ขนตาเจียงเฟิ่งหัวไหวระริก ใบหน้าเล็กๆ นั้นอดกลั้นจนแดงก่ำ นิ้วมือเรียวกระชับชุดชั้นนอกที่เดิมก็บางเบาอยู่แล้ว ยิ่งปกปิดยิ่งเผยให้เห็นเรือนร่างกลมกลึงของนาง เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นเปิดเผยอยู่เบื้องหน้าเขา ชวนให้คนเอ็นดูเหมือนภูตน้อยไม่มีผิดเซี่ยซางรีบเสสายตาหนี เอ่ยเสียงเย็นชา “แต่งตัวให้เรียบร้อย”เจียงเฟิ่งหัวก้มหน้ามอง พบว่าเท้าของตนเองเปลือยเปล่า นางบิดเอวคอดเดินผ่านหน้าเขาไป ด้านหนึ่งดึงอาภรณ์ลงปกปิดอย่างร้อนรน ด้านหนึ่งก็อธิบายเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ได้ไม่รู้กฎระเบียบนะเพคะ ท่านอ๋องโปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน ตอนกลางวันชุดชั้นนอกของหม่อมฉันถูกไฟเผา หม่อมฉันเกรงว่าจะแลดูไม่เหมาะสม ครั้นกลับห้องหม่อมฉันจึงให้คนไปเตรียมน้ำอาบน้ำ เดิมคิดว่าจะแต่งตัวใหม่ แต่อาจเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปจึงเผลอหลับไปโดยไม่ทันระวัง หม่อมฉันจึงลืมเวลาไปชั่วขณะ”“ข้าไม่ได้ถือสา” น้ำเสียงของเขาห่างเหินเย็นชา แววตามืดครึ้มเผยให้เห็นความไม่พอใจนางคิด สำหรับคนที่ไม่สนใจแล้ว ต่อให้เปลือยทั้งตัว เขาก็ไม่สนใจหรอกเจียงเฟิ่งหัวดวงตาเป็นประกาย นางหลบไปข้างๆ อย่างอ่อนแอขวัญอ่อน ดวงตาฉายแววลังเล กัดริมฝีปากสีแดงฉ่ำพึมพ
ปลายฤดูวสันต์ อากาศเริ่มร้อนระอุ บนร่างเจียงเฟิ่งหัวสวมชุดบางๆ ชั้นเดียวไม่หนาวและไม่ร้อน ในไม่ช้าก็นอนหลับไป ลมหายใจสม่ำเสมอเซี่ยซางอาบน้ำกลับมาก็เห็นนางนอนอยู่ด้านในสุดของเตียง เรือนร่างนางโค้งเว้าชัดเจน เอวคอดดุจกิ่งหลิว ขาเรียวงามโผล่ออกมานอกผ้าห่ม เปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดถึงที่สุด แขนเกลี้ยงเกลาดุจหยกพาดสะเปะสะปะ ดวงหน้างามพิสุทธิ์ผุดผาด ดวงตาทั้งสองหลับพริ้ม ขนตางอนงามสงบนิ่งดุจหญิงที่ยังไม่ออกเรือน ริมฝีปากแดงอิ่มเป็นมันวาว เย้ายวนชวนเสน่หาเซี่ยซางอึ้งไปชั่วขณะ เขาจำต้องยอมรับว่ารูปโฉมงามพิลาสของเจียงเฟิ่งหัวนั้นหาได้ยากยิ่ง เขานอนอยู่ด้านนอกสุดของเตียงโดยสวมอาภรณ์เรียบร้อย เว้นที่ว่างกว้างเท่าหนึ่งคนนอนได้ไว้ตรงกลาง กลิ่นหอมกรุ่นจางๆ ซ่านเข้าจมูก ตอนกลางวันขณะที่เขาอุ้มนางก็ได้กลิ่นหอมอ่อนจางเช่นนี้ หอมจรุงใจยิ่งนักเขาหลับตา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขากลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ เตือนตัวเองว่าแม้จะนอนร่วมเตียงกับสตรีผู้หนึ่งก็สามารถทำได้ถึงขั้นจิตใจไม่วอกแวกเจียงเฟิ่งหัวไม่ใช่คนที่เขารัก นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่มีดีเพียงรูปโฉม ไม่อาจมีความคิดนอกลู่นอกทางกับนางเป็นอันขาดหันไปมองเจี
