จวนตระกูลซูเมื่อซูถิงหว่านรับทราบข่าวที่เหิงอ๋องกลับตระกูลมารดาพร้อมพระชายาเหิงอ๋อง นางราวกับแข็งทื่อไปทั้งร่าง “ทั้งที่อาซางรับปากข้าแล้ว ทำไมเขาถึงไปจวนตระกูลเจียง ทั้งที่เขาไม่สนใจเจียงเฟิ่งหัว รับปากว่าวันนี้จะมารับข้า...”บนเตียงคือชุดแต่งงานที่นางต้องสวมใส่ เดิมทีชายารองแต่งเข้าจวนใส่ได้แค่สีชมพูเท่านั้น ทว่าเขายืนยันจะให้นางสวมชุดเจ้าสาวที่หรูหราและจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเซิ่งจิง จึงได้สั่งตัดชุดแต่งงานสีแดงสดด้วยราคาสูงลิ่วสาวใช้อิ๋นซิ่งที่อยู่ข้างกันกล่าวอย่างสงสาร “นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านอ๋องผิดนัด วันนี้เป็นวันที่คุณหนูออกเรือน เหตุใดท่านอ๋องจึงให้องครักษ์มาแจ้งคุณหนูว่าวันนี้มารับตัวคุณหนูไม่ได้ง่ายๆ เช่นนี้เจ้าคะ หากเลื่อนงานแต่งไปก่อน จะเลื่อนถึงวันใดเจ้าคะ? เป็นถึงคุณหนูตระกูลแม่ทัพถูกลดขั้นจากชายาเอกเป็นชายารองก็รันทดมากพอแล้ว ไฉนท่านอ๋องถึงทำกับคุณหนูเช่นนี้ นางเป็นเพียงบุตรสาวของราชครูเท่านั้น จะมาเทียบกับคุณหนูได้อย่างไร”“ไม่ต้องพูดแล้ว ออกไป” นางหันไปตวาดสาวใช้สาวใช้ไม่พูดสิ่งใดอีก เดินออกจากห้องเพียงลำพัง เพื่อแก้แค้นแทนคุณหนู ดังนั้นจึงนำเรื
ฮ่องเต้เข้าใจทันที จึงโอบเอวเล็กคอดของนาง แม้อายุของซูชิงชิงจะมากกว่าหวังเหม่ยเหรินมาก แต่นางยังคงเปี่ยมล้นด้วยความรัญจวน ซึ่งมีเสน่ห์แตกต่างกัน...ในไม่ช้า ฮ่องเต้โอบนางมาสู่อ้อมกอด แล้วดื่มด่ำกับความอ่อนโยนอันไร้ขอบเขตหลังเสร็จกิจ ซูชิงชิงแววตาหวานล้ำ นิ้วเรียวยาวถูวนอยู่ตรงแผงอกของฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเคยเห็นหวานหว่านมาก่อน นางระหกระเหินไปชายแดนกับบิดามารดาตั้งแต่เด็ก ลำบากตรากตรำมาไม่น้อย หวานหว่านกลับเมืองเซิ่งจิงเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว สมควรต้องแต่งงานออกเรือน หม่อมฉันในฐานะที่เป็นป้า ย่อมต้องใส่ใจเพคะ”ฮ่องเต้แสร้งลืมเรื่องหลายวันก่อนซูกุ้ยเฟยขอพระราชทานสมรสให้เหิงอ๋องและซูถิงหว่าน “บุตรสาวสุดที่รักของแม่ทัพซู เรื่องแต่งงานย่อมต้องให้ความสำคัญ เจ้าถูกใจบุรุษตระกูลใดก็ไปจัดการเถิด!”“ฝ่าบาทเพคะ!” ซูกุ้ยเฟยทำเสียงเง้างอด แล้วเบือนหน้าแสร้งทำโมโห “ฝ่าบาทคงยุ่งจนหลงลืม ไม่ใส่ใจหม่อมฉันแม้แต่น้อย”ภายในวังหลัง หากฮ่องเต้โปรดปรานสนมคนใดมากหน่อย ขุนนางที่เกี่ยวข้องก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย นี่คือสัญญาณที่รู้กันโดยไม่ต้องบอก เห็นได้ชัดว่าในใจฮ่องเต้จะโปรดซูกุ้ยเฟยจนเ
