ภายในศาลาว่าการ อวิ๋นฟางพลันเรียกนางไว้ “พระชายา ท่านช่วยบ่าวได้จริงหรือเพคะ เรื่องก่อนหน้านี้ท่านจะไม่จดจำความแค้นบ่าวจริงหรือเพคะ บ่าวรู้ว่าท่านกับพระชายารองซูมีความขัดแย้งกันมาตลอด และอีกอย่างบ่าวก็เป็นสาวใช้ของพระชายารองซูด้วย” เจียงเฟิ่งหัวยิ้มน้อย ๆ “ข้าจะต้องแค้นใจอะไรเจ้าหรือ พูดอย่างเคร่งครัดแล้วข้ากับเจ้ามิได้มีความแค้นใดต่อกันเลย กลับกันข้ายังรู้สึกสงสารเจ้ามากกว่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นสาวใช้ของสกุลซู แต่พวกเขายังทำกับเจ้าเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปอยู่ในสกุลซูแล้ว และพวกเขาก็รู้ดีว่าจีเฉินข่มเหงรังแกเจ้าเช่นนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีใครสักคนลุกขึ้นมายืนข้างเจ้าทวงความยุติธรรมให้เจ้า มิหนำซ้ำยังหวังใช้ประโยชน์จากเจ้าอีก เจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าได้อะไรมาบ้าง ชื่อเสียง อำนาจ ฐานะ ตำแหน่ง หรือว่าพวกเขาสามารถให้เงินทองกับเจ้าได้” อวิ๋นฟางพลันกลายเป็นใบ้ไปทันใด สิ่งที่นางมุ่งมาดปรารถนาแน่นอนว่าคือชีวิตที่มั่งคั่งหรูหราฟุ้งเฟ้อด้วยเกียรติยศ ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แต่บางคนเกิดมาก็ได้เป็นองค์หญิง แต่เหตุไฉนนางกลับเป็นได้แค่สาวใช้ นางเข้าไปอาศัยอยู่ในจวนสกุลซูพร้อมกับจีเฉิน แต่นางก็ย
จีเฉินรู้เพียงว่าอวิ๋นฟางต้องการหย่ากับเขา ไม่ทราบเรื่องที่เกิดด้านนอก เขาคิดว่าเจียงเฟิ่งหัวต้องพูดอะไรบางอย่างกับนางแน่ นางถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยออกมาทันใด “อวิ๋นฟาง เจ้าอย่าไปฟังคำยุยงเจียงเฟิ่งหัว นางหลอกเจ้า เจ้าคิดจะหย่ากับข้าตอนนี้ เจ้าจะโง่ไปหน่อยหรือเปล่า สตรีตัวคนเดียวอย่างเจ้าจะไปที่ไหนได้ เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าคิดหรือว่าเจียงเฟิ่งหัวจะให้เจ้ากลับจวนอ๋อง ตอนแรกเหิงอ๋องเป็นคนไล่เจ้าออกจากจวนอ๋องด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ เจ้าเป็นสตรีของข้าแล้ว เจ้าปีนขึ้นเตียงเขาไม่ได้แล้ว” อวิ๋นฟางตบหน้าเขาไปหนึ่งที “หากมิใช่เพราะเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า คนอย่างข้าหรือจะเสียตัวให้เจ้า และข้าก็ไม่วันต้องถูกไล่ออกจากจวนอ๋องไปใช้ชีวิตลำบากกับเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า” จีเฉินถูกตบ เขาคิดจะถากถางดูแคลนอวิ๋นฟางอีกสองประโยค ทว่าในตอนนี้เอง เขาพลันเหลือบสายตาไปเห็นตรงหัวมุมทางเดินมีชายเสื้อมุมหนึ่งโผล่ออกมา เขาแน่ใจว่าต้องเป็นเจียงเฟิ่งหัวที่แอบมาดักฟัง คงคิดจะมาล้วงเอาหลักฐานยืนยันจากปากพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนออกอุบายลอบสังหารพระชายาเหิงอ๋อง และต้องการสาวไปให้ถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลั
เจียงเฟิ่งหัวและพวกเหลียนเย่ซ่อนตัวอยู่อีกฟากหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องของจีเฉินต่างก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด เหลียนเย่ถึงกับหลับตา และเอามืออุดหูไว้ แม้แต่แม่นางน้อยที่ยามปกติจะร่าเริงซุกซนยามนี้ยังรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม อ้าวเสวี่ยเองก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว สตรีอย่างอวิ๋นฟางโหดร้ายเกินไปแล้ว นางเหลือบสายตามองไปทางเจียงเฟิ่งหัวอย่างเงียบเชียบ เห็นนางเพียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ พระชายาอุบายนี้เองหรือที่เรียกว่ายืมมีดฆ่าคน โลหิตสดเปื้อนเต็มมือผู้อื่นมิได้เกี่ยวข้องกับพวกนางแม้แต่น้อย เจียงเฟิ่งหัวหลับตาลงช้า ๆ ภาพโลหิตสีแดงฉานสมองของนางยังน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ ในอดีตชาติ สีหน้าท่าทางหลงละเลิงของจีเฉินและซูถิงหว่าน ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด นางไม่มีวันลืมได้เลย ความเจ็บปวดทั้งหมดที่จีเฉินได้รับในวันนี้เขาสมควรจะได้รับมันแล้ว ตอนที่เขาต้องการจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ไม่มีความปรานีแม้เพียงสักนิด โลหิตของเหลียนเย่ย้อมทั้งตำหนักเฉินซีให้กลายเป็นสีแดงฉาน นางตายตาไม่หลับด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าใต้เท้าจั่วจะขอคำสั่งประหารตัดศีรษะจีเฉินมาให้ไม่ได้ แต่ในยามนี้ที่เขากลาย
“บ่าวเห็นแก่ตัวและนึกถึงเพียงประโยชน์ของตนเอง เฝ้าฝันมาตลอดว่าจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย ทว่าบัดนี้บ่าวรู้แล้วว่าบ่าวคิดผิดไป ชีวิตที่ดีมิได้มีให้สำหรับสตรีอย่างพวกบ่าว ต่อให้บ่าวจะกล่าวโทษสกุลซู ทางการก็ไม่คิดจะแตะต้องอะไรสกุลซูอยู่แล้ว เพราะว่าตราบใดที่ฝ่าบาทมิได้พยักพระพักตร์ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องล่วงเกินสกุลซูได้” เจียงเฟิ่งหัวเมื่อฟังนางกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ยิ่งไม่เกิดความรู้สึกสนใจใด ๆ ในตัวนาง อวิ๋นฟางจะเป็นหรือตายก็มิได้เกี่ยวข้องกับนาง เจียงเฟิ่งหัวหมุนตัวก็เดินจากไปทันที อวิ๋นฟางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นเนิ่นนานแล้วก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา ในตอนนั้นเอง จั่วซือแห่งกรมพิธีการก็รีบเร่งเข้ามาในศาลาว่าการเขตเมืองหลวงอย่างร้อนรน “คารวะพระชายาอ๋อง” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าจั่ว” ใบหน้าของนางมิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย ท่าทางนิ่งสงบไม่ทุกข์ร้อน ราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายด้านนอกที่ทำการเมื่อสักครู่มิได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย จั่วซือจึงเอ่ยขึ้นมา “คำตัดสินออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านใต้เท้าเจ้ากรมยินดีให้แม่นางอวิ๋นฟางหย่าขาดกับสามีแล้วพ่ะย่ะค่ะ และเนื่องด้วยจี
