วันนี้เซี่ยซางสวมชุดแพรทรงตรงสีม่วง ตรงเอวรัดด้วยแถบผ้าแพรปักดิ้นทองลายเมฆสีเดียวกันเส้นหนึ่ง ผมสีดำสนิทรวบไว้ครอบด้วยมงกุฎทองคำประดับหยก รูปร่างสูงโปร่งยืนแผ่นหลังตั้งตรง ทั้งตัวคนแลดูหล่อเหลาสง่างาม กอปรด้วยราศีสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดส่วนเจียงเฟิ่งหัววันนี้สวมเสื้อคลุมเนื้อบางสีม่วงอ่อน ข้างในสวมเกาะอกและกระโปรงร้อยจีบสีฟ้าเทา ไหล่กลึงเกลาดุจแกะสลัก เอวอ้อนแอ้นอรชร ลำคอของนางเรียวยาว ผิวพรรณขาวพิสุทธิ์เกลี้ยงเกลา บุคลิกภาพดุจกล้วยไม้ในหุบเขา การแต่งกายแต่ละแบบสามารถขับเน้นเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำกันของนาง ผมทรงมวยเมฆาในวันนี้ยิ่งขับเน้นความสุภาพเรียบร้อย แลดูทั้งสง่างามและหรูหรา นางแต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เดินตรงมาทางเขาด้วยฝีเท้าแช่มช้า“หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง” น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน ต่างจากท่าทางปล่อยตัวตามสบายเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนเมื่อคืนนี้ลิบลับ กิริยาที่นางแสดงออกก็คือมาดของชายาอ๋องเซี่ยซางใจสั่นระรัว หันหน้ามากล่าวเสียงเย็นชา “ตามธรรมเนียมแล้ว วันนี้ข้าจะต้องพาเจ้าเข้าวังไปคารวะขอบพระทัย ถ้าเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!”“เพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวไ
ภายในตำหนักคุนหนิง วังหมัวมัวรายงานเรื่องที่พวกเขายังไม่ได้ร่วมหอกันต่อเฉิงฮองเฮา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอก ฮองเฮาก็ทราบแล้วเช่นกัน ไม่ว่าเจียงเฟิ่งหัวทำได้อย่างไร สุดท้ายนางก็รักษาเกียรติของตนเองเอาไว้ได้เฉิงฮองเฮาเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเจียงเฟิ่งหัวเป็นคนมีความสามารถ การร่วมหอย่อมเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว จากที่เห็นวันนี้ นับว่าข้าเลือกชายาที่ดีคนหนึ่งให้ซางเอ๋อร์แล้วสินะ”“ท่านอ๋องเดี๋ยวประคองขึ้นเดี๋ยวประคองลง คิดว่าคงโปรดพระชายาเป็นแน่เพคะ” สี่หมัวมัวเอ่ยมาอีกว่า “องค์หญิงเก้าช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว มาถึงหน้าประตูตำหนักแล้วแท้ๆ ก็ยังไม่เข้ามาคารวะทักทายฮองเฮา ไม่รู้จริงๆ ว่ากุ้ยเฟยสั่งสอนอย่างไร”“ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องได้รับบทเรียนแน่” เฉิงฮองเฮารังเกียจเซี่ยหลิงเอ๋อร์ด้วยเช่นกันสี่หมัวมัวยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น “ตั้งแต่กำหนดเรื่องมงคลของท่านอ๋อง กุ้ยเฟยก็ไปร้องไห้ต่อหน้าฝ่าบาทมาแล้วหนหนึ่ง บอกว่าคุณหนูซูกับท่านอ๋องของพวกเราชอบพอกัน ต้องการขอพระเมตตาให้คุณหนูซู สุดท้ายฝ่าบาทปฏิเสธกุ้ยเฟยไปโดยอ้างว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ยามนั้นสีหน้าปั้นยากยิ่งนัก
ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเนิบช้าว่า “หม่อมฉันได้ยินท่านพ่อชื่นชมท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กแล้วว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ เฉลียวฉลาดมากความสามารถมาตั้งแต่ยังเยาว์ เคยเข้าไปประลองกับบัณฑิตมากมายในสำนักศึกษาหลวงจนสร้างชื่อได้ในคราวเดียว ต่อมา เผ่าหูรวบรวมไพร่พลสามแสนมาโจมตีต้าโจว กองทัพศัตรูรุดหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ เมืองต่างๆ ของต้าโจวถูกตีแตกเมืองแล้วเมืองเล่า เหิงอ๋องในวัยเพียงสิบห้าปีนำกำลังคนสิบกว่าคนบุกเข้าค่ายทหารของศัตรูไปจับเป็นผู้นำทัพศัตรู เผ่าหูถอนทัพ ครานั้นท่านอ๋องคว้าชัยชนะมาให้ต้าโจวได้อย่างงดงาม ท่านอ๋องห้าวหาญเพียงนี้ นับว่าเป็นความชอบที่เสด็จแม่ทุ่มเทสั่งสอนมาเช่นกันเพคะ”กล่าวถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ในอดีตของเซี่ยซาง ดวงตาเฉิงฮองเฮาทอประกายภาคภูมิใจ แต่ครั้นคิดถึงว่าบุตรชายมีความสามารถโดดเด่นปานนี้แต่กลับไม่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่อยู่ ซางเอ๋อร์ไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้เป็นเพราะผลกระทบจากตนเองทั้งสิ้นดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเจียงเฟิ่งหัวฉายแววกังขา “เสด็จแม่เป็นอะไรไปเพคะ?”“ยามนี้หัวใจทั้งดวงของซางเอ๋อร์อยู่ที่สตรีนางนั้น ข้าเองก็ปวดหัวเหมือนกัน” ฮองเฮ
อีกด้านหนึ่ง ฮองเฮาขอตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงมาให้เหิงอ๋องได้จริงๆ นางกำลังดีใจอยู่ก็ได้ยินฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “อายุน้อยดีแบบนี้เอง ไร้ทุกข์ไร้โศก กล้าหาญมิพรั่น อยากได้ตำแหน่งก็ไม่มาขอด้วยตนเอง”ฮองเฮารีบร้อนอธิบาย “ความจริงซางเอ๋อร์มีใจแสวงหาความก้าวหน้ามากนะเพคะ ตอนที่เขายังเล็กก็...”ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง “เพราถูกเจ้าตามใจจนเสียคนน่ะสิ เขาถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ ถ้าเขามีใจแสวงหาความก้าวหน้าจริงก็คงไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องสตรี อยู่ว่างทั้งวี่วัน ต่อให้ยกตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงให้เขา เขาจะทำได้ดีงั้นรึ?”สีหน้าฮองเฮาบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว เล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่รู้สึกเจ็บ นางพลันเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ “ฝ่าบาทจะลำเอียงก็ไม่ต้องลำเอียงถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง หากฝ่าบาทมีใจยุติธรรมสักนิด ปฏิบัติกับเขาเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่น เขาจะอยู่ว่างทั้งวี่วันเช่นนี้หรือเพคะ? มีวาจาประโยคไหนของฝ่าบาทที่ไม่ดูถูกดูแคลนเขา ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดถึงปานนั้น...”ฮองเฮาพูดพลางรำลึกถึงความสำเร็จที่แสนยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเยาว์วัยของเซี่ยซาง ล้วนแต่เป็