วันนี้เซี่ยซางสวมชุดแพรทรงตรงสีม่วง ตรงเอวรัดด้วยแถบผ้าแพรปักดิ้นทองลายเมฆสีเดียวกันเส้นหนึ่ง ผมสีดำสนิทรวบไว้ครอบด้วยมงกุฎทองคำประดับหยก รูปร่างสูงโปร่งยืนแผ่นหลังตั้งตรง ทั้งตัวคนแลดูหล่อเหลาสง่างาม กอปรด้วยราศีสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดส่วนเจียงเฟิ่งหัววันนี้สวมเสื้อคลุมเนื้อบางสีม่วงอ่อน ข้างในสวมเกาะอกและกระโปรงร้อยจีบสีฟ้าเทา ไหล่กลึงเกลาดุจแกะสลัก เอวอ้อนแอ้นอรชร ลำคอของนางเรียวยาว ผิวพรรณขาวพิสุทธิ์เกลี้ยงเกลา บุคลิกภาพดุจกล้วยไม้ในหุบเขา การแต่งกายแต่ละแบบสามารถขับเน้นเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำกันของนาง ผมทรงมวยเมฆาในวันนี้ยิ่งขับเน้นความสุภาพเรียบร้อย แลดูทั้งสง่างามและหรูหรา นางแต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เดินตรงมาทางเขาด้วยฝีเท้าแช่มช้า“หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง” น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน ต่างจากท่าทางปล่อยตัวตามสบายเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนเมื่อคืนนี้ลิบลับ กิริยาที่นางแสดงออกก็คือมาดของชายาอ๋องเซี่ยซางใจสั่นระรัว หันหน้ามากล่าวเสียงเย็นชา “ตามธรรมเนียมแล้ว วันนี้ข้าจะต้องพาเจ้าเข้าวังไปคารวะขอบพระทัย ถ้าเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!”“เพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวไ
ภายในตำหนักคุนหนิง วังหมัวมัวรายงานเรื่องที่พวกเขายังไม่ได้ร่วมหอกันต่อเฉิงฮองเฮา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอก ฮองเฮาก็ทราบแล้วเช่นกัน ไม่ว่าเจียงเฟิ่งหัวทำได้อย่างไร สุดท้ายนางก็รักษาเกียรติของตนเองเอาไว้ได้เฉิงฮองเฮาเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเจียงเฟิ่งหัวเป็นคนมีความสามารถ การร่วมหอย่อมเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว จากที่เห็นวันนี้ นับว่าข้าเลือกชายาที่ดีคนหนึ่งให้ซางเอ๋อร์แล้วสินะ”“ท่านอ๋องเดี๋ยวประคองขึ้นเดี๋ยวประคองลง คิดว่าคงโปรดพระชายาเป็นแน่เพคะ” สี่หมัวมัวเอ่ยมาอีกว่า “องค์หญิงเก้าช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว มาถึงหน้าประตูตำหนักแล้วแท้ๆ ก็ยังไม่เข้ามาคารวะทักทายฮองเฮา ไม่รู้จริงๆ ว่ากุ้ยเฟยสั่งสอนอย่างไร”“ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องได้รับบทเรียนแน่” เฉิงฮองเฮารังเกียจเซี่ยหลิงเอ๋อร์ด้วยเช่นกันสี่หมัวมัวยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น “ตั้งแต่กำหนดเรื่องมงคลของท่านอ๋อง กุ้ยเฟยก็ไปร้องไห้ต่อหน้าฝ่าบาทมาแล้วหนหนึ่ง บอกว่าคุณหนูซูกับท่านอ๋องของพวกเราชอบพอกัน ต้องการขอพระเมตตาให้คุณหนูซู สุดท้ายฝ่าบาทปฏิเสธกุ้ยเฟยไปโดยอ้างว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ยามนั้นสีหน้าปั้นยากยิ่งนัก
ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวเอ่ยเนิบช้าว่า “หม่อมฉันได้ยินท่านพ่อชื่นชมท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กแล้วว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ เฉลียวฉลาดมากความสามารถมาตั้งแต่ยังเยาว์ เคยเข้าไปประลองกับบัณฑิตมากมายในสำนักศึกษาหลวงจนสร้างชื่อได้ในคราวเดียว ต่อมา เผ่าหูรวบรวมไพร่พลสามแสนมาโจมตีต้าโจว กองทัพศัตรูรุดหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ เมืองต่างๆ ของต้าโจวถูกตีแตกเมืองแล้วเมืองเล่า เหิงอ๋องในวัยเพียงสิบห้าปีนำกำลังคนสิบกว่าคนบุกเข้าค่ายทหารของศัตรูไปจับเป็นผู้นำทัพศัตรู เผ่าหูถอนทัพ ครานั้นท่านอ๋องคว้าชัยชนะมาให้ต้าโจวได้อย่างงดงาม ท่านอ๋องห้าวหาญเพียงนี้ นับว่าเป็นความชอบที่เสด็จแม่ทุ่มเทสั่งสอนมาเช่นกันเพคะ”กล่าวถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ในอดีตของเซี่ยซาง ดวงตาเฉิงฮองเฮาทอประกายภาคภูมิใจ แต่ครั้นคิดถึงว่าบุตรชายมีความสามารถโดดเด่นปานนี้แต่กลับไม่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่อยู่ ซางเอ๋อร์ไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้เป็นเพราะผลกระทบจากตนเองทั้งสิ้นดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเจียงเฟิ่งหัวฉายแววกังขา “เสด็จแม่เป็นอะไรไปเพคะ?”“ยามนี้หัวใจทั้งดวงของซางเอ๋อร์อยู่ที่สตรีนางนั้น ข้าเองก็ปวดหัวเหมือนกัน” ฮองเฮ
อีกด้านหนึ่ง ฮองเฮาขอตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงมาให้เหิงอ๋องได้จริงๆ นางกำลังดีใจอยู่ก็ได้ยินฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “อายุน้อยดีแบบนี้เอง ไร้ทุกข์ไร้โศก กล้าหาญมิพรั่น อยากได้ตำแหน่งก็ไม่มาขอด้วยตนเอง”ฮองเฮารีบร้อนอธิบาย “ความจริงซางเอ๋อร์มีใจแสวงหาความก้าวหน้ามากนะเพคะ ตอนที่เขายังเล็กก็...”ฮ่องเต้วางฎีกาในมือลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง “เพราถูกเจ้าตามใจจนเสียคนน่ะสิ เขาถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ ถ้าเขามีใจแสวงหาความก้าวหน้าจริงก็คงไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องสตรี อยู่ว่างทั้งวี่วัน ต่อให้ยกตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวงให้เขา เขาจะทำได้ดีงั้นรึ?”สีหน้าฮองเฮาบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว เล็บจิกเข้าเนื้อก็ไม่รู้สึกเจ็บ นางพลันเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ “ฝ่าบาทจะลำเอียงก็ไม่ต้องลำเอียงถึงขนาดนี้ก็ได้กระมัง หากฝ่าบาทมีใจยุติธรรมสักนิด ปฏิบัติกับเขาเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่น เขาจะอยู่ว่างทั้งวี่วันเช่นนี้หรือเพคะ? มีวาจาประโยคไหนของฝ่าบาทที่ไม่ดูถูกดูแคลนเขา ตอนยังเล็กเขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดถึงปานนั้น...”ฮองเฮาพูดพลางรำลึกถึงความสำเร็จที่แสนยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเยาว์วัยของเซี่ยซาง ล้วนแต่เป็