อีกด้านหนึ่ง องครักษ์ตระกูลซูเร่งเดินทางไปหน้าประตูสกุลเจียง ประกาศว่าจะพบเหิงอ๋อง อีกทั้งยังต้องนำจดหมายมอบให้กับมือ“เจ้าคือตระกูลซูไหนกัน วันนี้ที่จวนมีงานมงคล นายท่านสั่งไว้แล้วว่าไม่รับแขก” บ่าวเฝ้าประตูพูดจบก็เตรียมปิดประตู“ข้ามาจากจวนแม่ทัพซูทางใต้ของเมือง ข้ามีเรื่องสำคัญจะพบเหิงอ๋อง” องครักษ์ดูโอหังเล็กน้อยบ่าวเฝ้าประตูชื่อเจียงห้วน มาอยู่กับตระกูลเจียงตั้งแต่เด็ก อ่านออกเขียนได้ และไม่ชอบคนโอหังที่สุด อีกทั้งยังมีน้ำโหเล็กน้อย เขารู้ว่าวันนี้คุณหนูสามกลับจวนตามพิธี ใครก็รบกวนไม่ได้ทั้งนั้น อีกทั้งยังได้ยินอีกฝ่ายบอกว่ามาจากจวนแม่ทัพซูทางใต้ของเมือง นี่เป็นตระกูลที่เขาเคยไปกับพี่เหลียนเย่ไม่ใช่หรือ?ตอนนั้นเขาได้ยินพี่เหลียนเย่บ่นหนึ่งคำ ‘ที่แท้คุณหนูซูเป็นคู่รักของเหิงอ๋องหรือ!’“หรือคุณหนูตระกูลซูส่งจดหมายมาให้เหิงอ๋องหรือ?” เขาเข้าใจทันที พร้อมเอ่ยในใจ “แย่แล้ว...”บ่าวเฝ้าประตูยิ้มให้เขาก่อน แล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาหาท่านอ๋อง เช่นนั้นข้าจะเข้าไปรายงาน โปรดรอสักครู่ จดหมายในมือเจ้าให้ข้านำไปมอบให้หรือไม่?”คุณหนูสั่งไว้จดหมายต้องมอบให้เหิงอ๋องกับมือ เขากล่าว “ไม่จำเ
เซี่ยซางเริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย ประกอบกับอาการเมาค้างจากเมื่อคืน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จึงเผลอหลับไปครู่หนึ่งผู้ที่อยู่ตรงหน้าแจ้งจุดประสงค์ “คุณหนูสั่งให้กระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้ท่านอ๋องด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”เขาเปิดจดหมายของซูถิงหว่าน ‘อาซาง เห็นตัวอักษรประหนึ่งได้เห็นหน้า...ข้าไปแล้วนะ’หลังจากอ่านจดหมายจบ สีหน้าของเซี่ยซางก็พลันมืดมน หัวใจรู้สึกเคว้งคว้างอย่างยิ่ง หวานหว่านจะจากไปตลอดกาล สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ เวลานี้ เจียงเฟิ่งหัวเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำแกงสร่างเมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “ท่านอ๋อง ดื่มน้ำแกงสร่างเมาก่อนเถิดเพคะ!”สายตาเย็นชาของเซี่ยซางไร้ซึ่งความอบอุ่น รอบกายแผ่รังสีเยือกเย็น ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ยกมือขึ้นคว่ำถ้วยในมือของเจียงเฟิ่งหัว น้ำแกงสร่างเมาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ทันเย็น ก็หกราดลงบนหลังมือที่ขาวเนียนของนาง ภายในชั่วพริบตาผิวก็แดงเป็นปื้นนางรีบซ่อนมือเอาไว้ อดทนต่อความเจ็บปวด “หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงทำหกเพคะ หงซิ่วยกมาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง”หงซิ่วทำอย่างรวดเร็ว ตักน้ำแกงมาใหม่อีกถ้วยแล้วรี
ศาลาพักริมทางสิบลี้ที่อยู่นอกเมืองมีศาลเจ้าที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เซี่ยซางตามซูถิงหว่านได้ทัน ในยามที่ทั้งสองรักกันอย่างลึกซึ้ง ก็ได้อาศัยศาลเจ้าที่มาทำพิธีคำนับฟ้าดิน โดยเป็นความต้องการของซูถิงหว่านนางกล่าวว่า “อาซาง ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานกับท่านอย่างเปิดเผยได้ เช่นนั้นเราก็มาไหว้ศาลเจ้าที่กันเถิด ท่านเป็นที่ศรัทธาของผู้คน พวกเราไหว้ท่านคงไม่ผิดหรอก”เดิมทีเซี่ยซางลังเลอยู่บ้าง