เจียงเฟิ่งหัวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางจ้องมองใบหน้าของเซี่ยซางอย่างอึ้งๆ ใบหน้ายังคงเย็นชาแข็งทื่อดุจน้ำแข็ง การกระทำยิ่งหยาบกระด้าง เขาวางนางลงบนตั่งนุ่มโดยไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด “ก่อนที่หมอหลวงจะมา ข้าจะตรวจให้เจ้าก่อนว่าบาดเจ็บถึงกระดูกหรือไม่”“ท่านอ๋องทำเป็นหรือเพคะ?” ดวงตาคู่งามของเจียงเฟิ่งหัวทอประกายวาบเซี่ยซางไม่อยากอธิบายว่านั่นเป็นทักษะพื้นฐานที่คนในกองทัพต้องมี น่าเสียดายที่เขาไม่อาจเข้าสู่สมรภูมิอีกแล้ว เสด็จพ่อรังเกียจตนเอง ยามนี้ก็ทอดทิ้งเขาไปแล้วเซี่ยซางเปิดชายกระโปรงของนางขึ้นด้วยตนเอง ถอดถุงเท้าออก เห็นเท้างามเกลี้ยงเกลาของนางแดงเถือก บริเวณข้อเท้าบวมนูน ปลายนิ้วเขากดลงเบาๆ เจียงเฟิ่งหัวก็เจ็บปวดจนน้ำตาหลั่งรินลงมาเซี่ยซางเห็นคนงามที่ดวงตาปริ่มน้ำกัดผ้าเช็ดหน้าไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาตรงหน้าก็พูดว่า “เจ็บก็ร้องออกมาเถอะ ร้องออกมาแล้วก็จะดีขึ้นบ้าง”เจียงเฟิ่งหัวน้ำตาไหลไม่หยุด ดวงตาปิดแน่น ส่ายหัวน้อยๆ เนื่องจากเจ็บปวดสุดทานทน นางถึงขั้นเริ่มกัดหลังมือของตัวเองเซี่ยซางไม่เคยเห็นสตรีที่กลัวเจ็บเพียงนี้มาก่อน เขายังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ ประเดี๋ยวตอนประคบเย็นจะยิ่งเ
กว่าจะประคบเสร็จไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ข้อเท้าของเจียงเฟิ่งหัวค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด ไม่บวมมากเหมือนเดิมแล้วเจียงเฟิ่งหัวราวกับเจ็บปวดจนเจียนสลบ ซบลงในอกเขาด้วยสติเลือนราง ยามนั้นบนหน้าผากและหว่างคิ้วของนางมีหยดเหงื่อเกาะพราว ร่างกายก็เหมือนจะเหงื่อออกจนเปียกชื้น ลักษณะเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวชวนให้คนสงสารลูกกระเดือกของเซี่ยซางขยับขึ้นลง หัวใจเต้นรัวแรง เจียงเฟิ่งหัวขยับยุกยิกในอ้อมอกเขาอย่างไม่ยอมอยู่นิ่ง โชคดีที่ในตำหนักมีพวกเขาเพียงสองคน มิฉะนั้นหากปล่อยให้นางกำนัลกับขันทีมาเห็นพวกเขาในสภาพนี้คงได้เข้าใจผิดว่าทั้งคู่เพิ่งกระทำเรื่องที่พบพานผู้คนไม่ได้มาเป็นแน่แท้นอกตำหนัก เฉิงฮองเฮาให้หมอหลวงทิ้งยาแก้ฟกช้ำไว้ให้ก็บอกให้เขาจากไปริมฝีปากนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ทำให้คนไม่อยากเข้าไปรบกวนในตำหนักสี่หมัวมัวเอ่ยข้างหูนาง “บ่าวไม่เคยเห็นท่านอ๋องมีน้ำอดน้ำทนเพียงนี้มาก่อนเลยเพคะ ถ้าพระชายาได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็เป็นการช่วยคลายความกังวลให้ฮองเฮาได้พอดี บุตรีสกุลซูผู้นั้น...”“ซางเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับความรู้สึก เขาไม่มีทางทอดทิ้งซูถิงหว่านเพื่อเจียงเฟิ่งหัว ตอนนี้คงต้องดูว่าซางเ