จีเฉินขยี้ตา หญิงสาวตรงหน้าก็อันตรธานหายไป เขารู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาพลันล่องลอยขึ้นไปกลางเวหา ทอดตาลงมองสภาพจนตรอกชวนสังเวชของตนเองในกรงขัง จากนั้นเขาก็กลายเป็นศพเย็นเยียบนอนแน่นิ่งไร้ชีวิตแบบนั้น จนถึงตอนนี้เขาถึงได้เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง จนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า ลำคอก็เหมือนถูกบีบไว้ จนคล้ายจะหายใจไม่ออก เขาลองเอื้อมมือไปแตะร่างของตัวเขาเอง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามออกแรงสักแค่ไหน เขาก็มิอาจสัมผัสร่างของเขาเองได้ แล้วจู่ ๆ เขาก็ทะยานไปกลางเวหาทะลุเข้าสู่กลุ่มเมฆดำทะมึน ด้านในนี้คล้ายกับเป็นอีกโลกหนึ่ง นอกจากท้องฟ้าเป็นสีดำ ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา เรือนหลังใหญ่ที่เหลืองอร่ามวาวแวว บริวารนับร้อยคอยปรนนิบัติรับใช้ เสียงขับขานเริงระบำอันเต็มที่ กรุ่นกลิ่นสุราชั้นเลิศที่หอมหวาน สุรานารีชวนหลงใหล เขาอยู่ในสระสุราแหวกว่ายร่ายรำหาความสำราญอย่างเต็มที่ ป้ายสลักอักษรจวนจีอ๋องขนาดใหญ่สะท้อนแสงเจิดจ้าสะดุดตา พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่กลับเลือนรางมิอาจจับต้อง ความหรูหราฟุ้งเฟ้อตรงหน้าเขาเหม
เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวตนของเหิงอ๋องและออกเที่ยวร่อนเร่แสวงหาความรู้ต่อไป ภายหลังจากตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหารที่พักและอาภรณ์สวมใส่อีกแล้ว เขาได้ใช้ชีวิตอย่างคนมั่งคั่งร่ำรวยไปโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนที่เขาได้พบกับซูถิงหว่านอีกครั้ง ก็พบว่าเหิงอ๋องกำลังกุมมือของนางอยู่ เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายคือเหิงอ๋อง เขาก็เลือกจะเป็นฝ่ายเก็บซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ด้วยตนเอง หากว่าเขาเป็นสตรี เขาเองก็ต้องเลือกเหิงอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งร่ำรวยอยู่แล้ว เขารู้ว่าซูถิงหว่านเองก็มีใจให้เขา สายตาที่มองเขาไม่เหมือนกัน เพียงแต่เหิงอ๋องมีฐานะสูงส่งกว่าก็เท่านั้น จากนั้น เขาก็ออกท่องขุนเขาเที่ยวชมลำน้ำอีกครั้ง ได้พบเจอหญิงงามจำนวนมาก งดงามกว่าซูถิงหว่าน เขาหลงระเริงกับพวกนาง สุขสำราญอย่างไร้สิ่งใดจะเปรียบเทียบ เขาได้รับข่าวว่าเหิงอ๋องกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส และสตรีที่เขาจะสมรสด้วยมิใช่ซูถิงหว่าน แต่เป็นคนอื่น เขารู้สึกแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด และรีบร้อนกลับไปปลอบโยนซูถิงหว่าน ทว่านางกลับเลือกเป็นอนุภรรยา นางต้องการใช้ชีวิตอยู่กับเหิงอ๋อง นางรักเขามากเพียงนี้เชียวหร