แต่มิอาจทนต่อคำพูดที่องอาจและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณได้ อีกทั้งรู้ตัวว่าวันนี้ผิดคำสัญญากับนาง ในวินาทีที่ได้พบนาง ความรู้สึกที่ได้สิ่งที่หายไปกลับคืนมาทำให้เขารู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า ในที่สุดก็ตกลงทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางที่ศาลเจ้าที่หลังจากที่ทั้งสองทำพิธีคำนับฟ้าดินแล้ว ซูถิงหว่านก็เอ่ยขึ้นต่อ “อาซาง วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขและเป็นอิสระที่สุดในชีวิต ในเมื่อเราคำนับฟ้าดินกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน ข้าเป็นภรรยาของท่านแล้ว ดีใจเหลือเกิน”เขาไม่สามารถมอบตำแหน่งชายาเอกให้นางได้ ทว่าตอนนี้กลับมาทำพิธีคำนับฟ้าดินกับนางอย่างลับ ๆ ข้างนอก ในใจรู้ดีว่าไม่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม แต่หวานหว่านเป็
เมื่อกล่าวถึง ‘ความกตัญญู’ แคว้นต้าโจวก็ให้ความสำคัญกับคำว่ากตัญญูเป็นอันดับแรก พานไท่ฟู่เป็นขุนนางขั้นสูงสุด เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตโดยแท้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ข่าวนี้ถึงได้แพร่ไปถึงหูของพานไท่ฟู่ที่กำลังสอนหนังสืออยู่ เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนทำพิธีแต่งงานที่ศาลเจ้าที่ ก็โกรธจนควันออกหู ด่าทอว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากคนผู้นี้เป็นบัณฑิต ก็ถือว่าอ่านหนังสือของนักปราชญ์ไปก็เสียเปล่าพานไท่ฟู่ตัดสินใจบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนลูกศิษย์รุ่นหลัง ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม ความชอบธรรม ศีลธรรม และความละอาย พานไท่ฟู่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ไม่หยุดเป็นเดือน และจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในภายหลัง กลับมาที่เรื่องเดิม องครักษ์หลินเฟิงที่ยืนเฝ้าอยู่นอกศาลเจ้าที่ซ่อนดาบไว้ในมืออย่างเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนทั้งสองคนในศาลเจ้าที่ เขารู้สึกอับอายขายหน้าแต่อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นขององครักษ์หลินเฟิงก็เริ่มทำงาน เขาแสร้งทำเป็นคนผ่านทาง เงี่ยหูฟังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวิพากษ์วิจารณ์นายของตนหลังจากฟังจบ เขาก็ได้แต่บ่นในใจ ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เหตุใดคุณหนูซูถึงได้ลากนายท่านไ