เจียงเฟิ่งหัวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นางจ้องมองใบหน้าของเซี่ยซางอย่างอึ้งๆ ใบหน้ายังคงเย็นชาแข็งทื่อดุจน้ำแข็ง การกระทำยิ่งหยาบกระด้าง เขาวางนางลงบนตั่งนุ่มโดยไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด “ก่อนที่หมอหลวงจะมา ข้าจะตรวจให้เจ้าก่อนว่าบาดเจ็บถึงกระดูกหรือไม่”“ท่านอ๋องทำเป็นหรือเพคะ?” ดวงตาคู่งามของเจียงเฟิ่งหัวทอประกายวาบเซี่ยซางไม่อยากอธิบายว่านั่นเป็นทักษะพื้นฐานที่คนในกองทัพต้องมี น่าเสียดายที่เขาไม่อาจเข้าสู่สมรภูมิอีกแล้ว เสด็จพ่อรังเกียจตนเอง ยามนี้ก็ทอดทิ้งเขาไปแล้วเซี่ยซางเปิดชายกระโปรงของนางขึ้นด้วยตนเอง ถอดถุงเท้าออก เห็นเท้างามเกลี้ยงเกลาของนางแดงเถือก บริเวณข้อเท้าบวมนูน ปลายนิ้วเขากดลงเบาๆ เจียงเฟิ่งหัวก็เจ็บปวดจนน้ำตาหลั่งรินลงมาเซี่ยซางเห็นคนงามที่ดวงตาปริ่มน้ำกัดผ้าเช็ดหน้าไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาตรงหน้าก็พูดว่า “เจ็บก็ร้องออกมาเถอะ ร้องออกมาแล้วก็จะดีขึ้นบ้าง”เจียงเฟิ่งหัวน้ำตาไหลไม่หยุด ดวงตาปิดแน่น ส่ายหัวน้อยๆ เนื่องจากเจ็บปวดสุดทานทน นางถึงขั้นเริ่มกัดหลังมือของตัวเองเซี่ยซางไม่เคยเห็นสตรีที่กลัวเจ็บเพียงนี้มาก่อน เขายังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ ประเดี๋ยวตอนประคบเย็นจะยิ่งเ
กว่าจะประคบเสร็จไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ข้อเท้าของเจียงเฟิ่งหัวค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด ไม่บวมมากเหมือนเดิมแล้วเจียงเฟิ่งหัวราวกับเจ็บปวดจนเจียนสลบ ซบลงในอกเขาด้วยสติเลือนราง ยามนั้นบนหน้าผากและหว่างคิ้วของนางมีหยดเหงื่อเกาะพราว ร่างกายก็เหมือนจะเหงื่อออกจนเปียกชื้น ลักษณะเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวชวนให้คนสงสารลูกกระเดือกของเซี่ยซางขยับขึ้นลง หัวใจเต้นรัวแรง เจียงเฟิ่งหัวขยับยุกยิกในอ้อมอกเขาอย่างไม่ยอมอยู่นิ่ง โชคดีที่ในตำหนักมีพวกเขาเพียงสองคน มิฉะนั้นหากปล่อยให้นางกำนัลกับขันทีมาเห็นพวกเขาในสภาพนี้คงได้เข้าใจผิดว่าทั้งคู่เพิ่งกระทำเรื่องที่พบพานผู้คนไม่ได้มาเป็นแน่แท้นอกตำหนัก เฉิงฮองเฮาให้หมอหลวงทิ้งยาแก้ฟกช้ำไว้ให้ก็บอกให้เขาจากไปริมฝีปากนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ทำให้คนไม่อยากเข้าไปรบกวนในตำหนักสี่หมัวมัวเอ่ยข้างหูนาง “บ่าวไม่เคยเห็นท่านอ๋องมีน้ำอดน้ำทนเพียงนี้มาก่อนเลยเพคะ ถ้าพระชายาได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็เป็นการช่วยคลายความกังวลให้ฮองเฮาได้พอดี บุตรีสกุลซูผู้นั้น...”“ซางเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับความรู้สึก เขาไม่มีทางทอดทิ้งซูถิงหว่านเพื่อเจียงเฟิ่งหัว ตอนนี้คงต้องดูว่าซางเ
เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้คิดถึงขั้นนี้ นางก็เพียงแค่กังวลเรื่องจางอวี่มั่วเท่านั้น นางไม่อยากให้ชีวิตคนคนหนึ่งต้องดับสลายไปแบบนี้ ยิ่งไม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นนางจึงคิดว่านางต้องทำอะไรบ้าง เพื่อช่วยพวกเขานางกล่าว “เดิมทีหม่อมฉันคิดไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า รอพี่ใหญ่กลับมา หม่อมฉันก็จะสร้างโอกาสให้เขากับจางอวี่มั่ว แต่ตอนนี้กลับมีซางอวี๋เพียนเพียนโผล่มาอีก”“นางคือองค์หญิงรัชทายาทแห่งแคว้นเจาซีนะ หากนางไม่ได้ครอบครองชายที่นางหมายปองจะเกิดผลร้ายอะไรตามมา” เซี่ยซางเตือนสตินาง “แคว้นเจาซีกับอาณาจักรต้าโจวเพิ่งตกลงเงื่อนไขในการร่วมมือกัน จะทำลายสนธิสัญญานี้เพราะเรื่องความรักของพี่ใหญ่เจ้าไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องจัดการให้ดี”เจียงเฟิ่งหัวยิ่งไม่สบายใจ นางคิดว่าตัวเองวางกลยุทธ์ไว้เป็นอย่างนี้ แม้แต่เซี่ยซางก็ยังอยู่ในกำมือนาง แต่ว่าเรื่องบางเรื่องอยู่นอกเหนือการควบคุมของนางเจียงจิ่นเหยียนยังนำข่าวดีกลับมาบอกเซี่ยซางอีกด้วย สิ่งของที่หายไปจากสุสานหลวงแห่งอาณาจักรต้าโจวได้คืนมาครบแล้ว แม้แต่ตราสั่งการกองทัพตัวต้นฉบับของอาณาจักรต้าโจวก็หาพบแล้ว เคร
สองเดือนผ่านไป เจียงจิ่นเหยียนกลับมาแล้ว และยังมีซางอวี๋เพียนเพียนกลับมากับเขาด้วย เจียงเฟิ่งหัวได้เห็นนางอีกครั้งก็ตะลึงงันทันที นางมิใช่องค์หญิงแคว้นเจาซีหรอกหรือ?ราชทูตแคว้นเจาซีกลับแคว้นไปหมดแล้ว เหตุใดนางจึงยังอยู่ที่นี่ กลับมากับพี่ใหญ่ได้อย่างไรนางจำได้ว่าชาติที่แล้วซางอวี๋เพียนเพียนกับพี่ใหญ่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันเลย นางจะได้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งแคว้นเจาซี สิบกว่าปีหลังจากนั้นอาณาจักรต้าโจวกับแคว้นเจาซียังถึงขั้นกระทบกระทั่งกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซางอวี๋เพียนเพียนไม่ได้เจรจาได้ด้วยง่าย ๆ แบบจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันเลย นางบอกว่าจะรบ นั่นก็คือจะรบหรือว่านางถูกตาต้องใจพี่ใหญ่ อยากพาพี่ใหญ่ไปเป็นพระราชสวามีที่แคว้นเจาซี หากเป็นเช่นนี้ จางอวี่มั่วรักเขามาตั้งหลายปีขนาดนี้ รอเขามานานขนาดนี้ จะทำอย่างไรกันเล่า หรือว่าจางอวี่มั่วจะยังคงได้แต่รักแต่ไม่ได้ครอบครอง ถึงกับไปสู่ชะตากรรมที่กระโดดลงแม่น้ำเพื่อจบชีวิตตัวเองเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงเวลาที่จางอวี่มั่วจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายแล้ว นางจำได้ว่าตอนที่นางจากไป หิมะและน้ำแข็งปกคลุมพื้นผิวทะเลสาบทั้งหมด ร่างของนางจม
เจียงเฟิ่งหัวเข้าอกเข้าใจอย่างถึงที่สุด นางรู้สึกเศร้าโศกยิ่งนัก สตรีที่มีชะตาชีวิตเหมือนหูเจียวเหนียง แม้แต่งงานไปแล้ว แต่ชีวิตก็มิได้สุขสบาย บัดนี้ยังต้องเลี้ยงดูบุตรอีกสามชีวิต เกรงจะยิ่งลำบากมากกว่าเก่า แต่กระนั้นนางก็ยังมิอาจตัดใจทอดทิ้งลูก ๆ ของตนเองได้ “ท่านอ๋อง” เจียงเฟิ่งหัวจ้องมองเซี่ยซาง “ต่อจากนี้ท่านอ๋องอย่าซื้ออาภรณ์แพรพรรณเครื่องประดับศีรษะใด ๆ ให้หม่อมฉันอีกเลย หม่อมฉันจะบอกพี่หญิงรองของหม่อมฉันด้วยว่ามิต้องส่งสิ่งของเหล่านี้มาให้หม่อมฉันแล้ว เปลี่ยนทั้งหมดเป็นเงินแล้วส่งมาจุนเจือพวกนางดีกว่าเพคะ” “เด็กโง่ หากทุกคนคิดเช่นนี้ พวกนางจะยิ่งมีชีวิตลำบากขึ้นนะ” เซี่ยซางรู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะทางการไร้ความสามารถ ราชสำนักไร้ประสิทธิภาพ จึงทำให้คนในแผ่นดินจำนวนมากมายถึงเพียงนี้มิอาจมีชีวิตต่อไปได้ หากว่าทุกคนมีข้าวกิน ใครเล่าจะพาเด็กเหล่านี้มาทิ้ง หากบุรุษรู้จักให้เกียรติภรรยา ก็จะไม่ปล่อยให้หูเจียวเหนียงถูกครอบครัวทารุณ ถูกแม่สามีใจร้ายรังแกแบบนั้น หากว่าคนสารเลวแบบหยางจิ้งลดลง ก็จะไม่มีสตรีถูกข่มเหงย่ำยีศักดิ์ศรีแล้ว เขาในฐานะท่านอ๋อง จะต้องไม่หยุดเพียงแค่คลี่ค
ณ สำนักหลิงอวิ๋น เมื่อเจียงเฟิ่งหัวปรากฏตัวที่สำนักหลิงอวิ๋นด้วยชุดบุรุษแล้ว ถานหว่านชิงถึงกับผงะไป นางมาอยู่ที่นี่กับเหิงอ๋องได้อย่างไร เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเพิ่งจะส่งข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานจะได้พบนางเร็ว ๆ นี้ คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เซี่ยซางเห็นถานหว่านชิงอ้าปากเหวอจ้องเจียงเฟิ่งหัวตาไม่กะพริบก็ถามว่า “เจ้าสำนักถานรู้จักหรือ” ถานหว่านชิงตอบตะกุกตะกัก “ชายผู้นี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก พวกเราใช่เคยพบกันที่ใดสักที่หนึ่งหรือไม่” เจียงเฟิ่งหัวอยากจะกลอกตาใส่ ถานหว่านชิงเจ้าคนผู้นี้กำลังจะเล่นละครอีกแล้ว นางเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า “ข้าไม่รู้จักท่าน” ถานหว่านชิงยื่นมือออกไปคลำลำคอของเจียงเฟิ่งหัวเพื่อตรวจสอบลูกกระเดือก จากนั้นก็มองไปที่รูเจาะหูของนาง “เจ้าเป็นสตรี เช่นนั้นพวกเราจะต้องเคยพบกันมาก่อนแน่” เจียงเฟิ่งหัวหลบไปอยู่ด้านหลังเซี่ยซาง “คนที่ท่านอ๋องพามาพบหม่อมฉันคือใครหรือเพคะ ไฉนมือเท้าจึงอยู่ไม่สุขนัก หม่อมฉันไม่รู้จักนาง” ใบหน้าของเซี่ยซางฉายประกายสงสัย “เจ้าสำนักถานเคยพบพระชายาของข้าที่ใดหรือ?” ถานหว่านชิงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียมารยาทไปแล้ว “ที่แท้ก็เป็นพระชายาเหิงอ๋อง หว่า
“เสด็จพ่อพระราชทานสมรสแล้ว เจ้ายังจุกจิกเรื่องความประพฤติของข้าอีกหรือ” เจียงเฟิ่งหัวรีบยกมือปิดปาก รู้ตัวว่าเผลอพลั้งปากพูดสิ่งที่มิควรออกไปแล้ว จึงพูดตะกุกตะกักออกมา “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ” เซี่ยซางกลับมิได้ถือสานาง ถึงอย่างไรราชครูเจียงก็เป็นอาจารย์ผู้ซึ่งมีหน้าที่ให้ความรู้อบรมคนอยู่แล้ว สกุลเจียงก็เป็นตระกูลที่สูงส่งด้วยคุณธรรมและความบริสุทธิ์ แม้ฮ่องเต้จะพระราชทานพิธีสมรสให้แล้ว ก็ใช่ว่าเจียงหวยจะไม่จำเป็นต้องพินิจพิจารณาแล้วว่าว่าที่บุตรเขยของตนเป็นคนอย่างไร คุณธรรมความประพฤติเป็นอย่างไร นั่นคือเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว เขาจงใจหยอกเย้านางมากกว่า “หากข้าคุณธรรมความประพฤติไม่ดีขึ้นมา เจ้าจะทำเช่นไรหรือ?” เจียงเฟิ่งหัวไม่หลงกลคำพูดของเขา จึงถามกลับว่า “ไฉนคุณธรรมความประพฤติของท่านอ๋องจึงไม่ดีเพคะ?” เซี่ยซางถูกนางถามก็สะอึกไป คุณธรรมความประพฤติจะดีหรือไม่ดีนั้นขอบเขตเป็นเช่นไรหรือ เขาไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นคนดี แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนชั่วร้ายหรอกกระมัง “ภายในใจของหม่อมฉัน ท่านอ๋องมีคุณธรรมและความประพฤติเป็นเลิศ เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ของประชาชน ท่านพ่อบอกเสมอว่าคนที่สามารถ