“ภรรยาที่อยู่ในใจข้าแต่งงานกับคนอื่นไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ไม่มีใจจะมีภรรยาแล้ว” สายตาจีเฉินจับจ้องที่ซูถิงหว่าน ในดวงตาเต็มไปด้วยเยื่อใยความรู้สึก “น้องหญิงสาม เจ้าคงรู้ใจข้าดียิ่งกว่าใครๆ! หลายปีมาแล้ว ข้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไป”ซูถิงหว่านหน้าแดงหูแดง นางรู้นานแล้วว่าจีเฉินชอบนาง หลายปีก่อนก็รู้แล้ว ตอนนั้นนางยังไม่ได้พบกับเซี่ยซาง นางกล่าว “พี่ใหญ่ เจ้าพูดจาไร้สาระอะไร วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของฝ่าบาท พวกเรารีบไปที่ห้องจัดงานเถอะ”จีเฉินโอบเอวนางไว้จากด้านหลัง ริมฝีปากจุมพิตเข้าที่ลำคอนาง มีกลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากปาก ซูถิงหว่านแกะมือเขาออก แต่กลับแกะไม่ออก ร่างกายก็เกร็งขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ เจ้าเมาแล้ว รีบปล่อยข้านะ”“งานเลี้ยงยังไม่เริ่มสักหน่อย ข้าก็ดื่มไปเพียงจอกเดียว ข้าไม่ได้เมา เป็นความงามของน้องหญิงสามต่างหากที่ทำให้ข้าลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น” ปากเขาเอ่ยคำหวาน กอดรัดเอวนางไว้แน่น “หวานหว่าน เจ้าคือหญิงที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็น”ซูถิงหว่านหัวใจเต้นดังตึกตัก นางหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “พี่ใหญ่ จะจาบจ้วงไม่ได้ ข้าเป็นฮองเฮาแห่งต้าโจวแล้ว ไม่รู้กาลเทศะ
เวลานี้ ซูถิงหว่านก็กล่าวขึ้น “เจ้าชอบหญิงงามถึงเพียงนี้ ในตำหนักเฉินซีก็มีหญิงงามนางหนึ่งพำนักอยู่ เจ้าไม่ไปดูสักหน่อยเล่า ทางนั้นมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ฝ่าบาททรงไปเดินเล่นริมทะเลสาบบ่อย ๆ ตอนยังเป็นรัชทายาทอยู่”“เจ้าหมายถึงเจียงเฟิ่งหัว พระชายาเอกคนแรกของฝ่าบาท” เขาไม่ได้พบนางมาหลายปีแล้ว ไม่พูดขึ้นมา เขายังนึกว่าเจียงเฟิ่งหัวตายไปตั้งนานแล้ว “ก็เป็นสาวน้อยรูปงามคนหนึ่งอยู่”ซูถิงหว่านแสดงท่าทางดูถูก “พวกเจ้าผู้ชายก็เหมือนกันทั้งนั้น ตอนนี้เจ้าไปดูอีกสิว่านางยังเป็นสาวน้อยรูปงามอยู่หรือไม่” นางกลายเป็นหญิงอมทุกข์ที่หลบอยู่ในวังตั้งนานแล้ว“ข้าไปตำหนักเฉินซี นี่คงจะไม่เหมาะสมเท่าไรกระมัง! ไม่ว่าจะว่าอย่างไรนางก็เป็นพระชายาเอกคนแรกของฮ่องเต้ ข้าควรหลีกเลี่ยงข้อครหา” จีเฉินจงใจพูดย้ำคำว่าพระชายาเอกคนแรก ก็เพราะอยากเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของซูถิงหว่านซูถิงหว่านเบิกตาโพลงด้วยความโกรธ “เจ้าหมายความว่าอะไร ตอนนี้ข้าต่างหากที่เป็นฮองเฮาของพระองค์ พระชายาคนแรกแล้วอย่างไรกัน ไม่ใช่หญิงที่ถูกทอดทิ้งหรือไร”“วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เวลานี้ของทุกปี นางจะไปปล่อยโคมขอพรให้ฝ่าบาท” ซูถิ
