โคมไฟสีแดงแต่งแต้มอยู่ทั่วทั้งจวนเจิ้นโหว ส่องสว่างไปทั่วทั้งลานกว้างย้อมบรรยากาศยามค่ำคืนให้เปล่งประกายดุจต้องแสงตะวันยามค่ำคืน ดอกไม้และแพรพรรณสีมงคลห้อยระย้าตามมุมเสา ผ้าไหมสีแดงปักดิ้นทองทอดยาวไปตามเส้นทาง เสริมให้ค่ำคืนนี้สมกับเป็นงานมงคลของสองตระกูลใหญ่แห่งต้าหยาง
แขกเหรื่อจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เสียงหัวเราะล่องลอยไปพร้อมกับเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อม นางรำแต่งกายในชุดงามระยับขยับกายอย่างอ่อนช้อยกลางลาน สร้างความรื่นเริงให้แก่ผู้มาเยือน
อาหารโอชะที่ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว รวมถึงสุราดีรสเลิศที่ถูกสาวใช้ปรนนิบัติให้เติมเต็มอยู่ในจอกของเหล่าขุนนางและบุคคลสำคัญ
บรรยากาศภายในจวนอันโอ่อ่าเต็มไปด้วยความชื่นมื่น หากแต่นอกเหนือจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้นแล้ว ยังมีเรือนหอหลังหนึ่งที่เงียบสงัดราวกับตัดขาดจากเสียงอึกทึกภายนอก
วันนี้คือวันแต่งงานของ ‘เหยียนซือเหยียน’ คุณหนูสามบุตรสาวของท่านเสนาบดีเหยียนกับ ‘ท่านโหวไป๋จิ้งหาน’ ผู้ได้รับฉายา ‘เจิ้นโหวผู้พิทักษ์แผ่นดิน’ และนี่คือการแต่งงานครั้งที่สองของพวกเขา
ไยจึงกล่าวเช่นนั้นน่ะหรือ?
เพราะว่าเหยียนซือเหยียนเคยผ่านการแต่งงานกับไป๋จิ้งหานมาแล้วชาติหนึ่ง และในชาติที่แล้วนางก็เคยใช้ชีวิตโดยการวิ่งตามเงาของบุรุษผู้นี้มาตลอดอย่างซื่อสัตย์และมั่นคง
ทว่าสุดท้าย... สิ่งที่ได้รับกลับคืนคือ ยาพิษ ที่เขาใช้สังหารนาง
แต่ชะตาฟ้ากลับกลั่นแกล้งหลังความตายมาพรากจากในชาติก่อน บัดนี้สวรรค์ก็ให้นางย้อนเวลากลับมาในอดีตอีกครั้ง และยังกลังมาก่อนวันสมรสไม่กี่วัน ย่อมไม่ทันที่นางจะปฏิเสธสมรสพระราชทานในครานี้
ดังนั้นนางจึงจำใจต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นโหวเป็นฮูหยินเจิ้นโหวอีกหนึ่งชาติ
เหยียนซือเหยียนเป็นคุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดีเหยียน ทั้งยังเป็นบุตรสาวสายตรงของฮูหยินใหญ่ ซึ่งเป็นพระญาติของไทเฮาองค์ปัจจุบัน ดังนั้นนางจึงมีนิสัยเอาแต่ใจยิ่งนัก อยากได้สิ่งใดนางล้วนต้องได้มา
ส่วนไป๋จิ้งหาน สมญานามเจิ้นโหว เป็นแม่ทัพไร้พ่ายผู้ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท เขาคือบุรุษในตระกูลแม่ทัพที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับฮ่องเต้หยวนตี้ และเป็นผู้มีความสำคัญต่อแผ่นดิน
ชาติที่แล้วเหยียนซือเหยียนตกหลุมรักไป๋จิ้งหานจนหมดหัวใจตั้งแต่ยังเด็ก กระทั่งถึงวัยออกเรือน นางถึงกับขอให้มารดาเข้าวังไปกราบทูลขอสมรสพระราชทานจากไทเฮาผู้ทรงเป็นเสด็จป้า แม้ว่าไป๋จิ้งหานคนนั้นจะเกลียดคนสกุลเหยียนเข้าไส้ก็ตาม
เหตุใดเขาจึงเกลียดสกุลเหยียน?