ภายในจวนเหิงอ๋อง เจียงเฟิ่งหัวกลับมาถึงจวนก็จัดการตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนออก สวมชุดใหม่ที่ดูสง่างามและหรูหรากว่าเดิม ไม่นานนัก ซูกุ้ยเฟยก็มาหาถึงที่ซูกุ้ยเฟยในฐานะพระสนมในวังหลังสามารถเข้าออกพระราชวังได้อย่างอิสระ แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระนางมากเพียงใดอย่างไรก็ตาม ซูกุ้ยเฟยยังคงเป็นผู้ที่รู้จักมารยาทและรู้จักประมาณตน แม้ว่าจะออกจากวัง พระนางก็จะไม่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว ยิ่งไม่ปรากฏตัวต่อหน้าบุรุษภายนอกโดยพลการ ใบหน้ามีผ้าคลุมบาง ๆ ปิดบังอยู่ตลอดเวลา มีนางกำนัลคอยติดตามอยู่ข้างกาย มีทหารคอยคุ้มกัน เข้าไปในจวนเหิงอ๋องอย่างยิ่งใหญ่เจียงเฟิ่งหัวโค้งคำนับซูกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม ไม่ดูถูกตนเองหรือยกตนข่มท่าน “กุ้ยเฟยเสด็จมาด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันมิได้ออกไปต้อนรับ ขออภัยด้วยเพคะ”ซูกุ้ยเฟยแต่งหน้างดงาม กิริยามีเสน่ห์น่าหลงใหล เอวบางดุจกิ่งหลิว แฝงไปด้วยเสน่ห์ของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก นางแต่งกายอย่างสง่างามดูน่าเกรงขาม เมื่อเห็นพระชายาเหิงอ๋องดูงดงามเช่นนี้ ใจของนางก็เต้นแรง จากนั้นนางก็เสด็จไปประทับยังที่นั่งหลักเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่ได้ใส่ใจ หาที่นั่งใกล้ ๆ
เจียงเฟิ่งหัวก็จ้องมองซูกุ้ยเฟยด้วยสายตาที่คาดหวัง กล่าวด้วยท่าทางที่สง่างามและอ่อนโยน “เมื่อครู่พระสนมกำลังพูดเรื่องนี้กับหม่อมฉันอยู่ ท่านอ๋องก็เสด็จกลับมาพอดี พระสนมบอกว่านำพระบัญชาของฝ่าบาทมาด้วย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าอย่างไรหรือเพคะ?”เซี่ยซางขมวดคิ้วแน่น เมื่อต้องรับพระราชโองการ เขาก็ยืนขึ้นอย่างนอบน้อม ประสานมือคารวะ “เสด็จพ่อมีพระบัญชาอันใดหรือ?”สีหน้าของซูกุ้ยเฟยยิ่งดูอึดอัดใจ พ่อบ้านเฉิงรีบร้อนเข้ามา “ทูลท่านอ๋อง มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงอยู่หน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้ในเมืองมีข่าวลือเรื่องมีคนแต่งงานกันที่ศาลเจ้าที่นอกเมือง แถมยังพูดกันในทางที่ไม่ดี อย่างเช่น คุณชายร่ำรวยเลี้ยงดูอนุภรรยา หญิงสาวบ้านใกล้เรือนเคียงหนีตามผู้ชาย...พอพวกเขาเข้าเมืองมา จึงอยากตามมาดูความสนุกสนาน และยิ่งอยากจะรู้ความจริงพ่อบ้านเฉิงก็จนปัญญาเช่นกัน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไล่ชาวบ้านเหล่านี้ไปไม่ได้ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนให้ฟังทั้งหมดเจียงเฟิ่งหัวได้ฟังก็เบิกตากว้าง แล้วเอ่ยขึ้นเบา
ในฝัน เขากลับไปตอนอายุสิบห้าปีอีกครั้ง เสด็จพ่อตำหนิเขาว่า “ไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง”เขาหลบอยู่หลังภูเขาจำลองในสวนบุปผชาติของวังหลวง ร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คลุมผ้าบังหน้าก็เดินมาที่หน้าเขา “กิ๊ว ๆ ๆ โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้แง ๆ เจ้าไม่อายหรือไง”เซี่ยซางเงยหน้าขึ้น เด็กผู้หญิงมีดวงตาอันงดงาม ดำสนิทเปล่งประกาย เขามองเห็นสภาพน่าเวทนาของตัวเองในลูกตาของนางเขาพูดกับนางด้วยความโกรธขึ้ง “เจ้าเป็นใคร วิ่งเข้ามาวังได้อย่างไรกัน”“ข้ามาพร้อมท่านพ่อท่านแม่ของข้าไง