนี้โดนน้ำร้อนลวกแล้วสินะ” เซี่ยซางเอ่ยถามนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้าง แต่ครู่เดี
เขาดูเหมือนขาดคนเอาใจใส่และขาดความรักเป็นอย่างมากตอนเด็กเขายังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ น้ำตาไหลพรั่งพรูไปหมดเจียงเฟิ่งหัวเก็บกวาดจนสะอาดแล้วก็ไปที่ห้องครัวอีก เซี่ยซางกลับไปที่โต๊ะ ทำงานที่ยังค้างไว้ต่อ และก็เป็นเพราะดึกเกินไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ เวลานี้ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดขึ้นมา เริ่มเขียนหนังสืออย่างรวดเร็วเพียงไม่นานนางก็กลับมา เมื่อครู่นางเหมือนจะแอบเห็นว่าเนื้อหาบนกระดาษเกี่ยวข้องกับคดีสุสานหลวงถูกปล้นพี่ใหญ่บอกว่าเขาสืบได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เป็นทางการมาจากช่องทางพิเศษ เซี่ยซางอารมณ์ไม่ดีเพราะคดี เพราะฉะนั้นเมื่อครู่เขากำลังหงุดหงิดเรื่องคดีหรอกหรือ?นางจำได้ว่าชาติที่แล้วต่อให้สุสานหลวงถูกปล้น สิบกว่าปีหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น อย่างมากก็แค่อัญมณีและเครื่องหยกที่ฝังพร้อมพระศพในสุสานหายไปบ้างเท่านั้นแต่ดูท่าทางของเซี่ยซางในตอนนี้แล้ว นางรู้ว่ามีของอย่างหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากหายไปอย่างแน่นอน“เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องสะสาง” เซี่ยซางเห็นนางกลับมา กล่าวเสียงอ่อนโยนนางไม่ได้พูดอะไร “ตอนนี้ดึ
เซี่ยซางกลับขยับเว้นที่ให้นางเองอย่างมีไหวพริบ ถังอาบน้ำในหอหล่านเยว่ใหญ่มาก รองรับสองคนแล้วยังมีที่ว่างเหลือเจียงเฟิ่งหัวเห็นว่าเขานอนพาดอยู่นิ่ง ๆ กับขอบถังอาบน้ำ ขณะที่นางเตรียมจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเซี่ยซางก็ฉุดข้อเท้าของนางไว้ “อาบด้วยกัน”เจียงเฟิ่งหัวอยากจะบอกว่าอาบไปแล้ว แต่เซี่ยซางพูดด้วยทีท่าหนักแน่น นางจึงหยิบผ้าขึ้นมาถูหลังให้เขาเบา ๆ ล้างแขน ลงไปด้านล่างเรื่อย ๆ …นางทำอย่างเบามือ อ่อนโยน เหมือนกำลังลูบไล้สัตว์เลี้ยง ตอนนี้นางก็มองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ไม่เช่นนั้นนางเกรงว่าตัวเองคงไม่มีความอดทนพอที่จะอาบเขาให้เสร็จได้ผมของนางตั้งแต่ไหล่ลงไปเปียกหมดแล้ว ลอยอยู่บนผิวน้ำ นางดูแล้วมีเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหลแต่เซี่ยซางกลับไม่หวั่นไหว ทั้งสองคนเหมือนสามีภรรยาทั่วไปที่อาบน้ำให้กัน นางถึงขั้นสระผมให้เขา สระจนสะอาด น้ำก็เริ่มเย็นแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะลุกขึ้นนางกล่าว “ท่านอ๋อง” วันนี้ดูเหมือนเขาจะไม่มีอารมณ์ และยังอารมณ์ไม่ดีอีกด้วย“ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ!” เซี่ยซางว้าวุ่นในใจ ร้อนรุ่ม อยู่ไม่สุข แต่เขาคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไม่มีทางทำอะไรกับนางในน้ำอย่า