เซี่ยซางเอ่ยขึ้น “โชคดียิ่งนักที่มีเจ้า มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจัดการกับบาดแผลนี้อย่างไรดี เจ้าก็รู้ ว่าเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บจะให้วังหมัวมัวและพ่อบ้านเฉิงรู้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วเรื่องต้องไปถึงหูเสด็จแม่แน่” มิใช่ว่ายังมีหลินเฟิงอีกคนที่ช่วยเขาทายาได้หรอกหรือ? ที่เซี่ยซางจะขอบคุณคงมิใช่แค่เรื่องนี้หรอกกระมัง ดูท่าเขายังเหลือช่องว่างให้ตนเองอยู่อย่างนั้นสินะ! นางจึงกล่าวว่า “หม่อมฉันเป็นภรรยาของท่านอ๋อง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องในความรับผิดชอบของหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวอาบน้ำให้เขาอย่างละเอียดลออ เลี่ยงบริเวณที่เป็นแผล ส่วนอื่นที่เหลือให้นางจัดการจนเรียบร้อยทั้งหมด นางอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า เจ้าบาดเจ็บแค่บริเวณแผ่นหลัง ใช่ว่ามือจะได้รับบาดเจ็บอะไร ส่วนล่างของตนเองก็น่าจะจัดการเองได้มิใช่หรือ! เซี่ยซางเห็นนางหน้าแดงไปถึงใบหู มองเห็นความกระอักกระอ่วนของนางจึงเอ่ยว่า “นานเพียงนี้แล้ว เจ้ายังหน้าแดงอีกหรือ ใช่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน” นางเอ่ยสวนทันควัน “วิญญูชนพึงแต่งกายให้เรียบร้อย แววตาน่าเกรงขาม ผู้คนมองแล้วจึงรู้สึกเคารพยำเกรง…” “เจ้าคาดหวัง
หลังจากเซี่ยซางออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวก็ได้ตรวจสอบสมุดบัญชีของจวนอ๋อง ผ่านไปหนึ่งวันเต็มแล้ว นางก็ยังตรวจสอบไม่หมด พอได้เข้าใจถึงจำนวนอันมากมายมหาศาลของทรัพย์สินส่วนตัวในจวนเหิงอ๋องแล้วคร่าว ๆ ทำให้นางถึงกับตะลึงงันตาค้าง แม้ว่านางจะวางแผนสิบปี หาทรัพย์สินเงินทองให้สกุลเจียงมาแล้วไม่น้อย จนเรียกว่าร่ำรวยได้แล้วก็ตาม ทว่ามันก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในหมื่นส่วนของจวนเหิงอ๋องด้วยซ้ำ สมบัติของสกุลเจียงในตอนนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาใช้สองมือสองเท้าของตัวเองหามาด้วยความยากลำบาก ขณะที่ทรัพย์สมบัติของเซี่ยซางกลับเป็นสิ่งที่ราชสำนักจัดสรรให้มาอย่างง่ายดาย บางคนเกิดมาก็คาบช้อนเงินช้อนทองอยู่ในปากแล้ว ไม่เหมือนกับนางแม้จะมีชีวิตอีกกี่สิบปีก็เรียกได้แค่ว่าพอร่ำรวยบ้างเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเกิดมามีต้นทุนถึงได้สำคัญมาก นางพลิกดูสมุดบัญชีเล่มก่อนหน้าของจวนอ๋องอีกครั้ง ก็พบว่าเซี่ยซางเคยใช้เงินไปไม่น้อยกับซูถิงหว่านจริง ๆ นางพึมพำกับตนเอง “ซูถิงหว่านรักเซี่ยซางจริงหรือเปล่านะ? หากว่าเขามิได้ใช้จ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้เพื่อนางแล้ว หรือหากว่าเขาเป็นแค่ปัญญาชนยากจนคนหนึ่ง ซูถิงหว่านยังจะรักเขาเหมื