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู
ในเวลานั้นเอง ฝูลู่ก็นำโคมดอกบัวเข้ามาอีกสองดวง “ฝ่าบาท โปรดทรงทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นสิ่งที่บ่าวให้คนเก็บขึ้นมาจากทะเลสาบพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้มองโคมดอกบัว จากนั้นก็เพ่งไปที่อักษรบนนั้น ล้วนเป็นคำอวยพร แม้จะมิได้ระบุชื่อ แต่เขาจำได้ว่าเป็นลายมือของเสียนเฟย “โคมไฟสองดวงนี้เสียนเฟยเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”ฝูลู่กล่าวว่า “น่าจะใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรู้สึกหรือไม่ว่าพวกมันช่างดูคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้พยายามย้อนนึก “ข้าเคยเห็นจากที่ใดมาก่อนนะ ออกจะคุ้นเคยอยู่บ้างจริงๆ โคมสองดวงนี้ทำอย่างประณีตถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าเสียนเฟยจะมีฝีมือที่ดีเช่นนี้”“ยามนั้นฝ่าบาทยังทรงเป็นองค์รัชทายาท ทรงเคยเก็บโคมดอกบัวที่ข้างทะเลสาบได้ดวงหนึ่ง ตอนนั้นก็เพิ่งผ่านวันเกิดของฝ่าบาทมาเช่นกัน เป็นช่วงเวลานี้ของปีที่แล้วนั่นเอง ทรงจำได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ?” ฝูลู่กล่าวต่อ “เวลานั้นบ่าวเพิ่งมารับใช้ข้างกายฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีราชกิจยุ่ง ต้องทรงลืมไปแล้วแน่”“เจ้าพูดถึงโคมที่เหมือนลูกท้อดวงนั้นหรือ” เขาเหมือนจะมีความทรงจำนี้อยู่ฝูลู่กล่าวว่า “เป็นดวงนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงลองทอดพระเนตรดู
เจียงเฟิ่งหัวราวกับมิได้ยิน นางยังคงกอดศพของเหลียนเย่ไว้ในเวลานั้นเอง พวกหวังมัวมัวก็เข้ามานำตัวนางไปที่เบื้องหน้าของฮ่องเต้ “พระสนมเสียนเฟยรีบขอบพระทัยเถิด ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงไม่เอาเรื่องที่ท่านขโมยของในวังแล้ว”แววตาของเจียงเฟิ่งหัวเย็นชาดุจน้ำแข็ง นางเงยหน้าขึ้นจ้องฮ่องเต้ ในดวงตาไม่มีร่องรอยของความรักอีกต่อไปแล้ว นางโง่เขลามานานหลายปี ทำร้ายทั้งตนเอง ทำร้ายเหลียนเย่ด้วย และยังทำร้ายสกุลเจียงอีก นางเพ้อฝันถึงความรักของฮ่องเต้ เพ้อพกว่าเขาจะเหลือบมองนางสักครั้งเพราะเห็นแก่หน้าเด็กทั้งสองลูก? ลูกของนางอยู่ที่ใด? เจียงเฟิ่งหัวคุกเข่าอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ถ้าเด็กๆ เห็นจะต้องตกใจแน่ฮ่องเต้จ้องเข้าไปในดวงตาของนาง รู้สึกถึงเพียงความว่างเปล่าและหนาวสะท้าน เขาพลันนึกถึงตอนที่เขาไปเข้าหอกับนางที่ตำหนักเฉินซี ในดวงตาของนางนอกจากความรักแล้ว ยังมีการวิงวอน นางวิงวอนให้เขารักนางเมตตานาง เขารังเกียจสตรีเช่นนั้น“เสียนเฟย ยังไม่รีบของพระทัยอีก” ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชามุมปากของเจียงเฟิ่งหัวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันที่ยากสังเกต นางทำความเคารพอย่างนอบน้อม หมอบราบอยู่บนพื้น “หม่อม