ชาติก่อน ซูถิงหว่านจงใจเลือกวันแต่งเข้าจวนอ๋องให้ตรงกับวันที่นางกลับจวน ชาตินี้ในเมื่อฮองเฮาให้สิทธิ์ขาดกับนาง เช่นนั้นนางจะให้อีกฝ่ายค่อยๆ รอเจียงเฟิ่งหัวเขียนฤกษ์งามยามดีลงบนกระดาษด้วยตัวเอง จากนั้นเอ่ยกับเหลียนเย่ “นำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านอ๋อง ถามเขาว่าเหมาะสมหรือไม่ หากไม่พอใจ เชิญท่านอ๋องมาเลือกฤกษ์ดียามอื่นได้เลย”“เพคะ” เหลียนเย่หันมองแวบหนึ่ง “กำหนดให้เป็นอีกห้าวันให้หลังหรือเพคะ? วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบสามเดือนสาม ห้าวันให้หลังคือวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม”เหลียนเย่พูดต่อไป “เหตุใดพระชายาปล่อยให้หญิงผู้นั้นแต่งเข้าจวนเร็วขนาดนี้ หากนางแต่งเข้าจวนจริง พระชายามิหมดโอกาสหรือเพคะ?”“ห้าวันจากนี้เป็นเพียงวันที่ที่ข้าเสนอเท่านั้น อีกไม่นานท่านอ๋องจะมีงานราชการต้องทำ นางไม่ได้เข้าจวนเร็วขนาดนั้นหรอก” เจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเสียงเรียบหงซิ่วและเหลียนเย่รู้สึกมึนงง ท่านอ๋องโปรดสตรีผู้นั้นมาก แทบอยากจะแต่งซูถิงหว่านเข้าจวนทันที จะปฏิเสธแต่งชายารองเข้าจวนในอีกห้าวันได้อย่างไรเหลียนเย่มาถึงห้องหนังสือ จากนั้นนำคำพูดของเจียงเฟิ่งหัวแจ้งแก่เซี่ยซางอย่างละเอียดถี่ถ้วนสีหน้าเซี่ยซางเย็นชาเล็กน้
ความงามของเจียงเฟิ่งหัวไม่ได้งามเพราะความผอม แต่งามเพราะมีทรวดทรงองค์เอว จุดไหนควรเล็กก็เล็ก จุดไหนควรเต่งตึงก็เต่งตึง งามอย่างไร้ที่ติคืนนี้นางสวมกางเกงซับในบางเบาและชุดชั้นในปักลายดอกท้อ ผมยาวดำขลับถูกมวยเอาไว้กลางกระหม่อม เผยให้เห็นลำคอระหงพอดีจังหวะนั้น เซี่ยซางที่ดื่มจนเมามายบุกเข้าไปในห้องของนาง เขาเดินอ้อมฉากกั้นโดยมิสนใจสิ่งใด ครั้นเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาฉายแววลนลานเล็กน้อย กระนั้นกลับมิอาจละสายตาจากนางตรงหน้าได้ สตรีเบื้องหน้างดงามจนทำให้เขาแทบหยุดหายใจเจียงเฟิ่งหัวสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบดึงผ้าห่มผืนบางปิดบังร่างกาย ทว่านางดึงมาปิดก็เหมือนไม่ปิด พร้อมกัดริมฝีปากแดง แสร้งทำโกรธเคือง “ท่านอ๋อง เข้ามาทำไมไม่เคาะประตูเพคะ?”ความคิดของเขาถูกเสียงตำหนิของนางดึงกลับมา นิ้วมือของเขาชี้ไปที่ป้ายด้านนอก แล้วชี้ไปที่เตียงและเครื่องใช้ภายในห้อง “ที่นี่คือหอหล่านเยว่ เป็นห้องนอนของข้า พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งของของข้า ข้าเข้ามาห้องนอนตัวเองทำไมต้องเคาะประตู เจ้า เจ้า เจ้า อึก...หลีกไป”ระหว่างที่พูด เขาทำท่าจะขึ้นไปบนเตียงต่อมาเซี่ยซางโผเข้าหานาง นางเองไม่คิดจะหลบหลีก วินาทีต่อมา ภายในอ
“ท่านอ๋องทรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” เจียงเฟิ่งหัวถาม“ไม่รบย่อมเป็นการดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าหากพวกมันคิดอยากมารนหาที่ตายจริง ๆ ต้าโจ้วก็ไม่กลัวพวกมัน” แววตาเซี่ยซางลุ่มลึก มีความเหี้ยมเกรียมแผ่ออกมา “เสียงจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ถวายคำแนะนำให้เจรจาสันติภาพมีมากกว่าเสียงที่สนับสนุนให้เตรียมรับสงคราม พวกผู้เฒ่าเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่ายิ่งถอย พวกเผ่าหูยิ่งกำเริบเสิบสาน พวกมันก็จะยิ่งนึกว่าต้าโจวกลัวพวกมัน เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น”เจียงเฟิ่งหัวน้ำเสียงสบาย ๆ ในแววตาเหมือนมีแสงดาวส่องประกาย นางถึงกับดูเหมือนว่าหลงใหลและบูชาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว ทำให้เซี่ยซางนึกว่าในสายตาและในใจนางมีแต่เขาและเขาเท่านั้น เติมเต็มความรู้สึกชายเป็นใหญ่ของเขานางยิ้มน้อย ๆ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องต้องปกป้องประชาราษฎรชาวต้าโจวได้อย่างแน่นอนเพคะ หากจะต้องสู้รบคราวนี้จริง ๆ ต้าโจวของเราก็มีโอกาสที่จะชนะ หม่อมฉันสนับสนุนท่านอ๋องอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อให้เลวร้ายที่สุด พวกเราก็ยังมีศาลาการกุศล ช่วงที่ท่านไม่อยู่ พระชายาอ๋องสาวและพระชายาอ๋องรอง อีกทั้งเหล่าสตรีในเมืองหลวง พวกนาง
เหลียนเย่ลากอ้าวเสวี่ยลงไปนั่นบนตั่งด้านข้างเลย เริ่มนวดให้นางไปมาหลายแบบ คลายเส้นและกล้ามเนื้อ มีคนปรนนิบัติพัดวีเช่นนี้ อ้าวเสวี่ยก็รู้สึกเพียงว่าสบายไปทั้งตัว“จอมยุทธ์หญิงอ้าวเสวี่ยรู้สึกอย่างไรบ้าง ฝีมือนวดพอใช้ได้ไหม เมื่อก่อนทุกครั้งพระชายาฝึกกำลังเสร็จแล้วข้าเป็นคนคลายเส้นให้นางทั้งนั้น ต่อไปทุกครั้งที่ท่านฝึกวรยุทธ์เสร็จ ข้าก็ช่วยท่านได้ รับรองว่าจะทำให้ร่างกายท่านมีทรวดทรงองค์เอวสวยงามขึ้นมา ใบหน้าเล็ก ๆ ก็จะงดงามดึงดูดสายตาคน” เหลียนเย่ปากหวานมาก หน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดูทันใดนั้นอ้าวเสวี่ยก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเจียงเฟิ่งหัวแวบหนึ่ง ในมือนางถือหนังสือไว้ พิงอยู่บนตั่ง มองดูยิ่งดูสงบเยือกเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของนางขาวใสเปล่งประกายราวกับหยก ช่างงดงามจับใจเสียยิ่งกว่าสาวงามในภาพวาดจริง ๆ อ้าวเสวี่ยพึมพำอยู่ในใจ เรือนร่างของพระชายาที่มีทรวดทรงองค์เอวงดงามเช่นนี้ก็เพราะได้เหลียนเย่ช่วยนวดให้นางหรือ?นางรู้ว่าพระชายาเป็นคนดี แค่เพียงทุกครั้งเวลาที่นางไปศาลาการกุศล เรื่องที่นางทำก็ทำให้นางรู้สึกเลื่อมใสแล้ว เด็ก ๆ ที่ศาลาการกุศลต่างก็ชื่นชอบนางเป็นอย่างมาก ยามนางสอนให้พวกเ
อ้าวเสวี่ยงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก นางเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ ยิ่งไม่ได้บอบบางแบบเหล่าคุณหนูที่อยู่แต่ในห้องหับ นางกัดฟันกินเข้าไปจริง ๆ แต่ว่ารสชาตินี้ก็แย่เกินไปแล้วกระมัง!เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอีกว่า “หงซิ่ว เจ้าไปเรียกคุณหนูซู่ซู่มาที่จวนซิ นางมาไกล กลับมาเมืองหลวงจากเจียงหนานพร้อมท่านอ๋อง ต้องดูแลนางอย่าให้บกพร่อง พวกเจ้าต้องคอยดูแลทุกด้าน”“เพคะ บ่าวทราบแล้ว พระชายาวางได้เถอะเพคะ คนที่ท่านอ๋องพึงพอใจ บ่าวต้องรับใช้เป็นอย่างดีแน่นอน อากาศเย็นแล้ว บ่าวก็จะให้คนส่งเสื้อผ้าไปให้เพคะ” หงซิ่วกล่าวอย่างเคารพนบนอบซูถิงหว่านไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวครู่หนึ่งก็พูดถึงคุณหนูอ้าวเสวี่ย