เซี่ยซางสั่งให้นางกำนัลไปนำตัวซูถิงหว่านมา จากนั้นเขาก็หันไปเอ่ยกับเจียงเฟิ่งหัว “ส่วนเรื่องซูถิงหว่าน แม้นางจะทำความผิด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกลับจวนไปพร้อมกับข้า” อย่างไรเสียนางก็เป็นพระชายารองของเหิงอ๋อง ฮองเฮาจะตบตีหรือจะลงโทษก็เป็นเรื่องของฮองเฮา เฉิงฮองเฮาเพียงเห็นนางแล้วก็ขุ่นเคืองพระทัยขึ้นมาแล้ว และไม่เคยคิดอยากจะรั้งให้นางอยู่ข้างกายให้เกะกะรำคาญตา สุดท้ายซูถิงหว่านก็ต้องกลับจวนเหิงอ๋อง เจียงเฟิ่งหัวก็ไม่มีเหตุผลจะต้องคัดค้าน กระทั่งได้พบซูถิงหว่าน นางทำให้ทั้งร่างกายของตนเองเต็มไปด้วยบาดแผล ท่าทางน่าสงสารจับใจ ทว่านั่นกลับทำให้เจียงเฟิ่งหัวได้เห็นโลกกว้างขึ้น แค่ไปพบซูกุ้ยเฟยเพียงครั้งเดียวสมองถึงกับตื่นรู้เลยหรือ ก็เห็นนางคุกเข่าลงต่อเบื้องหน้าเซี่ยซางและเจียงเฟิ่งหัวอย่างนอบน้อมยำเกรงและเอ่ยว่า “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” เซี่ยซางตัวแข็งทื่อไปนัยน์ตาสะท้อนประกายเวทนาสงสารออกมา ทว่าเมื่อหวนคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่นางทำลงไป เขาก็พยายามทำเย็นชากับนาง “ลุกขึ้นมาเถิด! กลับจวนกับข้า กลับถึงจวนแล้วจะต้องรู้สำรวมกิริยาวาจา” “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หลังจากนี้จะเชื่อฟั
ซูชิงชิงโกรธจนเจ็บแปลบที่หน้าอก “เจ้าเพิ่งมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ว่าตกหลุมพรางของคนอื่น ตอนนั้นมัวทำอะไรอยู่ น่าโมโหเสียจริง” “ท่านป้าแต่บัดนี้ข้าก็รู้ตัวแล้วนี่เจ้าคะ” นางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องให้ฟังอีกครั้ง ซูกุ้ยเฟยก็กล่าวขึ้น “อวิ๋นฟางบอกให้เจ้าทำเช่นนั้นหรือ? นังแพศยา ข้ายังเผลอคิดไปว่านางพอช่วยเจ้าได้ ที่ไหนได้นางกลับได้เสวยสุข ปล่อยเคราะห์กรรมให้เจ้ารับผิดชอบคนเดียว” “ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นฟางกูกูเจ้าค่ะ นางช่วยเหลือข้ามาตลอด เป็นเจียงเฟิ่งหัวต่างหาก นางจงใจล่อลวงข้า ตอนนั้นข้าหุนหันพลันแล่นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบก็เลยสวมรอยใช้ชื่อของนางไปจับจ่ายซื้อของมาเล็กน้อย” ซูถิงหว่านยังเชื่อใจอวิ๋นฟางมาก ถึงอย่างไรอวิ๋นฟางก็คอยช่วยนางเล่นงานเจียงเฟิ่งหัวมาตลอด มิหนำซ้ำยังสอนนางอีกว่าควรผูกมัดใจเซี่ยซางอย่างไร “ของที่เจ้าซื้อมามีเพียงของเจ้าคนเดียวหรือ อาภรณ์แพรพรรณเครื่องประดับใด ๆ เป็นของเจ้าคนเดียวหรือ แล้วทุกครั้งที่เจ้าไปที่โรงเตี๊ยม ลำพังตัวเจ้าคนเดียวจะกินเข้าไปได้สักเท่าใดกันเชียว” ซูถิงหว่านเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “อวิ๋นฟางเองก็เพราะว่าถูกใจ ฉะนั้น…นางก็เลยซื้อด้วยเหมือนกั