เพราะว่าในสงครามเมื่อสิบปีก่อน ท่านเสนาบดีเหยียน บิดาของนาง ส่งกองกำลังไปช่วยแม่ทัพไป๋ล่าช้าเกินไป จนทำให้แม่ทัพไป๋แตกทัพและได้รับบาดเจ็บสาหัส ท้ายที่สุดก็สิ้นใจไปต่อหน้าไป๋จิ้งหานบุตรชายของแม่ทัพไป๋ที่ร่วมออกศึกกับบิดา
แม่ทัพไป๋ผู้นั้นมีบุตรชายสามคน ไป๋จิ้งหานเป็นคนโตและห้าวหาญที่สุด การที่ได้เห็นบิดาตายต่อหน้าต่อตาทำให้เขาแค้นสกุลเหยียนเป็นอย่างมาก
นับแต่นั้นมา สกุลไป๋และสกุลเหยียนก็ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าฝ่าบาทจะตรัสว่า “เสนาบดีเหยียนมีเหตุผลอันสมควรที่ทำให้ทัพไปสมทบล่าช้า” และไม่อาจกล่าวโทษเขาได้ แต่ไป๋จิ้งหานที่สูญเสียบิดาไปต่อหน้าต่อตาไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้!
เขาถึงกลับเคยเอ่ยต่อฝ่าบาทว่า
“ฝ่าบาททรงคิดจะบีบบังคับกระหม่อมจริง ๆ หรือ”
อย่างไรเสียฝ่าบาทกับไป๋จิ้งหานก็เป็นสหายที่ร่ำเรียนมาด้วยกัน ทั้งในยามที่ไป๋จิ้งหานสูญเสียบิดานั้นฝ่าบาทหยวนตี้ที่อยู่ฐานะองค์ชายผู้หนึ่งยังได้ร่วมออกรบและอยู่ในเหตุการณ์นั้นดัวย ดังนั้นจึงทรงรู้ว่าไป๋จิ้งหานเกลียดคนสกุลเหยียนมากเพียงใด
“การสมรสของเจ้าล้วนเกี่ยวพันกับบ้านเมือง บัดนี้สกุลเหยียนและไป๋ อันเป็นสกุลขุนนางหลักในราชสำนักผู้ใดก็ล้วนรู้ว่าขัดแย้งกัน ดังนั้นสมรสครานี้ของพวกเจ้าจำเป็นยิ่งนัก อาหานเจ้าก็รู้ว่าเราเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้”
ไป๋จิ้งหานย่อมรู้ถึงความทุกข์ใจของฝ่าบาท ถึงเขาจะยอมรับแต่ก็ยังมีเงื่อนไข
“เช่นนั้นกระหม่อมจะแต่งกับนาง ทว่าหลังจากครบสามปีที่ไทเฮาต้องการแล้ว อย่างไรกระหม่อมก็จะหย่า”
“ได้ หากว่าเจ้าหาเหตุผลดี ๆ ได้ ข้าก็จะอนุญาตให้หย่า ทว่านับจากนี้ไปเจ้าก็ต้องอดทนไปก่อน อาหานข้ารู้ว่าเจ้าเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัวและเจ้าก็เข้าใจข้าใช่หรือไม่”
ไป๋จิ้งหานกัดฟันเอ่ยว่า
“กระหม่อมจะทำสุดความสามารถที่จะอยู่ร่วมกับนางพ่ะย่ะค่ะ”
ในค่ำคืนมงคลนี้ เหยียนซือเหยียน ซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยันตนเองไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้า นางรู้สึกสงบและไม่ตื่นเต้นอันใดกับการแต่งงานครั้งนี้
หากเป็นชาติที่แล้ว เวลานี้นางคงตื่นเต้นและรอคอยการเข้ามาในเรือนหอของเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... หลังจากงานแต่งงานในครานั้น เหยียนซือเหยียนก็ได้ละทิ้งตัวตนของตนเองทั้งหมดเพื่อเขา
นางฝืนทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ แสร้งทำเป็นอ่อนหวาน ลอกเลียนแบบสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นนางในดวงใจของเขา