“ลากออกไปเถอะ โบยให้ตายที่นี่เลย ให้คนทั้งวังเห็นเป็นเยี่ยงอย่างว่า การแอบลักลอบขายของในวังโดยพลการมีผลลัพธ์เช่นไร”ฮองเฮาหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ต่อว่า “ไม่รู้ว่าหม่อมฉันลงโทษเช่นนี้ถูกต้องตามกฎระเบียบหรือไม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าเสียนเฟยควบคุมคนใต้บังคับบัญชาไม่ดี โทษตายเว้นได้ โทษเป็นไม่อาจเว้น…”สาวใช้ของนางยังนับว่าภักดี ยอมออกมาแบกรับความผิดแทน แต่เจียงเฟิ่งหัวคิดว่านางจะรอดตัวไปได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ? นางจะให้คนแซ่เจียงหนีไม่พ้นสักคน“ล้วนเป็นการกระทำของบ่าว บ่าวขอตายเพื่อชดใช้ความผิดเพคะ ตอนนี้ฮองเฮาทรงพอพระทัยแล้วใช่ไหมเพคะ! วินาทีถัดมา ก็เห็นเหลียนเย่หยิบปิ่นเงินด้ามหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วแทงเข้าไปในลำคอของตนอย่างไม่ลังเล เลือดไหลทะลักออกมาในเสี้ยววินาที เมื่อนางตายแล้ว ฮองเฮาก็คงไม่มีเหตุผลมาสร้างความลำบากให้คุณหนูแล้วกระมังเจียงเฟิ่งหัวไม่ทันระวังว่านางจะฆ่าตัวตาย จึงตกใจจนใบหน้าซีดขาว นางกอดเหลียนเย่ไว้ กดแผลของนาง น้ำเสียงสั่นสะท้าน “เหลียน…เหลียนเย่ ไม่เอานะ หมอหลวง รีบเรียกหมอหลวงเร็วเข้า”“คุณหนู ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ พวกเราเคยเชิญหมอหลวงมาตรวจรักษาได้ที่ไหนกัน แทนที่จะ
“ไม่ พวกเราไม่ได้ทำเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวปฏิเสธ ซูถิงหว่านคิดจะทำอะไร นางต้องการลูกของนางอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ทำเพคะ เหลียนเย่ก็มิได้ทำ ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าววิงวอนเมื่อฮ่องเต้เห็นเช่นนี้ก็ถามราชองครักษ์ว่า “เกิดสิ่งใดขึ้น พวกเจ้าไปเอาเอกสารลายมือของเสียนเฟยมาเท่านั้น เหตุใดจึงได้ตรวจค้นเครื่องประดับออกมามากเพียงนี้”“ทูลฝ่าบาท ของพวกนี้ค้นออกมาจากตำหนักเฉินซีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ และยังวางอยู่กับผ้าเช็ดหน้าที่ปักเสร็จแล้วพวกนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น่าจะคิดนำออกจากวังไปปล่อยขายพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์กล่าวฮ่องเต้มองดูผ้าเช็ดหน้า ด้านบนมิได้เขียนอักษร “เสียนเฟย เจ้าจะอธิบายเช่นไร”“หม่อมฉันมิได้ทำเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดของพวกนั้นจึงมาปรากฏอยู่ในตำหนักเฉินซี ฝ่าบาท…” เจียงเฟิ่งหัวปฏิเสธสีหน้าของนางซีดเผือด รู้สึกเพียงว่ามีคนกำลังวางแหดักนางไว้แน่น นางคล้ายปลาตัวหนึ่งที่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด“เสียนเฟย เจ้ายังไม่ยอมรับว่าเจ้าก็เข้าร่วมในการขโมยสิ่งของในวังหรือ? ผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เป็นเจ้าปักทั้งหมดหรือ? เจ้าปักผ้าเช็ดหน้ามากมายขน