อีกครู่หนึ่งก็พูดคุณหนูซู่ซู่ อีกทั้งยังล้วนเกี่ยวข้องกับเซี่ยซาง หรือว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้เซี่ยซางมีผู้หญิงเพิ่มมากมายถึงเพียงนี้อีกซูถิงหว่านมองเจียงเฟิ่งหัวอย่างเหม่อลอย เห็นเพียงว่านางสบาย ๆ ไร้กังวง ไม่โกรธหึงหวงแม้แต่นิดเดียว หรือว่าในใจนางไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยนะนางแค่ได้ยินก็โมโหแล้วไม่ได้ นางจะอยู่นิ่งรอความพินาศไม่ได้แล้ว ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็ต้องคิดหาวิธีมัดใจเซี่ยซางไว้ ไม่
นางลูบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่ใส่อยู่ไปมา หวนนึกถึงชีวิตของนางที่ผ่านมาในช่วงหลายเดือนก่อน ช่างลำบากเกินบรรยาย ฮองเฮายังให้นางคัดบทสวดมนต์ทุกวัน นางมือจะหักอยู่แล้ว ในภูเขาก็หนาวอีกด้วย ไหนเลยจะมีเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเหล่านี้และเตาผิงที่ใช้อุ่นมือส่วนเจียงเฟิ่งหัวนั้นหรือ อยู่ดีมีสุขชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าอยู่ในจวนอ๋อง ใช้ชีวิตราวกับเป็นเทพเทวดา เซี่ยซางยังมอบเสื้อผ้าให้นางมากมายขนาดนี้อีกด้วย เขาเคยนึกถึงบ้างไหมว่านางอยู่ที่วัดคนเดียวทั้งเหงาหงอยทั้งเหน็บหนาวต่อให้เกลียดแค่ไหน นางก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจกลับริษยาจนแทบจะอกแตกตายเมื่อเจียงเฟิ่งหัวรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ นางจึงค่อยกล่าวว่า “พระชายารองคงกินอาหารเช้ามาแล้วสินะ อาหารที่ข้ากินเหล่านี้เจ้าคงกินไม่เป็นแน่ หากยังไม่ได้กินมา ข้าจะให้ทางห้องครัวทำให้เจ้าใหม่ เจ้าชอบกินอะไรก็บอกข้ามาได้เลย”นางสีหน้าแช่มชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส น้ำเสียงนั้นยิ่งอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ท่าทางอย่างนายหญิงเจ้าของบ้าง นางพูดเช่นนี้ทำให้ซูถิงหว่านเหมือนกลายเป็นคนนอกคนหนึ่งซูถิงหว่านก้มศีรษะลง น้ำเสียงก็ทั้งอ่อนหวานทั้งออดอ้อน “หม
คอยกระทั่งอ้าวเสวี่ยออกไปแล้ว รอยยิ้มบนมุมปากของเจียงเฟิ่งหัวค่อย ๆ จางหายไป แววตาของนางคมกริบดุจเหยี่ยว ในมือกำกริชเล่มหนึ่งเอาไว้ ข้อมือหมุนอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ด้ามมีดวาววับดุจแสงอสนีบาตฟาดลงมากลางความมืดยามราตรี ทำให้ผู้คนลายตา ดึกเพียงนี้แล้วเซี่ยซางยังไม่กลับมาอีก นางเองก็นอนไม่หลับ นางเดาว่า อีกไม่นานซูถิงหว่านคงใกล้จะได้กลับจวนอ๋องแล้ว ถึงขั้นอาจจะได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากเซี่ยซางใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วย นางพยายามมาแล้วหนึ่งปี เพื่อให้เขาพึงใจตนเอง สุดท้ายก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจทหารของสกุลซู ดังนั้นหากคิดว่าบุรุษพึ่งพาได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้แล้วเหมือนกัน หลังจากนี้อ้าวเสวี่ยจะต้องคอยติดตามรับใช้นาง หากต่อหน้าอ้าวเสวี่ยไม่แสดงฝีมือออกไปบ้าง