นางในดวงใจของไป๋จิ้งหานคือคุณหนูอี้ชิง หญิงสาวผู้ที่งดงามอ่อนหวาน เปี่ยมคุณธรรม ประดุจแม่ดอกบัวขาวในสายตาของทุกคน
ในชาติที่แล้ว หลังจากแต่งงานได้ไม่นานก็เกิดเหตุก่อกบฏขึ้นที่แดนเหนือ เขตแดนที่ไป๋จิ้งหานปกครองอยู่และสถานที่ซึ่งมีท่านย่าผู้ดูแคลนนางอยู่ที่นั่นพร้อมกับน้องชายของเขาที่ดำรงเจ้าเมืองหลงเซิงและแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือ
ทว่าถึงน้องชายคนสุดท้องจะเป็นแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือ ก็เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไม่นานการชำนาญในศึกย่อมไม่อาจเทียบเท่ากับไป๋จิ้งหาน
บิดามารดาของเหยียนซือเหยียนไม่ต้องการให้นางเดินทางไปด้วย เกรงว่าจะได้รับอันตรายท่านแม่สามีก็เห็นด้วยดังนั้นนางจึงรอเขาอยู่ที่เมืองหลวง
การไปครานั้นในชาติที่แล้ว นางเฝ้าส่งจดหมายถึงเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยตอบกลับมา นางจึงปลอบตนเองว่าเขาไปชายแดนสู้รบ จะมีเวลาสนใจจดหมายได้อย่างไร
ทว่าห้าเดือนให้หลังไป๋จิ้งหานก็กลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกับญาติผู้น้องนามอี้ชิงและท่านย่าของเขา
และเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของจริงก็ได้เริ่มต้นนับจากนั้น เพราะอี้ชิงเป็นดั่งสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของไป๋จิ้งหานโดยมีท่านย่าผู้นั้นคอยปกป้อง สตรีในดวงใจของเขาที่นางไม่อาจแตะต้องได้แม้เพียงปลายเล็บ
ต่อหน้าผู้อื่นเหยียนซือเหยียนคอยทำดีกับอี้ชิงเป็นพี่สะใภ้ที่เพียบพร้อมอ่อนหวาน ทว่าลับหลังเหยียนซือเหยียนกลับทำให้อี้ชิงได้รับความลำบากใจ เพราะนางหึงหวงไป๋จิ้งหานเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเหยียนซือเหยียนมักจะลงมือกลั่นแกล้งอี้ชิงลับหลังสามี ทำให้ไป๋ชิงหานยิ่งเกลียดนางมากขึ้น ทั้งยิ่งเย็นชาลงทุกวัน สุดท้ายเหยียนซือเหยียนก็กลายเป็นดอกบัวดำในสายตาของไป๋จิ้งหานอย่างสมบูรณ์
ท่านย่าของไป๋จิ้งหานก็ไม่ชอบเหยียนซือเหยียน สตรีชรานางนั้นยังเคยเอ่ยว่า ไป๋จิ้งหานต้องการจะหย่าขาดจากเหยียนซือเหยียนและรับอี้ชิงเข้ามาเป็นฮูหยินเหลือเกินแล้ว
เพียงแต่สมรสพระราชทานนี้ไม่อาจถูกยกเลิกได้จนกว่าเวลาจะผ่านไปสามปี
เงื่อนไขนี้เป็นไทเฮาที่กำหนดขึ้นมา และเบื้องหลังผู้กำหนดเงื่อนไขก็คือเหยียนซือเหยียนที่ไปคุกเข่าขอร้องฝ่าบาทและไทเฮาว่าขอไม่ให้นางและไป๋จิ้งหานหย่าขาดกันก่อนสามปี
เพราะเหยียนซือเหยียนรู้ว่าไป๋จิ้งหานไม่มีใจให้นาง ดังนั้นจึงได้คิดอย่างตื้นเขินว่าหากอยู่กินกันไปนานถึงสามปีแล้วอย่างไรเขาก็คงรักใคร่นางบ้าง และไม่คิดจะหย่าขาดอีก
ทว่าแท้ที่จริงแล้วเหยียนซือเหยียนกลับคิดผิดไป!