ฮองเฮาโมโหจนหน้าเขียวแล้ว นางกำลังด่าว่านางไม่รู้เรื่องงานวรรณกรรมอย่างนั้นหรือ? นางกำลังพยายามศึกษาเต็มที่แล้วนะเรียนกลอนโบราณพวกนี้มีประโยชน์อะไรกัน ถึงยังไงฮ่องเต้ก็ชอบความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางอยู่ดี นางกับฮ่องเต้เป็นความรักกันจากใจจริงนางหันไปออดอ้อนฮ่องเต้ว่า “หม่อมฉันดูแลวังหลัง เกรงว่าเหล่าสนมในวังหลังจะทำสิ่งใดที่ผิดศีลธรรมจรรยา ผิดขนบธรรมเนียมเข้า จึงได้ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นเพคะ สิ่งที่เสียนเฟยเขียนเจ้า ‘ถวิลหา’ ‘คะนึงหา’ พวกนี้ หม่อมฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าตัวอักษรของเสียนเฟยเหมือนที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าทุกประการเลยเพคะ…”“หมัวมัวที่ไปเอาตัวอย่างกลับมาหรือยัง” ฮ่องเต้เริ่มหมดความอดทนแล้วหลังหมัวมัวกลับมาก็สบตากับฮองเฮาทีหนึ่ง จากนั้นส่งมอบเอกสารตั้งหนึ่งให้ฮ่องเต้ หลังฮ่องเต้พลิกดู ดวงตาก็เปล่งประกาย มิใช่บทกลอนรักๆ ใคร่ๆ แต่เป็นสี่ตำราห้าคัมภีร์ ลายมือเหมือนที่นางเขียนเมื่อครู่ไม่ผิดเขาถามเจียงเฟิ่งหัว “อักษรพวกนี้เจ้าเป็นคนเขียนหรือ”เจียงเฟิ่งหัวกล่าวว่า “ใช่เพคะ”ฮองเฮาก็เหลือบมองทีนี้ เขียนได้งามมากอยู่หรอก ลูกตาของฝ่าบาทแทบจะตกไปอยู่บนหน
ซูถิงหว่านคิดว่าแค่นางยอมรับผิด ฮ่องเต้ก็จะปล่อยนางไปง่ายๆ จึงกล่าวว่า “นางกำนัลผู้หนึ่งจะเขียนอักษรที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ เสียนเฟยแม้แต่ตัวเจ้าเองก็เชื่อหรือ?”“บ่าวเป็นผู้เขียนจริงๆ เพคะ หากฮองเฮาทรงไม่เชื่อ บ่าวสามารถเขียนให้ฮองเฮาดูที่นี่ได้เพคะ” เหลียนเย่กล่าวจีเฉินก็ไม่เชื่อเช่นกันว่านางกำนัลคนหนึ่งจะเขียนอักษรได้ดีเพียงนี้ ที่ซูถิงหว่านสามารถนำผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ออกมาใส่ร้ายเจียงเฟิ่งหัว ก็แปลว่านางหาคนมาเลียนแบบลายมือของเจียงเฟิ่งหัวอยู่นานแล้ว ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางกล้าใส่ความคนต่อหน้าฮ่องเต้อย่างไร้ความกริ่งเกรงเช่นนี้แน่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน “ฝูลู่ นำกระดาษและพู่กันมา”เหลียนเย่เขียนตามข้อความบนผ้าเช็ดหน้าทีละขีดทีละอักษร หลังทุกคนได้ดู ก็ล้วนประหลาดใจที่เหมือนกับรูปแบบอักษรบนผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ เป็นเหลียนเย่เขียนจริงๆ ด้วยน้อยนักที่นางกำนัลในวังจะรู้หนังสือ และต่อให้รู้อักษรอย่างมากก็รู้จักแต่ชื่อของตนเองเท่านั้น ไม่ก็คำธรรมดาทั่วไป แต่สาวใช้ข้างกายของเจียงเฟิ่งหัวไม่เพียงเขียนเป็น แต่ยังเขียนได้ดีมากด้วยเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่รู้ว่าเหลียนเย่
