บทที่ 4 เริ่มเปิดศึกในจวนโหว
ยามเช้าตรู่วันต่อมา แสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องผ่านม่านโปร่งของ เรือนไป๋เหมย ที่ตั้งอยู่ใจกลางจวนโหว เรือนนี้เป็นที่พำนักของ ฮูหยินใหญ่หรง หรือ หรงเจิน ผู้เป็นมารดาของไป๋จิ้งหาน
ไป๋จิ้งหานได้รับคำสั่งให้มาพบมารดาตั่งแต่ลืมตาตื่นใจยามเช้า และเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนอันอบอุ่น เขาก็ได้พบกับเหยียนซือเหยียนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างมารดาของเขา
นางกำลังรินชาให้อย่างนุ่มนวล ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา แววตาเศร้าสร้อยและแดงเรื่อ ราวกับคนที่ผ่านค่ำคืนแห่งความทุกข์ระทมมาทั้งคืน
สีหน้าของนางในยามนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเย็นที่แผ่นหลังอย่างประหลาด ราวกับว่ากำลังมีเรื่องให้รำคาญใจรอเขาอยู่
หลังจากเขาคารวะมารดาเรียบร้อย ฮูหยินใหญ่หรงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิอย่างไม่รอช้า
“เช้าวันนี้ไม่มีผ้าหงปู้[1]ส่งมาจากเรือนหอของเจ้า แม่สอบถามลูกสะใภ้แล้วจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนลูกมิได้เข้าเรือนหอ บ่าวไพร่บอกแม่ว่าลูกไปนอนที่เรือนหนังสือ เจิ้นโหวไยเจ้าจึงได้ไม่รู้ความประพฤติตนเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าหากไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ พระนางสามารถเอาผิดกับจวนโหวได้”
ไป๋จิ้งหานกำลังจะอ้าปากตอบ เหยียนซือเหยียนกลับส่งเสียงสะอื้นกล่าวแทรกทั้งน้ำตา
“ท่านแม่เจ้าคะ...ลูกสะใภ้คงเป็นภรรยาที่ไม่ดีพอ ท่านโหวจึงไม่ต้องการข้า”
เสียงหวานสั่นเครือ เอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเบา ๆ
ไป๋จิ้งหานชะงักดวงตาคมกริบตวัดมองนางทันที ก่อนจะหันกลับไปสบตากับมารดา ที่ในเวลานี้สีหน้าของ ฮูหยินใหญ่หรง ยิ่งเคร่งขรึมลงและมองเขาด้วยนัยน์ตาเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋จิ้งหานกำมือแน่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาเล็กน้อยเมื่อกล่าวกับมารดา
“ท่านแม่ นางเป็นคนลงกลอนประตูเรือนหอเอง ข้าจึงเข้าไปไม่ได้ เรื่องนี้เป็นนางที่ผิดนะขอรับ”
เหยียนซือเหยียนปาดน้ำตาอย่างอ่อนหวานเสียงสะอื้นดังขึ้น กระทั่งมารดาของเขาต้องลูบหลังปลอบโยน ในขณะที่นางกล่าวว่า
“ท่านแม่เจ้าคะ... ท่านโหวอาจจะเมามายจนเลอะเลือน ลูกสะใภ้ไม่เคยลงกลอนเลย ข้าจะทำเช่นนั้นเพื่อสิ่งใดเจ้าคะ ท่านแม่ไม่เชื่อก็ถามบ่าวรับใช้ได้ ท่านโหวต้องการไปรับแขกหลอกล่อข้าจนออกจากเรือนหอได้ จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลยเจ้าค่ะ”
เหยียนซือเหยียนสะอื้นเบา ๆ แล้วซบลงกับแขนของหรงเจิน ดวงหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ฮูหยินใหญ่หรงหันไปมองเซียวยีบ่าวคนสนิทของเหยียนซือเหยียน นางก็รีบก้มหัวรับทันที
“เป็นความจริงเจ้าค่ะ คุณหนูของพวกเรามิได้ลงกลอนประตู บ่าวกับอาเหวินรอเปิดประตูให้ท่านโหวทั้งคืนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ้งหานกัดฟันแน่น มองบ่าวรับใช้พวกนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือก แน่นอนว่าพวกนางย่อมต้องเข้าข้างคุณหนูของตน แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้!