หลังจากสามปีผ่านมา ไป๋จิ้งหานก็ยังคงมิได้มีใจให้ เขายังปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา กระทั่งยังเคยถามนางว่า นางจะรอเขาไปจนถึงเมื่อใด ไยจึงไม่จากเขาไปเสีย
เหยียนซือเหยียนในชาติที่แล้วทั้งดื้อรั้นและคลั่งรักเหมือนคนเสียสติ ตอบเขาว่า ต่อให้ต้องตายนางก็จะไม่หย่าเด็ดขาดเพราะนางรักเขามากเหลือเกิน
ไป๋จิ้งหานกลับทำสีหน้าเอือมระอาเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ได้ ตามใจเจ้า”
เขาบอกว่าตามใจนาง อยู่ร่วมกันในจวนประดุจดั่งสามีภรรยา ทว่าคนผู้นั้นกลับทำเหมือนนางไร้ตัวตนในจวนของเขา
เขามิได้มีสตรีอื่นภายนอกที่คนมองก็ล้วนคิดว่าเขาเป็นสามีที่ดียิ่ง ด้วยคำสั่งแม่สามีพวกเขายังนอนในเรือนเดียวกันในห้องเดียวกัน ทว่ามีเพียงแต่นางที่รู้ว่าเขาเย็นชากับนางมากเพียงใดกระทั่งเขาได้ลอบจัดเตียงอีกหลังมาไว้ในเรือนเพื่อไม่ต้องนอนร่วมเตียงกับนาง
เรื่องเหล่านี้ล้วนมีเพียงนางและเขาเท่านั้นที่รู้
กระทั่งพวกเขาแต่งงานกันล่วงเลยมาจนเข้าสู่วันกลางคน สุดท้ายแล้ว...ความรักที่ดื้อรั้นของนางกลับจบลงด้วยความตายอันแสนปวดร้าว
เมื่อไม่อาจหย่ากันได้ สิบห้าปีต่อมาสุดท้ายแล้วไป๋จิ้งหานจึงตัดสินใจวางยาพิษเหยียนซือเหยียนจนสิ้นใจในที่สุด
ทว่าเขาก็คงไม่รู้ว่านางเองก็ได้ลอบวางยาพิษในสุราเพื่อสังหารเขาเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อเขาเกลียดนางนัก นางก็พร้อมยอมตาย ทว่าเขาเองก็ต้องตายไปพร้อมกับนางไม่มีทางให้เขาได้สมหวังกับแม่นางอี้ชิงผู้นั้นเด็ดขาด!
ค่ำคืนนั้น โศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้น ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า เจิ้นโหวผู้เก่งกาจและฮูหยินผู้งดงามโดดเด่นเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ประดุจดั่งคู่เซียนที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์สุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยการ วางยาพิษสังหารกันและกัน
กระทั่งในตอนนี้...เมื่อสวรรค์ให้โอกาสเหยียนซือเหยียนมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง นางจึงไม่ลังเลที่จะทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดในชาติที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือฝันนางล้วนไม่อยากให้เกิดซ้ำรอย
ในชาติที่แล้ว เขาส่งยาพิษให้นาง นางเองก็ตอบแทนเขาด้วยยาพิษสองคนร่วมดื่มสุราพิษจอกสุดท้าย ต่างคนต่างหยิบยื่นความตายให้แก่กัน ดังนั้นนางจึงคิดว่าทั้งเขาและนางย่อมไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกแล้ว
ทว่าแม้จะเกิดอีกครั้ง แต่สมรสพระราชทานยังคงเกิดขึ้นเช่นเดิมไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เหยียนซือเหยียนตั้งมั่นเอาไว้ก็คือ
ชาติใหม่นี้ นางจะไม่มีวันรักเขาอีก!
Comments