แคว้นต้าโจวของเราได้รับชัยชนะในสงคราม ฝ่าบาทจึงทรงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะ” น้ำเสียงของเด็กผู้หญิงไพเราะเสนาะหูเหมือนเสียงกระดิ่งเมื่อได้ยินว่าชนะสงครามเขาก็ยิ่งโมโห เห็นชัด ๆ อยู่ว่าเป็นความดีความชอบของเขา เสด็จพ่อกลับด่าว่าเขาไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง เขากระชากผ้าคลุมหน้าของนางออก ก็เห็นเพียงว่านางฟันหลอ ไม่มีฟันหน้าด้านบน น่าเกลียดถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ “ยัยอัปลักษณ์” เด็กผู้หญิงถลึงตา ‘เพียะ’ ตบหน้าเขาหนึ่งฉาด “เจ้าคือไอ้ขี้แย”นิ้วมือนางเปื้อนน้ำตาของเข
ขาเรียวยาวอันงดงามกระจ่างใสเปล่งประกาย ขาวเนียนละเอียด นางขัดถูร่างกายตัวเองอย่างแช่มช้อย ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ดูราวกับเครื่องเคลือบ ไม่ว่าเซี่ยซางได้เห็นวันใดก็ต้องถูกนางดึงดูดอันที่จริงเมื่อครู่อีกแค่ก้าวเดียวนางก็จะได้ตัวเขาไว้ แต่ได้ตัวแล้วสามารถทำอะไรได้เล่า เขาก็เพียงแค่ลุ่มหลงในรูปโฉมโนมพรรณ ไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนางเพราะรักนาง เช่นนี้แล้วจะยั่งยืนได้อย่างไรกันหากนางมีอะไรกับเขา ก็เพียงแต่ทำให้เซี่ยซางรู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่ของสามีเต็มที่แล้ว มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อซูถิงหว่านซูถิงหว่านก็ไม่ได้โง่ รู้ว่านางกำลังให้ท่าเขา หากคืนนี้ยั่วยวนสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่ยิ่งทำให้เซี่ยซางสงสัยในตัวนางหรอกหรือผู้ชายก็เหมือนกันทั้งเพ ยิ่งอยากได้แต่ไม่ได้มาเขาก็ยิ่งอยากได้ หากอยากได้ แล้วให้เขาได้ไปอย่างง่ายดาย เขากลับไม่เห็นคุณค่าเซี่ยซางกลับไปแล้วชะรอยจะนอนไม่หลับ เขาชอบนางหรือไม่ เกรงว่าตัวเขาเองก็สับสน ยิ่งสับสนยิ่งดี ผู้ครองบัลลังก์จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตได้อย่างไร เพียงแต่ว่านางอยากเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขาตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ คดี
เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้ามากอดนางไว้จากด้านข้าง เจียงเฟิ่งหัวขัดขืน เบือนหน้าหนี ไม่อยากเข้าใกล้เขา ยิ่งนางขัดขืนเขายิ่งกอดแน่น ชุดขาวทั้งตัวของเขาเปื้อนคราบสกปรกบนตัวนาง ทำให้ทั้งสองเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเกินทนหงซิ่วกับเหลียนเย่และคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่นอกประตู ตัวสั่นงันงก เห็นว่าพระชายาได้รับความไม่เป็นธรรมขนาดนี้ พวกนางไม่กล้าพูดปกป้องสักแอะ แววตาเต็มไปด้วยความสงสารเซี่ยซางกอดเจียงเฟิ่งหัวไว้ หันไปทางบรรดาสาวใช้ พูดเสียงเข้มว่า “นิ่งทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีก ไปหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ มาให้พระชายาของพวกเจ้าสิ”ทุกคนแยกย้ายกันเหมือนฝูงนกฝูงสัตว์แตกรัง ไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียวพูดจบเขาก็อุ้มเจียงเฟิ่งหัวเข้าห้องนอนที่อยู่ในห้องด้านข้าง เดิมทีหอหล่านเยว่ก็คือที่อยู่ของเซี่ยซาง เขาย่อมรู้ตำแหน่งการจัดวางต่าง ๆ ในนี้เป็นอย่างดี ในห้องด้านข้างมีน้ำร้อนอยู่ตลอด มีแม้กระทั่งห้องน้ำเขาวางนางไว้บนม้านั่งด้านข้าง นำน้ำมาวางด้วยตัวเอง และลองดูความร้อนเย็นของน้ำ ท่าทางอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งก็ได้เห็นว่าเจียงเฟิ่งหัวร้องไห้จนตาบวมแล้ว ใบหน้าก็แดงก่ำ นางจับกระโปรงตั
นางชี้ไปที่โต๊ะ ตาจ้องที่เจียงเฟิ่งหัว “นี่ก็คือไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นหรือ? ใครอธิบายให้ข้าฟังหน่อยซิ”“ข้า…” เจียงเฟิ่งหัวอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ สวามีของตัวเองกินข้าวมื้อหนึ่งที่เรือนของนางกลับถูกต่อว่าเช่นนี้ ความเสียใจที่มีอยู่เต็มอกไม่มีทางจะบอกเล่าได้ นางกล่าวเบา ๆ ว่า “ก็ถือเสียว่าเป็นความผิดของข้าเถอะ”“ดูสิ ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางหรอกที่ท่านจะไม่ชอบอาซาง ยังเสแสร้งทำเป็นเสียอกเสียใจต่อหน้าเขา ทำเหมือนว่ามีคนรังแกท่าน…”จู่ ๆ เซี่ยซางก็นึกถึงภาพตอนที่องค์ชายรองดูถูกเหยียดหยามเขา เย้ยหยันว่าเขาชอบสาวน้อยขาดการอบรมที่พูดจาไร้มารยาทหวานหว่านเรียนมารยาทมาครึ่งเดือน กลับไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด เขาขึ้นเสียงดุทีหนึ่ง “เจ้าโวยวายพอแล้วหรือยัง?”“ท่านตะโกนใส่ข้า…” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังใส่ซูถิงหว่าน นางได้แต่รู้สึกน้อยใจอยู่เต็มอก เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เจียงเฟิ่งหัวงดงามถึงเพียงนี้ และยังจงใจยั่วยวนอีกด้วย นางโมโหจนควบคุมไม่อยู่ “ท่านไม่เห็นหรือว่านางเสแสร้งมาตลอด? นางยั่วยวนท่าน…”“ออกไป” เซี่ยซางกำหมัดแน่น แววตาเย็นยะเยือกเข้า
ทันใดนั้น ก็มีกลิ่นหอมโชยมา จู่ ๆ ท้องเซี่ยซางก็ร้องดังจ๊อก ๆ สีหน้าเขาก็ดูเคอะเขินขึ้นมาเจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว แววตาใส ๆ อันงดงามเหลือบมองที่ท้องของเขา “ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยหรือเพคะ?”เซี่ยซางหิวมาก และนึกถึงที่หลินเฟิงบอกว่าเจียงเฟิ่งหัวทำอาหารอร่อยอีกด้วย เขานึกถึงว่าคราวก่อนเขาได้กินอาหารที่เรือนของนางครั้งหนึ่งและยังกินไม่อิ่ม คิดถึงอยู่ไม่น้อยนางรุกก่อน รอยยิ้มอันแสนหวานปรากฏที่แก้ม “ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันดื่มชาแล้ว หม่อมฉันก็เชิญท่านอ๋องเสวยพระกระยาหารดีไหมเพคะ? ท่านอ๋องไม่ต้องเขินหรอกเพคะ ถึงอย่างไร…”นางหยุดพูดในทันใดเซี่ยซางก็ไม่ได้พูดเปิดเผยเจตนาของนาง รู้อยู่แล้วว่านางเตรียมอาหารไว้ตั้งนานแล้ว “ข้าคงต้องรับคำเชิญอย่างไม่เกรงใจแล้ว”ข้าเองก็อยากดูซิว่าเจ้ายังจะใช้อุบายอะไรอีกในช่วงหลายวันนั้นที่เขาพักอยู่ที่ที่ทำการ นางก็เห็นใจว่าเขาไม่ได้กินอาหารดี ๆ ที่นั่น จึงให้พ่อบ้านเฉิงส่งอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้เขาบ่อย ๆที่ทำการก็ไม่มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินจริง ๆ เขาจึงกินดูเล่น ๆ นิดหน่อย ได้ชิมแล้วจึงเพิ่งรู้สึกว่าอร่อยมาก เขาเหมือนจะดื่มด่ำกับความรู้สึกอย่างนี้มากเขากล่าว