เมื่อคืนเขากลับมาช้ามาก ๆ ก็จริง แต่เขาก็ยังกลับเรือนหอด้วยคิดว่าอาจจะถูกท่านแม่ตำหนิ ผู้ใดจะคิดว่าเขาไม่เจอผู้ใดสักคนและยังไม่อาจเข้าเรือนหอของตนเองได้
เขาไม่ได้เอ่ยเรียกนางเพราะคิดว่านางคงนอนไปแล้ว จึงไปนอนที่เรือนหนังสือ คาดไม่ถึงว่านางจะวิ่งมาฟ้องมารดาของเขาตั้งแต่ไก่โห่เช่นนี้
เมื่อเขาไม่อาจแก้ต่างให้ตนเอง ผลลัพธ์ของเรื่องนี้จึงเป็นว่า เขาคือฝ่ายผิด
หรงเจินถอนหายใจหนัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“หานเอ๋อร์! ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้น เจ้าควรมีความรับผิดชอบในฐานะสามี คืนแต่งงานไม่ควรปล่อยให้ภรรยานอนเดียวดายผิดธรรมเนียนยิ่งนักหากคนนอกล่วงรู้เจ้าคิดหรือไม่ว่าภรรยาของเจ้าจะถูกคนติฉินนินทาเช่นใด คืนนี้เจ้าต้องอยู่ที่เรือนหอ และพรุ่งนี้เช้า...ต้องมีหงปู้ส่งเข้าวังหลวง”
ไป๋จิ้งหานรับคำสั้น ๆ เขาไม่อาจโต้เถียงมารดาได้
“เป็นลูกที่ผิดเองขอรับ ลูกเข้าใจแล้วท่านแม่อย่าได้กังวลอีกเลย ร่างกายท่านอ่อนแอต้องรักษาสุขภาพนะขอรับ”
มารดาพยักหน้า สีหน้าดูดีขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นว่าอย่างไรบุตรชายก็ยังเชื่อฟัง
นางจึงเอ่ยว่า
“เช่นนั้นเจ้าก็พาเหยียนเหยียนกลับเรือนเถิด เหยียนเหยียนเองสุขภาพก็อ่อนแอไม่ต่างจากแม่นัก ไม่จำเป็นต้องมาคารวะทุกวัน อีกไม่กี่วันก็ต้องนำของขวัญกลับบ้านเดิมเพื่อคารวะบิดามารดาของลูกสะใภ้ แม่เตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วลูกพาเหยียนเหยียนกลับไปก็พอ”
ไป๋จิ้งหานเก็บสีหน้าขุ่นเคืองเอาไว้แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการกลับบ้านเดิมกับนาง จึงคิดปล่อยให้นางไปคนเดียวหวังจะหาข้ออ้างในเวลานั้น
ด้านเหยียนซือเหยียนเองวันนี้นางมาเพื่อพิสูจน์ว่าแม่สามียังคงดีต่อนางเช่นเดิมหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยนางจึงยอบกายจากไปอย่างอ่อนหวาน
คนสองคนเดินเคียงกันไปจนพ้นเรือนของฮูหยินใหญ่หรง เหยียนซือเหยียนกลับหันมาบอกกับเขาว่า
“ท่านพี่ ไม่จำเป็นต้องกลับบ้านเดิมกับข้า และไม่ต้องคิดหาข้ออ้างให้ลำบากใจ ข้าจะบอกบิดามารดาของข้าเองว่าท่านได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปราบโจรกบฏจากฝ่าบาท”
ไป๋จิ้งหานกลับรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาแทนเสียเอง
“ไยข้าต้องคิดให้วุ่นวาย ก็เพียงแค่กลับบ้านเดิมของเจ้าเท่านั้นไยต้องหาข้ออ้าง”
เหยียนซือเหยียนกลับมีสีหน้ามั่นใจยิ่งนัก
“ไม่จำเป็นต้องคิดมาก อย่างไรท่านก็ไม่ได้ไปแน่นอน”
จากนั้นไป๋จิ้งหานมีสีหน้าขุ่นเคืองยิ่งนัก เขารู้สึกได้ว่านางกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ แต่ต่อหน้ามารดาของเขา นางกลับแสร้งเป็นภรรยาผู้ถูกทอดทิ้งได้แนบเนียนที่สุด เวลานี้กลับมาบอกว่าไม่ต้องการให้เขากลับบ้านเดิมด้วย