เกรงว่าจะทำให้นางลำบากในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ในภายหลังได้ แทนที่จะกลัวหน้ากลัวหลังทำตัวเป็นแจกันใส่บุปผาตั้งนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่สู้ตัดสินใจเป็นพระชายาเหิงอ๋องที่กล้าหาญดีกว่า ดูว่าอ้าวเสวี่ยจะเลือกอย่างไร หากว่าอ้าวเสวี่ยนำทุกเรื่องไปรายงานต่อเซี่ยซางทั้งหมด นางก็ไม่จำเป็นต้องให้อ้าวเสวี่ยคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอีก
กว่าเจียงเฟิ่งหัวจะกลับถึงจวนอ๋องท้องฟ้าก็มืดแล้ว นางเหนื่อยมาทั้งวัน รู้สึกอ่อนล้าเต็มที ล้างหน้าสางผมลวก ๆ ก็เอนกายนอนบนตั่งนุ่มเพื่อหลับตาพักผ่อน เซี่ยซางไม่ได้กลับมาพร้อมกับนาง เขาคงจะทราบเรื่องที่เกิดในจวนสกุลจางวันนี้แล้วกระมัง! ซูเซวี่ยนกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปพบเขาทันที ดูเหมือนว่าเซี่ยซางคงติดต่อกับสกุลซูมาได้สักระยะใหญ่แล้ว ในตอนนี้เอง อ้าวเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้านาง “พระชายา ท่านกำลังงีบหลับอยู่หรือเพคะ?” “อืม” เจียงเฟิ่งหัวใช้เสียงนาสิกตอบกลับ นางไม่ได้หลับลึก เพียงแต่หลับตาลงแล้วก็ไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เท่านั้น หลังจากตั้งครรภ์นับวันนางก็ยิ่งขี้เซา จิตใจอ่อนเพลียไม่ฮึกเหิม เพียงอยากปล่อยวางเส้นประสาทที่ตึงเครียดแล้วกลับมาเป็นตนเองก็พอ นางอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย นัยน์ตาคู่สวยชำเลืองมอง พวงแก้มสีผลท้อเจือด้วยรอยยิ้ม กลิ่นอายอ่อนโยนดุจกล้วยไม้ งามล้ำเหนือสรรพสิ่ง อบอุ่นอ่อนโยนเกินพรรณนา อ้าวเสวี่ยรู้สึกมึนงง ในเมื่อหลับไปแล้วเหตุใดยังได้ยินนางพูด หลายเดือนที่นางเข้ามาในจวนอ๋อง พระชายาเหิงอ๋องไม่เคยมองนางเป็นบ่าวรับใช้แม้เพียงสักครั้ง ความสุขสงบสบายใจแบบนั้นเป็นส
นางมิได้ลงมือสังหารจีเฉินในจวนสกุลจาง เป็นเพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้สกุลจาง หากว่าเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นเรื่องจะกลายเป็นอีกแบบทันที เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางล่วงเกินท่านเจ้ากรมกลาโหมอย่างเด็ดขาด วันนี้ทำให้หลี่เฉิงเสียเปรียบ ก็นับว่าสั่งสอนบทเรียนหนึ่งให้เขา นางไม่ได้ปรากฏหน้า ชิวจวี๋ก็หนีไปแล้ว สกุลหลี่หาทางทำอะไรนางไม่ได้ มีเพียงคนอย่างจีเฉินเท่านั้นที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว วันนี้คนที่ออกหน้ามาช่วยชีวิตจีเฉินไว้คือผู้ใด เจียงเฟิ่งหัวเองก็ไม่ทราบ เพราะจีเฉินในชาติก่อนมีซูถิงหว่านที่คอยให้การปกป้องสนับสนุน จนได้เลื่อนขั้นขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง ชาตินี้ ซูถิงหว่านถูกส่งไปที่อื่นแล้ว จีเฉินก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเหิงอ๋อง ทำให้เขาต้องไปพึ่งพาสกุลซู เจียงเฟิ่งหัวลองตัดคนทั้งหมดที่เป็นไปได้ออกแล้วก็ยังคิดไม่ตกว่าจีเฉินจะยังมีความสามารถอะไรที่ดึงดูดให้คนมาโหยหา จีเฉินในชาติก่อนก็มีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู หรือว่าคนที่ช่วยเขาไว้จะเป็นคนผู้นี้? ในตอนนี้เอง เหลียนเย่ก็วิ่งถลันเข้ามา พร้อมร้องตะโกนไม่หยุดปาก “พระชายาเพคะ” เหลียนเย่วิ่งมาจนกระหืดกระหอบ “ในที่สุดก็พบท่านเสียที ท่านอ๋องมาแล