เซี่ยซางตกใจทันที เจ็บแปลบในอกเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าหญิงสาวจากตระกูลใหญ่อย่างเช่นเจียงเฟิ่งหัวนั้น รู้จักประพฤติตนอยู่ในกรอบ รักษาจารีตยิ่งกว่าใครหลินเฟิงกล่าวอีกว่า “ท่านอ๋องไม่อยากรู้หรือว่าชายใดเป็นคนมอบให้? คิดดูแล้วท่านอ๋องก็ไม่ได้อยากรู้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถิด” กระหม่อมไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่หวั่นไหวกับพระชายาแม้แต่นิดเดียว ค่อย ๆ เดาไปก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ!เดินมาถึงประตูเรือนแล้ว เซี่ยซางก็กลับลำ หวานหว่านยังคงรอเขาอยู่ เขาควรไปที่เรือนถานเซียง ไม่ใช่มาที่เรือนของเจียงเฟิ่งหัวขณะที่เตรียมจะเดินจากไปนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเฮดังมาจากในลาน “พระชายาเก่งจริงๆ”เขาก็หันกลับมา มองเข้าไปด้านในเงียบ ๆที่ริมศาลา จู่ ๆ ก็มีซุ้มไม้ซุ้มหนึ่งเพิ่มเข้ามา ที่ซุ้มไม้มีผ้าไหมสีสันสดใสหลากสีหลายแถบผูกอยู่ เจียงเฟิ่งหัวสวมชุดผ้าบางเบา ทั้งตัวของนางดูอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม ห้อยอยู่บนผ้าไหมที่มีสีสันสวยงามแขนเรียวเล็กของนางดึงแถบผ้าไหมหลากสีไว้ขณะที่นางหมุนตัวจากบนลงล่างสู่พื้น ร่างกายของนางดูเบาเหมือนผีเสื้อ ตัวอ่อนเหมือนไร้กระดูก อาศัยพลังของผ้าไหมหลากสีเต้นรำตามใจปรารถนาที่ยิ่งน่าอัศจรรย์
วังหมัวมัวออกไปแล้ว เซี่ยซางก็ถอดชุดที่เขาใส่ไปเข้าวังอันแสนยุ่งยากออก ดำลงไปในน้ำทั้งตัวใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของเจียงเฟิ่งหัวนั้นปรากฏอยู่ในหัวสมองเขาอยู่เสมอ ทรวดทรงอันสมบูรณ์แบบของนาง ขาเรียวงาม ผิวขาวใส น้ำเสียงอ่อนหวานของนางและเรือนร่างที่ดูนุ่มนวลเย้ายวนใจ…ทันใดนั้นเซี่ยซางก็ผุดขึ้นมาจากน้ำ ต่อยลงน้ำสุดแรงหนึ่งที ทำให้น้ำกระเซ็นไปทั่วหลินเฟิงเดินมาที่หน้าประตูพอดี ได้ยินเสียงจากข้างใน ก็รีบชักกระบี่ออกมาและบุกเข้าไป “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางแววตาเย็นเยียบเข้ากระดูก กวาดสายตามองไปทางหลินเฟิงอย่างเย็นชา ตัวของเขาโผล่พ้นน้ำครึ่งตัว แผงอกใหญ่ที่กระชับ แข็งแกร่ง แขนและไหล่ที่แข็งแรง ทรงพลัง หลินเฟิงมอบแวบหนึ่งแล้ว ก็ได้แต่อายไม่หยุด รีบเก็บกระบี่เข้าฝัก“เจ้าหน้าแดงอะไร” เซี่ยซางถามเขาหลินเฟิงไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย เยินยอว่า “ท่านอ๋องหุ่นดีเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ตอนใส่เสื้ออยู่ดูผอม ถอดเสื้อออกแล้วมีกล้าม ที่สำคัญคือตอนที่ท่านอ๋องเพิ่งขึ้นจากน้ำ ทั้งตัวของท่านส่งกลิ่นอายที่ชวนให้คนหลงใหล”เซี่ยซางเริ่มทำหน้าเข้ม “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่า