สตรีนางนี้กำลังวางแผนสิ่งใดเป็นแน่
เหยียนซือเหยียนกล่าวจบ นางก็เดินฉับ ๆ แยกจากเขาไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะติดตามมาหรือไม่ ไป๋จิ้งหานได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปจนลับตาจากนั้นจึงก้าวเท้ากลับไปที่เรือนหนังสือของตนเอง
เรือนหนังสือจวนเจิ้นโหว
ไป๋จิ้งหานให้บ่าวไปตามสองพี่น้องหลี่จื้อและหลี่หลงมาพบเขา ในขณะที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเหยียนซือเหยียน
เมื่อคืนนี้นางดูดีใจมากที่เขาออกจากเรือนหอ แล้วเหตุใดรุ่งเช้านางกลับมาฟ้องมารดาของเขา หากนางต้องการผลักไสเขาจริง เหตุใดจึงต้องทำให้มารดาของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
ไป๋จิ้งหานรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เหยียนซือเหยียนที่เขารู้จักเมื่อก่อนหลงใหลเขาจนน่ารำคาญ แต่นางในตอนนี้กลับดูแตกต่างไป หรือว่าจริง ๆ แล้วที่นางแต่งงานกับเขาเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมอันใด
เขาไม่อาจวางใจได้เพราะอย่างไรนางก็ยังเป็นคนสกุลเหยียน
และบัดนี้เขาได้รู้ข่าวมาว่าเหยียนปังพี่ชายคนรองของนางบัดนี้เป็นลูกน้องคนสำคัญของจ้าวเหวินเสนาบดีคลังซึ่งเป็นคนที่เขาตรวจสอบและกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา
เหยียนปังผู้นี้เป็นพี่ชายที่สนิทกับเหยียนซือเหยียนที่สุด หรือว่านางจะถูกส่งมาเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้ในจวนของเขากันแน่!
กระทั่งสององครักษ์พี่น้องเข้ามาในเรือนหนังสือ ไป๋จิ้งหานก็สั่งการทันใด
“หลี่จื้อข้าต้องการให้เจ้าจับตาดูเหยียนปังอย่าให้คลาดสายตา”
“คุณชายรองสกุลเหยียน พี่ชายของฮูหยินน้อยหรือขอรับ”
สายตาของไป๋จิ้งหานเคร่งขรึมลง
“ใช่เหยียนปังผู้นั้น บัดนี้เขากลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเสนาบดีจ้าว คนผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายข้าเกรงว่าสกุลเหยียนจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตในครานี้”
“แต่พวกเราสืบเรื่องสกุลเหยียนมาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่เคยพบสิ่งใดผิดปกตินะขอรับ”
“เพราะก่อนหน้านี้คนของเราอยู่ที่นอกเมืองหลวง ไม่อาจนำเข้ามาในเมืองหลวงได้ จึงทำให้กำลังไม่เพียงพอและถูกปิดหูปิดตามานาน เวลานี้ฝ่าบาทได้มอบอำนาจให้ข้าเต็มที่เพื่อติดตามคดีเด็กชายหายตัวไปเป็นเวลาหลายปีอย่างต่อเนื่อง เราจึงเคลื่อนพลได้อย่างสะดวกขึ้น เริ่มวางคนของเราเอาไว้ในเมืองหลวงให้แนบเนียนที่สุด อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด”