ฮูหยินผู้เฒ่าจางมิได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะวันนี้เป็นวันออกเรือนของจางอวี่มั่ว ฮูหยินรองจางทำเรื่องพรรค์นี้ออกมา ศักดิ์ศรีเกียรติยศของสกุลจางเองก็เสื่อมเสียเช่นกัน เจ้ากรมหลี่กล่าวขอโทษแล้วก็พาตัวหลี่เฉิงกลับทันที ทว่าจีเฉินกลับไม่มีผู้ใดสนใจเขา ทั้งหมดเป็นเพราะจีเฉินเล่นลูกไม้ ฮูหยินผู้เฒ่าจางออกคำสั่งทันใด “ตีมัน ตีจนกว่ามันจะยอมสารภาพความจริงออกมาแล้วค่อยหยุด” จีเฉินถูกมักมือมัดเท้า “พวกเจ้าจะทำร้ายข้าไม่ได้ ข้า…ข้าเป็นพี่ชายร่วมสาบานของเหิงอ๋อง” “ท่านอ๋องทรงเกียรติและสง่าผ่าเผย จะมีพี่ชายร่วมสาบานเป็นพวกต่ำช้าอัปรีย์ลักลอบทำเรื่องผิดศีลธรรมลับหลังอย่างเจ้าได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเหี้ยม “ตีมัน” ไม้กระดานฟาดลงบนตัวของจีเฉินเสียงดัง “เพียะๆ” จีเฉินคำรามด้วยโทสะออกมา “จวนกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่ไยจึงกล้ามองชีวิตคนเหมือนต้นหญ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นฝีมือของเจียง…” ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะให้โอกาสเขาพูดได้อีก ก็สั่งให้คนจัดการอุดปากเขาไว้ทันที ก่อนจะทุบตีจนเขาผิวหนังแตกเนื้อยับ ......เจียงเฟิ่งหัวได้ทราบข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจัดการลงโทษจีเฉินแล้ว มุมปากของนางก็
ตอนที่ฮูหยินรองเป็นผู้ดูแลเรือน ฮูหยินสามเคยถูกนางกดขี่รังแกไม่น้อย เรื่องในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของคนใจดีคนไหน ปกติที่นางไม่ชอบพูดไม่ใช่เพราะนางพูดไม่เก่ง แต่เป็นเพราะไม่อยากทำให้ฮูหยินรองไม่พอใจ ทว่าตอนนี้นางย่อมต้องฉวยโอกาสเหยียบย่ำดูแคลนฮูหยินรองให้เต็มที่อยู่แล้ว ญาติคนอื่นของสกุลจางเองต่างก็มองนางเป็นเรื่องขบขัน ยามปกติฮูหยินรองก็มีกิริยาหยิ่งยโสโอหัง พูดจาก็หยาบคายไม่น่าฟัง อีกทั้งยังชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสักคนออกหน้าช่วยพูดปกป้องนาง หลี่เฉิงมองสถานการณ์ออกชัดเจน ย่อมรู้ว่าตนเองถูกใครบางคนวางแผนใส่ร้าย ก็รีบสลัดตัวจากวงล้อมของพวกบ่าวรับใช้ออกมาเตะจีเฉินไปหนึ่งที พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เรื่องนี้ข้าไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ แน่” เขาเอื้อมมือไปฉวยเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างลวก ๆ ทว่านั่นกลับมิใช่อาภรณ์ของเขา สิ่งที่คว้ามาได้กลับเป็นเสื้อนอกของฮูหยินรอง เรียกเสียงฮาครืนจากรอบข้างขึ้นมาได้ทันที เขาตวาดด้วยเสียงกราดเกรี้ยว “มองอะไร ไสหัวออกไปให้หมด” ฮูหยินผู้เฒ่าจางจำเขาได้ “ใต้เท้าหลี่ เหตุใดจึงเป็นท่าน ท่านเข้ามาที่เรือนหลังของสกุลจางได้อย่างไร มิหนำซ้ำ