เซี่ยซางเห็นท่าทางนี้ของนางแล้วก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตามีความรักและเอ็นดู พูดกับนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ได้กลับจวนหลายวัน เสื้อผ้า ถุงเท้ารองเท้าสกปรกหมดแล้ว ข้ากลับไป…” เดิมทีเขาอยากพูดว่าหอหล่านเยว่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจียงเฟิ่งหัวพักอยู่ที่หอหล่านเยว่ ก็คิดว่าไม่ควรพูดวังหมัวมัวกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “พระชายาสั่งให้คนเก็บกวาดหอทิงเสวี่ย[1]ในเรือนตะวันออกแล้ว ด้านในเปลี่ยนเครื่องใช้และตกแต่งใหม่ทั้งหมด ท่านอ๋องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอทิงเสวี่ยดีกว่านะเพคะ”เซี่ยซางผงกหัว “ถ้าเช่นนั้นก็ไปหอทิงเสวี่ยเถอะ!”วังหมัวมัวอยู่ที่นี่ ซูถิงหว่านก็ไม่กล้าบังอาจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วังหมัวมัวใช้ไม้เรียวตีนางโดยอ้างว่าเป็นการอบรมมารยาท นางรีบกล่าวว่า “หม่อมฉันไปรอท่านอ๋องที่เรือนถานเซียงนะเพคะ”เซี่ยซางพยักหน้า “ได้”เมื่อเห็นว่าเซี่ยซางเดินไปไกลแล้ว ซูถิงหว่านก็เบ้ปากบ่นว่า “วังหมัวมัวแส่เรื่องชาวบ้านจริงๆ”ช่วงนี้อิ๋นซิ่งก็ได้เรียนรู้กฎระเบียบมากมายตามไปด้วย รีบกล่าวว่า “คุณหนู ระวังนางมาได้ยินเข้าแล้วใช้ตำแหน่งหน้าที่แก้แค้นเรื่องส่วนตัวนะเจ้าคะ”“ข้าไม่กลัวนางหรอก ม
เซี่ยอวี้เห็นสถานการณ์แล้ว ก็กล่าวเสียงดังขึ้นมาอีก “ได้ยินว่าน้องห้ารับหลานสาวจากตระกูลของซูกุ้ยเฟยมาเป็นชายารอง ที่แท้น้องหาก็ชอบสาวน้อยไร้การอบรมที่พูดจาไม่รู้กาลเทศะนี่เอง ข้ายังได้ยินมาว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีคนแต่งงานที่ศาลเจ้าที่ที่นอกเมือง คนผู้นั้นรูปร่างท่าทางเหมือนน้องห้าไม่มีผิด”หากไม่ใช่ว่ากลัวทำให้เสด็จพ่อพิโรธ เขาจะโพนทะนาเรื่องนี้ไปทั่วทุกสารทิศตั้งนานแล้วเมื่อเห็นว่าเซี่ยซางยิ่งเดินห่างไปไกล เซี่ยอวี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าหยิ่งยโสว่า “เสด็จพ่อไม่ชอบเขา ข้าก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน นึกว่าเป็นโอรสจากฮองเฮาก็สูงส่งจริง ๆ สินะ”เซี่ยซางออกจากวังแล้วก็ตรงกลับจวนเหิงอ๋องซูถิงหว่านเรียนมารยาทและธรรมเนียมมาครึ่งเดือน และก็ไม่ได้เจอเขามาครึ่งเดือน จู่ ๆ เห็นเขาเดินออกมาจากเงา ซูถิงหว่านก็ดีใจออกหน้าออกตา รีบเดินเข้าไปหาเขาจนเดินเข้าไปใกล้แล้ว ซูถิงหว่านจึงเพิ่งหยิบผ้าเช็ดหน้า พาดมือที่ข้างเอว ทำท่าทางอ้อนแอ้นอรชร ก้าวเบา ๆ อย่างอ่อนช้อย สง่างาม ราวกับดอกบัวในสายธาร มาปรากฏตัวหน้าเซี่ยซางนางแต่งตัวอย่างประณีต แต่งหน้าอย่างมีทักษะ ยิ้มให้เซี่ยซาง ถวายคำนับช้า ๆ ดูสุภาพ อ่อนน้อมถ่