ภายใต้ความสงบสุขของต้าหยาง ผู้ใดจะรู้ว่าบัดนี้มีคดีเด็กหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมานับสิบปีแล้ว เพราะว่าเด็กที่หายตัวไปล้วนเป็นคนไร้บ้านทั้งขอทาน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่ร้องเรียนมาให้ทางการตรวจสอบ
ทว่าหลังจากเสร็จศึกชายแดนและไป๋จิ้งหานกลับมาที่เมืองหลวงมารับตำแหน่งผู้ตรวจการเมืองหลวงได้สองปีเขาก็พบความผิดปกติถึงเรื่องนี้ กระทั่งฝ่าบาทสั่งให้เขาตรวจสอบอย่างลับ ๆ เพราะสงสัยว่าเรื่องนี้จะมีใครที่อยู่เบื้องหลัง
กระทั่งเขาสืบพบความเกี่ยวเนื่องของคดีทุจริตของเสนาบดีจ้าวและความเกี่ยวพันกับการลักพาตัวเด็กชายมาอย่างต่อเนื่อง
หลี่จื้อรับคำ
“ขอรับ”
จากนั้นไป๋จิ้งหานก็หันมาเอ่ยกับหลี่หลง
“ส่วนเจ้าอาหลง จับตาดูเหยียนซือเหยียนเอาไว้ให้ดี”
หลี่หลงเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าปี ทว่ากลับมีวรยุทธ์สูงส่งยิ่งจนไป๋จิ้งหานถูกใจเขาจึงให้คอยติดตามอารักขาอยู่ข้างกายตนเอง
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“ไยต้องจับตาดูฮูหยินน้อยด้วยขอรับ นางเกี่ยวข้องด้วยหรือขอรับ”
สีหน้าของไป๋จิ้งหานนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ
“เดิมทีก็ไม่อยากจับตาดู แต่พฤติกรรมของนางผิดปกตินัก ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ ทุกการกระทำของนางนับจากนี้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดและนำมารายงานข้า”
หลี่หลงรับคำ
“ขอรับนายท่าน”
ไป๋จิ้งหานอยู่ในเรือนหนังสือจนกระทั่งพระอาทิตย์อัสดง เขากินข้าวเพียงคนเดียวที่เรือนหนังสือก่อนจะกลับมาที่เรือนหอของตน
บัดนี้พบว่าเหยียนซือเหยียนอยู่ในชุดตัวในพร้อมเข้านอนเรียบร้อย ทั้งนางยังนั่งอ่านหนังสือนิทานพื้นบ้านโดยไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมามอง
“ท่านพี่ มาแล้วหรือ”
นางกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตายังจับจ้องอยู่กับหนังสือเล่มหนาในมือ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก จากนั้นเขาก็ได้ยินนางเอ่ยว่า
“เลวทรามเช่นนี้ ไยจึงกลายเป็นพระเอกของเรื่องได้ นางเอกก็แสนโง่งม”
จากนั้นนางก็วางหนังสืออย่างเดือดดาลทว่าเพียงพริบตาเดียวก็หยิบขึ้นมาใหม่พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาอ่านโดยไม่สนใจเขาอีก
เขากระแอมเอ่ยว่า
“เหยียนซือเหยียนเจ้ากำลังทำสิ่งใด”
แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบตอบกลับมา เขาเอ่ยเรียกชื่อนางอีกหลายคำ
"เหยียนซือเหยียน เหยียนซือเหยียน”
นางจึงเงยหน้าขึ้นมามอง จากนั้นก็จ้องเขาด้วยสีหน้ารำคาญใจ
“เรียกทำไมหนักหนา ข้าก็อยู่ตรงนี้ ข้ากับท่านไม่มีสิ่งใดพูดคุยกันไม่ใช่หรือ”