เมื่อเห็นเซี่ยซางแช่อยู่ในน้ำ เปลือยแขนและท่อนบน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเมตตาสงสารขึ้นมา ต่อให้เป็นหมาแมวตกน้ำ นางก็ต้องไปช่วยหน่อยมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นเขาดื่มจนเมาขนาดนี้ หากไถลลงไปจมน้ำตาย ฝันของนางที่จะเป็นฮองเฮามิต้องสลายไปหรอกหรือนางคิดว่าต่อให้ตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที่แล้ว แม้ไม่จมน้ำตาย แต่กลางคืนหลับไปแบบนี้ก็จะเป็นหวัดได้ง่าย ๆนางฝืนใจยกน้ำแกงสร่างเมาไปทางเรือนด้านข้าง “ท่านอ๋อง ตื่นเถอะเพคะ” นางเรียกข้างหูเขาเบา ๆ หนึ่งทีเซี่ยซางเหมือนจะหลับไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นอกจากว่าเขาคออ่อน มารยาทในการดื่มของเขายังถือว่าใช้ได้ อย่างน้อยไม่โหวกเหวกโวยวายนางใช้ช้อนตักน้ำแกงสร่างเมา ค่อย ๆ ป้อนใส่ปากเขา “ดื่มสักหน่อยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะรู้สึกไม่สบายตัวนะเพคะ”เซี่ยซายยังคงไม่ขยับ หายใจสม่ำเสมอ หลับลึกมาก เหมือนเหนื่อยสุดขีด เจียงเฟิ่งหัวป้อนเขานิดเดียวอย่างใจเย็น แต่กลับไหลเปรอะเปื้อนเต็มปากไปหมด นางก็ขี้เกียจจะป้อนแล้ว เมื่อครู่อาเจียนในเรือนไปแล้ว ในท้องเขาไม่น่าจะมีเหล้าหลงเหลืออยู่เจียงเฟิ่งหัวย่อมย้ายตัวเขาไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเห็นกล้าม
เซี่ยซางเห็นเจียงเฟิงหัวยืนอย่างงดงามอ่อนช้อยอยู่ที่ประตู ก็ยื่นมือไปทางนาง กล่าวเสียงเข้มว่า “มานี่…”“อ๊อก!” เขายังพูดไม่จบ เซี่ยซางก็เริ่มอาเจียนออกมาอย่างรุนแรงทันที เวลานี้ท่าทางของเขาน่าสมเพชเวทนามาก ไม่เหลือมาดท่านอ๋องแม้แต่นิดเดียวเจียงเฟิ่งหัวปิดปากและจมูกไว้ มองดูเรือนที่นางจัดตกแต่งอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจหลินเฟิงรู้สึกผิดไม่น้อย วันนี้ท่านอ๋องน่าขายหน้ามากจริง ๆ อาเจียนได้อย่างไรกัน?แล้วก็ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวสั่งสาวใช้ว่า “เตรียมน้ำอุ่นให้ท่านอ๋อง ให้ท่านอาบน้ำ สวีหมัวมัว วานท่านไปห้องครัว ต้มน้ำแกงสร่างเมามาหน่อย”รอจนเขาอาเจียนน้ำเหลือง ๆ ออกมาจากในท้อง หลินเฟิงกับพ่อบ้านเฉิงจึงค่อยย้ายเซี่ยซางไปเรือนด้านข้าง วางเขาลงในถังอาบน้ำอันที่จริงเจียงเฟิ่งหัวอยากให้หลินเฟิงเอาเขาไปส่งหอทิงเสวี่ยหลินเฟิ่งช่วยถอดเสื้อผ้าของเซี่ยซางออก เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในบนตัวเขา เขาลองหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จะออกไปแล้ว?”เจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว อยากจะพูดว่าเจ้ามาอาบน้ำล้างตัวเขาให้สะอาดก่อนค่อยไปสิ!แต่หลินเฟิงไหนเลยจะให้โอกาสนางได้พูด พูด “ข้าน้อย
ซูถิงหว่านกล่าว “ท่านก็เห็นว่าเขาจ้องเจียงเฟิ่งหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและไม่อยากจากลา คนก็จากไปแล้ว ลูกตาเขายังจ้องจนแทบจะออกมานอกเบ้า”“ข้าหมายถึงว่าต้องการหลักฐานที่แน่นหนา”ซูถิงหว่านก็เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “คราวก่อนก็เป็นเขาที่มาช่วยนางไว้ ท่านอ๋องเห็นกับตาอยู่ชัด ๆ ว่าเขากับเจียงเฟิ่งหัวมีความสัมพันธ์คลุมเครือ แต่ท่านอ๋องกลับไม่ถือสาหาความ วันนี้ก็เป็นเขาอีกแล้ว ท่านพูดถูก ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน อาซางไม่มีทางเชื่อแน่”“พระชายารองรู้จักคนคนนี้ตั้งนานแล้วหรือ?” อวิ๋นฟางถาม“ไม่รู้จักได้อย่างไร เหมือนจะชื่อเซียวอวี้ เป็นดาวเด่นคนใหม่ในเมืองเซิ่งจิ่ง มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร” ซูถิงหว่านอธิบาย ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ “คนพวกนี้ชอบดัดจริตเป็นที่สุด ทำตัวเป็นผู้ดีมีรสนิยม เรียนหนังสือเก่งแล้วมีอะไรดีเล่า ถ้าไม่ได้ทหารเหล่านั้นที่ปกป้องประเทศชาติอยู่ชายแดน พวกเขาจะได้เดินเตร่ในหอโคมเขียว ดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ไหม? ทั้งสกุลซูของข้าพิทักษ์รักษาบ้านเมือง เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบของแคว้นต้าโจว แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องให้ความเคารพสกุลซูของข้าอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านป้าจึง
อีกฝั่งหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวหนีออกมาจากหออี๋ชุนแล้วก็ไม่กล้ากลับไปอีก กลัวจะเจอเซี่ยซางเข้าเซียวอวี้เห็นนางสวมหน้ากาก ก็ลองถามดูว่า “คุณหนูสามหรือ?”เจียงเฟิ่งหัวได้สติกลับมา เปิดหน้ากากออก กล่าวว่า “คุณชายเซียวรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”เซียวอวี้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ตอบตามตรงว่า “เมื่อก่อนไปหาท่านครูที่จวนสกุลเจียงอยู่บ่อย ๆ บ้านสกุลเจียงมักจะมีเสียงพิณลอยออกมา ข้าเลยรู้ว่าคุณหนูสามสกุลเจียงดีดพิณอยู่”เมื่อเขาได้ยินท่วงทำนองอันคุ้ยเคยที่หออี๋ชุนอีกครั้ง เขาก็ตกใจตาค้าง วินาทีนั้นเอง เขาก็กล้าฟันธงว่านางคือเจียงเฟิ่งหัว เพราะว่าคุ้นเคยเป็นอย่างดี“ที่แท้คุณชายเซียวฟังเสียงดนตรีก็รู้ตัวคนเล่น ดูท่าคุณชายเซียวก็เป็นคนที่ชื่นชอบเสียงดนตรีเช่นกัน” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเซียวอวี้ตอบ “ก็แค่พอรู้เรื่องบ้าง ไม่ได้เสี้ยวของคุณหนูสามหรอก”“คุณชายเซียวถ่อมตัวไปแล้ว ท่านพ่อของข้ามักจะบอกว่าในบรรดานักเรียนของท่านทั้งหมด มีเพียงเซียวอวี้ที่เฉลียวฉลาดเกินใคร ต่อไปจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตแน่นอน” เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้โกหก ราชครูเจียงเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคนมีความสามารถจริง ๆ ดังนั้นจึงมักกล่าวถึงเขาอยู่บ
เวลานี้เอง เจียงจิ่นเหยียนก็มาถึงเวทีเช่นกัน เขาอยากจะพาเจียงเฟิ่งหัวไป แต่กลับคว้ามือของชายอีกคนหนึ่งไว้ในความมืดมิด เจียงเฟิ่งหัวยื่นมือไปคว้ามือของพี่ใหญ่ของนางไว้ แต่กลับคลำเจอฝ่ามือใหญ่ ๆ คู่หนึ่งที่มีแผ่นหนังด้าน ๆ นางรู้ว่านี่ไม่ใช่มือของพี่ใหญ่แน่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนอื่น จะเป็นใครเล่า?นางคิดอยากสะบัดมือของอีกฝ่ายออก แต่อีกฝ่ายกลับกำมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทันใดนั้น ฝั่งตรงข้ามก็ดึงนางเข้าไปใกล้ นางจึงเพิ่งได้กลิ่นที่คุ้นเคย นางสับสนวุ่นวายในใจ เป็นเซี่ยซางได้อย่างไรกันเจียงเฟิ่งหัวรีบหุบปากไว้ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว กลัวว่าเขาจะจำเสียงได้เนื่องจากนางใส่หน้ากากปกปิดไว้ทั้งหน้า เซี่ยซางเห็นลักษณะของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ชัด รู้สึกเพียงว่านิ้วมือของคนผู้นี้เรียว เนียนละเอียด เหมือนมือผู้หญิง วินาทีนั้นที่เขาเข้าโอบเอวคนผู้นี้ ก็รู้สึกได้ว่าเอวบางเหมือนกิ่งหลิว และหน้าอกของคนผู้นี้นุ่มนิ่มเขารู้ตัวแล้วว่าที่แท้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง…ขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง เจียงเฟิ่งหัวเหยียบหลังเท้าเขาอย่างแรง นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีจึงหลุดออกมาจากมือเขาได้ นางก็ไม่มีเวลาสนใจอะ