ในเวลาเดียวกัน เหลียนเย่และหงซิ่วคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้พร้อมกัน และแย่งกันพูดพร้อมกันก่อนที่เจียงเฟิ่งหัวจะเปิดปากพูดว่าทุกคนต่างตกตะลึงไป บรรยากาศคล้ายเย็นเยียบลงจนต่ำกว่าจุดเยือกแข็งฮ่องเต้เหลือบมองคนทั้งสามทีหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เป็นพวกเจ้าขายผ้าเช็ดหน้านอกวังด้วยกัน? หรือเป็นพวกเจ้าร่วมกันยั่วยวนบุรุษนอกวังล่ะ?”เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ หัวใจของเจียงเฟิ่งหัวก็รวดร้าวราวถูกมีดกรีด ในใจของเขานั้น นางไร้ความรักนวลสงวนตัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?เหลียนเย่หยิกหงซิ่วทีหนึ่งจากนั้นก็โขกศีรษะติดๆ กัน “เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ กลอนรักบนผ้าเช็ดหน้าบ่าวเป็นคนเขียนลงไปเองเจ้าค่ะ ปกติเสียนเฟยทรงดูแลองค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยอยู่ตลอด ยามว่างจะทรงปักผ้าเช็ดหน้าจำนวนหนึ่ง เป็นบ่าวถูกความโลภครอบงำ นำผ้าเช็ดหน้าออกไปขายนอกวังโดยพลการ เพื่อให้ผ้าเช็ดหน้าขายดี บ่าวจึงตัดสินใจเขียนกลอนลงไปบนนั้นด้วยตนเอง เสียนเฟยทรงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ และที่บ่าวทำเช่นนี้ก็มิใช่เพราะต้องการล่อลวงผู้ใดเพคะ”นางกับหงซิ่วล้วนมีความคิดเดียวกัน บทกลอนที่ลามกอนาจารพวกนี้ไม่อาจมาจากคุณหนูเด็ดขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเรื่องของเจ้าเป็นมาอย่างไรกัน เหตุใดผ้าเช็ดหน้าจึงหลุดลอดออกไปนอกวังได้” ซูถิงหว่านกล่าว “ด้วยฐานะเสียนเฟยของเจ้า ทุกเดือนก็สามารถได้รับเงินไม่น้อย องค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยก็เลี้ยงอยู่ข้างกายเจ้า เงินในส่วนของพวกเขาล้วนส่งมาถึงมือเจ้าแล้ว พวกเสื้อผ้าอาภรณ์ ถุงเท้ารองเท้าที่ควรส่งมาตำหนักเฉินซีล้วนส่งมาตามเวลาโดยไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เจ้ายังแต่งกายเช่นนี้ นางกำนัลของเจ้ายังบอกว่าเจ้าปักผ้าเช็ดหน้าแลกเงินอะไรอีก เจ้าทำเช่นนี้เพราะคิดจะตำหนิข้าต่อหน้าฝ่าบาทว่าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายหรือ?”ในเวลานั้น ซูถิงหว่านยังทำตัวน้อยอกน้อยใจอีกด้วยจากนั้นก็มีสนมอีกนางกล่าวว่า “ฮองเฮาทรงยุติธรรมมาตลอด ไม่เคยขาดของกินของใช้ของพวกหม่อมฉัน ในความเห็นของหม่อมฉัน เป็นเสียนเฟยที่จงใจแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าฝ่าบาท นางไม่รู้จักสำรวมจนผ้าเช็ดหน้าที่ปักมากมายเล็ดลอดออกไปนอกวังชัดๆ ยามนี้กลับมาอ้างว่าล้วนเป็นการทำแลกเงินไปเสียได้”“ฝ่าบาทของพวกเราทรงพระปรีชาห้าวหาญชาญชัย นับแต่ฝ่าบาททรงเถลิงราชย์มา ราษฎรก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นางกลับปักผ้าเช็