คนที่เย็นชาเวลานี้ย่อมคือนาง มิใช่เขา ส่วนเขาแม้จะตั้งใจไม่พูดกับนางแต่ท่าทางนี้ของนางกลับกระตุ้นเขาได้เป็นอย่างดี
สตรีที่มักจะเดินตามหลังเขาเหมือนสุนัขตัวหนึ่งไยจึงเปลี่ยนไปได้เพียงนี้
เมื่อเห็นเข้าจ้องมองนาง เหยียนซือเหยียนทำสีหน้าสงสัยครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบิกตากว้างเอ่ยว่า
“อ้อ ข้าลืมไปท่านแม่กำชับท่านมาหรือ ไม่ต้องห่วงข้ารอบคอบยิ่งเตรียมไว้แล้ว”
จากนั้นก็โยนห่อผ้าห่อหนึ่งให้เขาเอ่ยว่า
“ของที่ท่านต้องการ อยู่ในนั้นจากนี้ไม่ต้องกวนข้าอีก”
ไป๋จิ้งหานไม่เข้าใจว่านางมอบสิ่งใดให้ กระทั่งแกะห่อผ้าในมือออกมาดูจึงได้รู้ว่าที่แท้นางหมายถึงสิ่งใด
เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมเมื่อเขาถูกมารดาเรียกไปตำหนิตั้งแต่เช้าตรู่เพราะเขาไม่ได้นอนในเรือนหอในคืนที่ผ่านมาและบัดนี้เหยียนซือเหยียนยังนำของที่เขาคิดไม่ถึงว่านางจะเตรียมเอาไว้ส่งให้เขาถึงกับมือ
ผ้าขาวเปื้อนเลือดเป็นจุด ๆ ผืนหนึ่ง
“เจ้าเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ”
“อื้อ ข้าเองท่านแม่กำชับท่านเมื่อเช้า ข้าย่อมได้ยินและรู้ว่าระหว่างพวกเราไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าไม่วางยากำหนัดท่านอีกแล้วอย่างเด็ดขาด ท่านก็แค่ส่งผ้าหงปู้ในมือท่านให้ท่านแม่ หลังจากท่านแม่ส่งของสิ่งนี้เข้าวังหลวงเสด็จป้าของข้าก็ไม่กดดันจวนเจิ้นโหวแล้ว”
ไป๋จิ้งหานมองผ้าในมือพร้อมกับเอ่ยว่า
“หมายความว่าเจ้าไม่คิดจะเข้าหอกับข้าจริง ๆ หรือ”
“ก็แน่สิ ท่านพี่ถึงจะสายไปแต่ข้าสำนึกรู้แล้ว ข้ารู้ว่าข้าชอบท่านอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนท่านก็รังเกียจข้าดังนั้นข้าจึงมอบทางออกให้ท่านเพื่อเอาใจท่านอย่างไรเล่า ในเมื่อรังเกียจก็ไม่จำเป็นต้องร่วมหอ ข้าไม่ฝืนใจท่านพี่เด็ดขาด ข้าดีมากใช่หรือไม่”
ไป๋จิ้งหานอ้าปากค้าง
หญิงสาวตรงหน้ามิใช่เหยียนซือเหยียนที่เขาเคยรู้จัก
เหยียนซือเหยียนคนเดิมคอยพยายามแทรกตัวเข้าไปในชีวิตของเขา จับตามองทุกการกระทำของเขา และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาหันมามอง ทว่านางในตอนนี้กลับเป็นผู้ที่ตีตัวออกห่าง
เขาจึงแน่ใจแล้วว่านางมีแผนการ เพียงต้องการเข้าจวนไป๋เพื่อสืบข่าวเท่านั้น คนสกุลเหยียนอย่างไรก็ยังต่ำช้าเช่นเคย
ไป๋จิ้งหานพยายามสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่นางคิดมาล้วงความลับของเขาจากภายใน ความเย็นชาของเขายิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ริมฝีปากจะแสยะรอยยิ้มเย็นชา
“เจ้าช่างเป็นภรรยาที่ดีจริง ๆ เหยียนซือเหยียนรู้ใจข้ายิ่งนัก”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าเป็นภรรยาที่ดีที่สุด” นางกระพริบตาอย่างใสซื่อก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ดูราวกับสตรีที่ไร้พิษภัยที่ทำให้ท่านแม่ของเขาตกหลุมพรางไปแล้วคนหนึ่ง