ในหออี๋ชุนมีทั้งร้องทั้งเต้น เสียงปรบมือโห่ร้องดังทั่วหอ แล้วก็ได้ยินพิธีกรเอ่ยว่า “ขอเชิญคุณชายไร้เทียมทานขึ้นเวที”ฝูงชนเมื่อได้ยินว่าคุณชายไร้เทียมทาน ทุกคนก็ตกใจ พากันวิพากษ์วิจารณ์ “นี่คือการประกวดคัดเลือกนางคณิกา จะมีผู้ชายขึ้นเวทีได้อย่างไร หรือว่าผู้ชายก็อยากชิงตำแหน่งยอดนางคณิกาด้วยหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ คณิกาชายมาจากไหนกัน พวกเราต้องการแต่ผู้หญิง ไม่เอาผู้ชาย” ทันใดนั้นกัวเซี่ยก็ขึ้นเสียงด่าทอ “ให้คุณชายไร้เทียมทานอะไรนั่นไสหัวลงไป”มีคนผสมโรงไปด้วยอีก “ข้าน่ะมาใช้เงินเพื่อดูสาว ๆ แก้เบื่อ ผู้ชายมีอะไรน่าดูกัน พวกเจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย ให้แม่นางเพียนเพียนเมื่อครู่ออกมาร้องอีกเพลงซิ ข้ามีเงินเยอะแยะ พวกนี้ก็ตบรางวัลนางให้หมด”ในชั่วพริบตา ชายคนนั้นควักทองตำลึงออกมาหลายก้อน “ตำแหน่งยอดคณิกาคืนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่นางเพียนเพียน ให้นางออกมา”“เพียนเพียน!”ไม่นาน ทั้งหอก็ตะโกนเรียกชื่อของเพียนเพียนหลินอวี่ในชุดกระโปรงยาวเข้ารูปอันประณีตเดินอย่างอ่อนช้อยไปที่เวที นางยิ้มมุมปากอย่างเย้ายวน ริมฝีปากแดงระเรื่อ กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ทุกท่านมาสนับสนุนงานนี้ที่หออี๋ชุนของข้า ก็เป็น
เจียงจิ่นเหยียนเห็นว่าในแววตานางมีความกังวลซ่อนอยู่ “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ที่เจ้าแต่งกับเหิงอ๋อง เขาทำอะไรเจ้าหรือ ถึงได้ห่วงหน้าพะวงหลัง ข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เจียงเฟิ่งหัวที่มีการวางแผนชัดเจนอยู่ในใจ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไปอยู่ที่ไหนแล้ว”“เมื่อก่อนข้าเข้าออกหออี๋ชุนมีพี่ใหญ่คอยปกปิดให้ข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าทำตามอำเภอใจไม่ได้อีกต่อไป” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางคือพระชายาเหิงอ๋อง ยิ่งรู้ดีว่าเซี่ยซางผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่นมานานแล้ว แต่หรวนหร่วนอยากจะแต่งเอง เขาก็ห้ามไม่ได้ เขาเพียงแค่หวังว่าน้องสาวจะทำใจให้สบาย ไร้ทุกข์ไร้กังวลในใจเขาสงสัยมาตลอดว่า หรือว่าหรวนหร่วนจะมีใจให้เหิงอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เขาถามว่า “หรวนหร่วน พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันซับซ้อนอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก พี่ใหญ่หวังว่าเจ้าจะไม่ลืมความเป็นตัวเอง ทำให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์เพื่อเรื่องบางอย่างหรือคนบางคนที่ไม่ควรค่า เจ้าต้องจำไว้ว่าความสุขสำคัญที่สุด ถ้าเขาทำให้เจ้ามีความสุขไม่ได้ ทำให้เจ้าไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เจ้าจะแต่งงานกับเขาไปทำไม”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางแตกต่าง