จู่ ๆ นางก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“ท่านพี่ ตรงนั้นมีที่นอนหมอนและผ้าห่มนะเจ้าคะ ข้าดูแล้วท่านปูนอนตรงนั้นเหมาะสมยิ่ง”
เขาหันไปมองกองผ้าห่มที่นางเอ่ย จากนั้นก็หันมามองนางด้วยสายตาสงสัย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
นางยิ้มกริ่มเอ่ยว่า
“ในเมื่อท่านไม่อยากร่วมเตียง เช่นนั้นก็นอนพื้นตรงนั้นเถิดเจ้าค่ะ ข้าเตรียมของให้ท่านหมดแล้ว”
ว่าแล้วนางก็ยกมือเรียวขึ้นมาปิดปากหาวจนน้ำตาไหลที่หางตา
“ท่านพี่ข้าจะนอนแล้วง่วงเหลือเกิน ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าคะ อ้อ ไม่ต้องดับตะเกียงนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านไม่ค่อยชอบความมืดเท่าใด”
ชาติที่แล้วกว่านางจะรู้ว่าเขาไม่ชอบความมืดก็อยู่กันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาไม่เคยบอกนางมาก่อน นางรู้เพราะว่าองครักษ์หลี่หลงของเขาเป็นคนเผลอบอกนางว่าที่ไป๋จิ้งหานไม่ชอบนอนกับนางเพราะว่าเขาเกลียดความมืดนั่นเอง
ตั้งแต่นั้นมาเหยียนซือเหยียนก็นอนโดยไม่ดับตะเกียงมาตลอด หลายปีที่ทำเพื่อเขาบัดนี้กลับกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว จะดับไฟหรือไม่นางล้วนสามารถนอนหลับได้ทั้งนั้น
ด้านไป๋จิ้งหานบัดนี้เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ชอบความมืด นั่นเป็นเพราะในวันที่บิดาของเขาสิ้นใจต่อหน้าเขา คืนนั้นลมแรงและท้องฟ้ามืดมิดยิ่งนัก ทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับในที่มืดได้อีกทุกครั้งจึงต้องจุดตะเกียงสลัวเอาไว้ในยามค่ำคืนจึงจะสามารถนอนหลับโดยไม่ฝันร้ายได้
“เหยียนซือเหยียนเจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าแอบให้คนตามข้าหรือ”
“ไยต้องแอบเล่าเจ้าคะ ข้าก็แค่เดาเอาท่าทางท่านขี้กลัวเช่นนี้ ย่อมเดาได้ว่าท่านไม่ชอบความมืด”
ไป๋จิ้งหานมึนงงกับคำตอบแบบกำปั้นทุบดินของนาง
“ข้าหรือดูท่าทางขี้กลัว”
“เจ้าค่ะ ขนาดข้าเป็นสตรีท่านยังกลัวเลย เช่นนี้น่าจะกลัวความมืด”
นางก็ตอบส่ง ๆ ไปเช่นนั้น เขาจะเชื่อหรือไม่นางล้วนไม่สนใจ เหยียนซือเหยียนคิดจะนอนแล้ว ทว่าไปจิ้งหานกลับเอ่ยว่า
“ช้าจะไปนอนที่เรือนหนังสือ ไยข้าต้องนอนที่พื้นด้วย”
เหยียนซือเหยียนอ้าปากหาวหวอด จากนั้นจึงเอ่ยว่า
“ไปก็ไปสิ แต่หากท่านแม่ตำหนิท่านก็อย่ามาโทษที่ข้าไม่เตือน”
[1] ผ้าหงปู้ คือผ้าเปื้อนเลือด ผ้านี้เป็นหลักฐานแสดงถึง พรหมจรรย์ของเจ้าสาว และถูกส่งไปยังวังหลวงหรือบ้านฝ่ายเจ้าบ่าวเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าการสมรสเป็นไปตามธรรมเนียม